สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 917 ติดพี่สาว
บทที่ 917 ติดพี่สาว
……….
หลังจากกู้เสี่ยวเป่านักบนตักแม่นางเหยาไปได้พักหนึ่งก็เริ่มอยู่ไม่สุข
จากนั้นเขาค่อยๆ คลานลงจากตัก
“เสี่ยวเป่าอยากเดินแล้วหรือ” อวี้หยาเอ๋อร์เอ่ยทัก
“เมื่อวานเขาเดินไปแล้วล่ะ นี่เขาเดินไปเปิดประตูให้พี่สาวเขาเองเลยนะ” พอนึกถึงเรื่องน่ารักของลูกๆ แม่นางเหยาก็เริ่มอารมณ์ดีขึ้น
กู้เสี่ยวเป่าเดินส่ายไปส่ายมาตามประสาเด็กหัดเดิน มุ่งหน้าไปยังห้องทิศตะวันออก ผลักเปิดประตูที่ถูกแง้มไว้ และมองเข้าไปข้างในอย่างกระตือรือร้น
แม่นางเหยาเดินตามเขาไป
เขาหันมามองแม่นางเหยา พร้อมกับส่ายมือ แล้วเอ่ย “ไม่มี”
“ไม่มีอะไรหรือลูก” แม่นางเหยาคลี่ยิ้ม
แต่เจ้าตัวเล็กก็ไม่เอ่ยอะไร
จากนั้นเขาเดินไปที่สวน แล้วก็ไปที่ประตูใหญ่ ผลักประตูออก ยื่นหัวออกไปมองซ้ายมองขวา
แม่นางเหยามองลูกชายด้วยความเอ็นดู
เขาหันมามองแม่นางเหยาอีกครั้ง พร้อมกับส่ายมือเหมือนเดิม แล้วเอ่ย “ไม่มี”
แม่นมฝางและอวี้หยาเอ๋อร์เห็นดังนั้นก็หัวเราะชอบใจ
อวี้หยาเอ๋อร์เอ่ยติดตลก “ไหนเมื่อวานยังบอกอยู่เลยว่าไม่อยากได้พี่สาว พอมาวันนี้ตามหาใหญ่เลยนะ”
ก่อนที่กู้เสี่ยวเป่านอนกลางวัน เขายังเจอกู้เจียวอยู่เลย ไยพอเขาตื่นขึ้น กลับไม่เจอแล้วล่ะ
แม่นางเหยารู้ว่าลูกสาวไม่อยู่ที่นี่ แต่ยังคงปล่อยให้กู้เสี่ยวเป่าเดินค้นหาพี่สาวทั่วทั้งเรือน…
เมื่อเห็นเจ้าตัวเล็กเริ่มเหงื่อออกมาก แม่นางเหยาจึงถามเขา “อยากหาพี่สาวใช่ไหม”
กู้เสี่ยวเป่าผงกศีรษะสองที
…
ทั้งท่านเหล่าโหวและกู้ฉังชิงต่างไม่มีใครเข้าไปเกี่ยวดองกับงานแต่งของกู้จิ่นอวี๋
กู้ฉังชิงที่เดินทางออกจากแคว้นเจาก่อนหน้ากู้เจียวเพียงสามวัน ซึ่งช่วงนั้นเป็นตอนที่ท่านโหวกู้ปฏิเสธงานแต่งระหว่างกู้จิ่นอวี๋กับอันจวิ้นอ๋อง
ขณะที่ท่านเหล่าโหวถูกสั่งให้ไปประจำที่ด่านชื่อสุ่ยเมื่อเดือนแปดของปีที่แล้ว ในเวลานั้นชางผิวโหวยังไม่ได้กลับมาที่เมืองหลวง พอกลับมาอีกทีก็พบว่าฮูหยินใหญ่กู้ได้ดำเนินการเรื่องงานแต่งไปแล้ว
พวกเขาต่างไม่ออกความเห็น
ผู้ดูแลเจิ้งพาพวกเขามาที่ห้องรับแขก จากนั้นวานคนไปเชิญท่านกั๋วกงให้เข้าพบ
ช่วงนี้กั๋วกงอันอยู่ในช่วงพักฟื้นจากการเดินทางเป็นเวลานาน อีกทั้งเขาไม่ใช่คนมีวรยุทธ์ ร่างกายจึงอ่อนล้าได้ง่าย แต่พอเขาได้เห็นหน้ากู้เจียว เขาก็มีแรงขึ้นมาทันที
“พ่อบุญธรรม” กู้เจียวเอ่ยทักทายเขา “เป็นอย่างไรบ้าง คุ้นชินกับที่นี่แล้วหรือยัง”
“ชินแล้วล่ะ” กั๋วกงอันคลี่ยิ้มให้นาง
“ท่านกั๋วกง” เหล่าโหวและกู้ฉังชิงประสานมือทำความเคารพให้เขา
อันกั๋วกงยังคงต้องใช้รถเข็น ยังลุกขึ้นไม่ได้ จึงทำได้เพียงตอบรับพวกเขาด้วยการประสานมือกลับ
ตอนที่เหล่าโหวและกู้ฉังชิงไปที่แคว้นเยี่ยน ก็เคยพักที่จวนกั๋วกง พอมาวันนี้ ต่อให้ฝ่าบาทไม่ตรัสถึง พวกเขาก็มีแผนจะมาเยี่ยมท่านกั๋วกงกันอยู่แล้ว
“แล้วท่านแม่ทัพเซวียนหยวนล่ะขอรับ” กู้ฉังชิงถาม
กั๋วกงหัวเราะหนึ่งที ก่อนตอบ “วันนี้เขาอารมณ์ดี เหลี่ยวเฉินเลยพาเขาออกไปเดินเล่นชมเมืองแล้ว เขาอยากรู้ว่าจิ้งคงกับพวกเจ้าใช้ชีวิตกันอย่างไร”
กู้เจียวพยักหน้า
จากนั้นกั๋วกงให้พวกเขานั่งลง โดยกู้เจียวนั่งที่ด้านข้างเขา
“อ้อ จริงสิ ฝ่าบาทของพวกเจ้าได้ตรัสอะไรบ้างหรือไม่” กั๋วกงถามเหล่าโหวและกู้ฉังชิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เรื่องที่กู้เจียวและพวกเขาเดินทางไปที่แคว้นเยี่ยน แม้คนอื่นจะไม่รู้ แต่หาได้รอดพ้นสายพระเนตรของฮ่องเต้ได้ อย่างไรเสียฝ่าบาทก็เป็นเสด็จลุงของเซียวเหิง หลังงานแต่งเซียวเหิงยังต้องพากู้เจียวเข้าไปเข้าเฝ้าพระองค์ด้วย
กู้เจียวไม่อาจสวมหน้ากากได้ไปตลอดรอดฝั่ง
ที่วันนี้ทรงเรียกเหล่าโหวและกู้ฉังชิงให้เข้าเฝ้า ก็เพื่อถามไถ่เรื่องนี้ให้กระจ่าง
ทั้งสองจึงเล่าความจริงในฝั่งของกู้เจียว ทั้งการรักษาผ่าตัดให้กู้เหยี่ยน ทั้งขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการกองทหารม้าอัศวินดำ รักษาและฟื้นฟูร่างกายให้กั๋วกงอัน และถูกรับเลี้ยงเป็นลูกสาวบุญธรรม ไหนจะเรื่องศึกชายแดน และอื่นๆ อีกมากมาย
ส่วนเรื่องของจี้จิ่วกับไทเฮาพวกเขาแทบจะไม่แตะต้องเลย ฮ่องเต้รับรู้เพียงแค่ว่าจี้จิ่วออกจากราชการแล้ว ส่วนไทเฮาก็อยู่ในช่วงพักผ่อนปลีกวิเวก
ส่วนเรื่องฝั่งเซวียนผิงโหว ถังเยว่ซาน รวมถึงเรื่องของพวกเขาเองก็ทูลไปแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
เหล่าโหวจึงตอบ “ฝ่าบาทมิได้ทรงโกรธเคืองแต่อย่างใด” ซึ่งเป็นอะไรที่น่าตกใจอยู่เหมือนกัน
กั๋วกงอันเองก็เช่นกัน “ฝ่าบาทของพวกท่าน…ไม่เหมือนใครเลยจริงๆ ”
ถ้าเป็นฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนละก็คงไม่ใจกว้างขนาดนี้แน่นอน
“ฝ่าบาททรงมีพระทัยที่เมตตาขอรับ” กู้ฉังชิงเอ่ย
ทุกคนต่างเห็นด้วย
การที่ฝ่าบาททรงมีพระทัยอ่อนโยนเช่นนี้ บางครั้งก็อาจเป็นดาบสองคม อันจะเห็นได้จากตอนที่พระสนมจิ้งก่อเรื่อง
“แล้วตัวตนที่แท้จริงของอาเหิงละ” กู้เจียวถาม
สำหรับเรื่องนี้ กู้ฉังชิงเอ่ย “ท่านปู่แอบเอ่ยเป็นนัยอยู่บ้างก็จริง แต่ดูเหมือนว่าองค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดแก่ฝ่าบาท พวกเราก็เลยไม่ได้เอ่ยอะไร แค่บอกไปว่าเซียวเหิงติดตามเจ้าไปที่แคว้นเยี่ยนด้วย”
เพราะอย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องภายในของราชวงศ์ พวกเขาเป็นแค่ขุนนางตัวเล็กๆ เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยว
หลังจากที่พวกเขาเอ่ยคุยกันไปได้สักพัก ก็เริ่มสังเกตเห็นว่ากั๋วกงอันเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย จึงเอ่ยคำอำลา
เดิมกู้เจียววางแผนที่จะพาพ่อบุญธรรมออกไปเดินเล่น ทว่าต้องพับแผนการลง จากนั้นคุกเข่าลงข้างรถเข็น มองขึ้นไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของกั๋วกงแล้วเอ่ย “พักผ่อนเยอะๆ นะท่าน ไว้พรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่ ไว้วันไหนท่านมีแรง ข้าจะพาท่านออกไปเที่ยวข้างนอกนะ”
“ได้สิ” อันกั๋วกงยิ้มให้ลูกสาวบุญธรรมด้วยความเอ็นดู
หลังจากพวกเขาทั้งสามเดินออกไป
กั๋วกงก็เรียกให้คนหยิบไม้เท้าให้เขา “พาไปสวนดอกไม้ที”
“ไอ้หยา ท่านกั๋วกงขอรับ รีบพักผ่อนได้แล้วขอรับ!” ผู้ดูแลเจิ้งรีบบ่นทันที
ทุกคนคิดว่าเขาเหนื่อยจากการเดินทางอันยาวนาน แม้การเดินทางจะลำบากก็จริง แต่เขาไม่เคยกลัวความยากลำบาก และเขามักจะฝึกเดินในสวนดอกไม้อยู่เป็นประจำ
กั๋วกงเอ่ยด้วยสายตาแน่วแน่ “ข้าไม่อยากนั่งรถเข็นส่งลูกสาวข้าออกเรือนหรอกนะ ข้าน่ะอยากเดินจูงมือส่งลูกสาวเข้าพิธีด้วยตัวขาของข้าเอง”
…
ที่หน้าจวนกั๋วกง
ทั้งกู้ฉังชิงและเหล่าโหวต่างก็ไม่มีความเห็นอะไรที่กู้เจียวจะแต่งงานในฐานะบุตรสาวบุญธรรมของจวนกั๋วกง แต่หากบอกว่าพวกเขาไม่ใส่ใจหรือสนใจเลยก็คงจะเป็นเรื่องโกหก
หลังจากผ่านอะไรมาด้วยกัน พวกเขารู้ดีว่ากู้เจียวต้องการอะไร
นางหาใช่คนใฝ่สูงไม่
ยิ่งไปกว่านั้น ที่ผ่านมากู้เจียวเติบโตและใช้ชีวิตในชนบท ไม่เคยกินข้าวที่จวนติ้งอันโหวเลยสักครั้ง นางจะยอมรับให้ใครเข้ามาในชีวิต มันก็เป็นสิทธิ์ของนาง
นางไม่ใช่คนที่อยู่ในกรอบ ไม่เช่นนั้นคงไม่กล้าเรียกท่านเหล่าโหวว่าพี่ใหญ่หรอก
คนที่มีพลังล้นเหลือเช่นนาง ไม่มีใครล่วงรู้ได้หรอกว่านางยิ่งใหญ่แค่ไหน
“เจียวเจียวจะไปที่ไหน ให้ข้าไปส่งไหม” กู้ฉังชิงถาม
เขารู้ดีว่านางไม่มีทางไปที่จวนติ้งอันโหวอย่างแน่นอน
“ข้าว่าจะไปที่วังสักหน่อย” กู้เจียวตอบ
“ดีเลย ไทเฮาคิดถึงเจ้าอยู่พอดี ขึ้นรถม้าข้าสิ”
“รีบไปรีบกลับล่ะ ยังมีธุระต่ออีก” เหล่าโหวเอ่ยขึ้น
“เอ๋ ยังมีธุระอะไรอีกหรือท่านปู่” กู้ฉังชิงมองไปที่ปู่ของเขาด้วยความสับสน หลังจากเสร็จสงครามแล้ว ฝ่าบาทก็อนุญาตให้เขาและปู่ของเขาได้พักหนึ่งเดือนเต็มไม่ใช่รึ
“ไปที่บ้านของราชเลขาหยวนกับข้า” เหล่าโหวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
กู้ฉังชิงถึงกับนิ่งไปทันที
เขาเกือบลืมไปว่าเพื่อหาข้ออ้างที่จะ “หายตัวไป” จากเมืองหลวง เขาได้ร่วมมือกันกับหลานสาวของราชเลขาหยวนเพื่อปกปิดความจริง
กู้เจียวยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเจ้าไม่ต้องไปส่งข้าก็ได้! เดี๋ยวแม่นางหยวนจะรอนาน ข้ามีรถม้าของข้า เดี๋ยวข้าไปเองได้”
เอ่ยจบก็เดินไปขึ้นรถม้าของจวนกั๋วกง
กู้ฉังชิงหลับตาด้วยความปวดศีรษะ และหันไปมองเหล่าโหว “ท่านปู่ คือข้า…”
ทว่าเหล่าโหวยังคงเอามือพาดหลัง แล้วรีบก้าวเท้าไปด้านหน้า “ข้าเตรียมของไว้แล้ว ขึ้นรถเดี๋ยวนี้!”
กู้ฉังชิงกัดฟันแน่น “ท่านจำไม่ได้หรือว่าที่ข้าบอกพวกเขาไปว่าข้าไปตามหานกเฟิ่งหวงมาเพื่อขอแต่งงานมันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ”
อุตส่าห์เตือนไว้ดิบดีว่าถ้าหาไม่เจอก็ไม่ต้องแต่ง จนแม่นางหยวนหนีกลับไปพึ่งทางธรรมและไม่ขอแต่งงานกับใครอีก
“ช่างเถอะ ไปก็ไป นกอะไรก็ไม่มีไปให้เขา”
กู้ฉังชิงก้าวเท้าขึ้นรถด้วยความกลัว
ทันทีที่เข้าไปในรถ ก็พบว่ามีกรงนกโดยมีนกเฟิ่งหวงสองตัวอยู่ในนั้น
กู้ฉังชิง “!?”
เหล่าโหว โถ่ เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย ตามข้าไม่ทันหรอก!
…
พอเดินทางมาถึงพระราชวัง กู้เจียวก็นึกขึ้นได้ว่าลืมนำหยิบตราอาญาสิทธิ์มาด้วย
ทหารยามของวังมีแต่คนหน้าใหม่ และพวกเขาไม่รู้จักกู้เจียวมาก่อน
ขณะที่กู้เจียวกำลังครุ่นคิดว่าจะฝากคนไปส่งข่าวอย่างไรดี จู่ๆ รถม้าอันแสนคุ้นเคยก็เข้ามาจอดเทียบพอดี
“คุณหนู!”
เป็นเสียงของอวี้หยาเอ๋อร์
“อ้าว อวี้หยาเอ๋อร์ อ๊ะ…เสี่ยวเป่าก็มาด้วย” กู้เจียวเดินเข้าไปเปิดม่านรถ
จากนั้นอวี้หยาเอ๋อร์ก็อุ้มเจ้าตัวเล็กลงมาจากรถ
กู้เจียวเองก็รีบลงมาเช่นกัน “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ก็คุณชายน้อยน่ะสิ เอาแต่ตามหาพี่สาวของเขาทั้งวัน ฮูหยินเลยบอกเขาไปว่าคุณหนูอยู่ที่วัง ก็เลยให้พามาหาคุณหนูที่นี่น่ะเจ้าค่ะ”
เจ้าตัวเล็กตามหานางด้วยหรือนี่
กู้เจียวจึงยื่นมือไปหยิกแก้มเสี่ยวเป่าเบาๆ อย่างเอ็นดู
ทว่าเจ้าตัวเล็กกลับทำหน้าบึ้งใส่
“อะไรอีกละเนี่ย” กู้เจียวยิ้มมุมปาก
กู้เสี่ยวเป่าเบือนหน้าหนีแล้วหันกลับมาซุกอกอวี้หยาเอ๋อร์
“เขา โม โห อยู่” อวี้หยาเอ๋อร์เอ่ยกับกู้เจียวโดยไม่ออกเสียง
กู้เจียวพยายามหยอกล้อกับเขา
เจ้าตัวเล็กงอแงสะบัดตัวหนีอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง
ไม่อยากให้กู้เจียวเห็นหน้าของเขา
ส่วนกู้เจียวกลับหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดู
กู้เจียวยังจำตอนที่อออกจากเรือนเพื่อขึ้นไปบนภูเขา พอกลับมาอีกที จิ้งคงก็มีปฏิกิริยาแบบเดียวกัน
เอ๊ะ ว่าแต่ตอนนั้นนางง้อจิ้งคงยังไงนะ
“ง้อน้า ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ ให้อภัยข้าได้ไหมล่ะ”
“ต้องจุ๊บข้าก่อนข้าถึงจะยอมให้อภัย!”
เมื่อนึกได้ดังนั้น กู้เจียวจึงลงมือจุ๊บเข้าไปที่หน้าผากเจ้าตัวเล็กอย่างไม่รีรอ!
ทว่าเจ้าตัวเล็กยังคงเอามือบังหน้าตัวเอง
“เอ๋ ไม่ได้ผลรึ”
หารู้ไม่ว่าหน้าของกู้เสี่ยวเป่าแดงจนร้อนผ่าวไปหมดแล้ว
……….