สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 920 ความอบอุ่นในยามเที่ยงคืน
บทที่ 920 ความอบอุ่นในยามเที่ยงคืน
……….
เสี่ยวอีอีเป็นเด็กทารกที่แสนมุ่งมั่น ถ้านางอยากให้พ่อมาหา นางจะต้องร้องไห้จนกว่าพ่อจะมา
เด็กคนอื่นๆ ร้องไห้ไปสักพักก็จะเหนื่อย แต่นางแรงดีเหลือเกิน จึงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น
บางครั้งองค์หญิงซิ่นหยางก็รู้สึกว่าตัวเองตามใจเสี่ยวอีอีมากเกินไป นางคิดว่าปล่อยให้เด็กร้องไห้ไป เดี๋ยวร้องสักพักก็จะรู้ว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลกับนาง
แต่เด็กคนนี้ดื้อมาก แม้จะร้องไห้จนเสียงแหบก็ยังไม่หยุด
เซวียนผิงโหวปรากฏตัวที่หน้าห้องหนังสืออย่างทันท่วงที เดินเข้ามาอย่างภาคภูมิใจเพื่อแสดงสถานะในครอบครัวของตน
“อีอีมาหาพ่อใช่ไหม คนที่อีอีชอบที่สุดก็คือพ่อใช่ไหมล่ะ”
เขาถามด้วยท่าทางกวนๆ อยากโดนต่อย
จ้าหญิงซิ่นหยางจ้องเขาเขม็ง แล้วส่งลูกสาวให้ซ่างกวานชิ่งไปโดยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ซ่างกวานชิ่งถอนหายใจเงียบๆ น้องชายที่เป็นคนเรียนเก่ง แต่ชีวิตก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ต้องรับมือกับความขัดแย้งหรือความคาดหวังที่แตกต่างกันของพ่อและแม่
เด็กน้อยร้องไห้เสียงดังมากจนเบะปาก รีบเอาไปให้พ่อเขาอุ้ม
ทันทีที่นางอยู่ในอ้อมแขนของพ่อก็หยุดร้องไห้ แต่ใบหน้าเล็กๆ ยังคงเต็มไปด้วยความคับข้องใจ
เซวียนผิงโหวรู้สึกเสียใจมาก เขาอุ้มลูกสาว มององค์หญิงซิ่นหยางอย่างไม่เห็นด้วย “ฉินเฟิงหวั่น เจ้าว่าเจ้า…”
องค์หญิงซิ่นหยางมองเขาด้วยสายตาที่เฉียบคม
เซวียนผิงโหวเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียน “เจ้าเลี้ยงลูกสาวได้ยังไงให้เป็นคนดีแบบนี้”
คนเป็นพ่อแพ้ราบคราบ
สองพี่น้องถึงกับพากันเบือนหน้าหนี ทนดูไม่ไหว
…
ทางด้านกู้เจียว แม้จะเหมือนออกจากเรือนขององค์หญิงซิ่นหยางไปแล้ว แต่ความจริงนางแอบย้อนกลับมา นางใช้มือข้างหนึ่งยันกำแพงแล้วกระโดดข้ามเข้ามาในลานเรือน ก่อนจะแวะเวียนไปที่เรือนของเซียวเหิง
“อ้อ ไม่อยู่จริงๆ ด้วย…”
องค์หญิงซิ่นหยางคงพยายามอย่างหนักที่จะรักษาขนมธรรมเนียมระหว่างคู่หมั้นคู่หมาย
กู้เจียวเบ้ปาก แล้วกลับไปขึ้นรถม้า
คืนนี้กู้เสี่ยวเป่าคงจะหลับยาวจนถึงเช้า
กู้เจียวบีบแขนเล็กๆ ของเขาเบาๆ รู้สึกว่าไม่เหมือนตอนบีบแขนเสี่ยวอีอี
เขาผอมกว่าเสี่ยวอีอี
ทั้งสองลงจากรถม้า
อวี้หยาเอ๋อร์อุ้มกู้เสี่ยวเป่าเข้าไปในเรือนก่อน กู้เจียวกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู ก็มีมือเรียวงามดุจหยกยื่นมาจากด้านข้าง จับข้อมือนางเบาๆ
นางหันกลับไปมอง เซียวเหิงใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งสัญญาณให้นาง
นางเข้าใจ เอ่ยกับอวี้หยาเอ๋อร์ “ข้าจะไปซื้อของ! เดี๋ยวกลับมา!”
อวี้หยาเอ๋อร์ส่งเสียงตอบรับด้วยความสงสัย แต่เมื่อหันกลับไปมองกู้เจียวที่หน้าประตู ก็ไม่เห็นเงาของกู้เจียวแล้ว
“เหตุใดไม่ซื้อตอนอยู่ข้างนอกกันนะ…” นางพึมพำกับตัวเอง ขณะอุ้มกู้เสี่ยวเป่าที่หลับปุ๋ยเข้ามาในเรือน
แม่นางเหยากำลังตัดชุดแต่งงานให้เสี่ยวจิ้งคง เพราะเสี่ยวจิ้งคงเห็นชุดแต่งงานของเซียวเหิงที่เรือนองค์หญิงซิ่นหยาง เขาคิดว่าถ้าพี่เขยตัวร้ายมี เขาก็ต้องมีเหมือนกัน
“เจียวเจียวเล่า ไม่ได้กลับมาพร้อมกับเจ้าหรือ” นางถามพลางวางเข็มกับด้ายลง และรับลูกชายมาอุ้ม
อวี้หยาเอ๋อร์ตอบ “กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ถึงหน้าประตูแล้ว แต่คุณหนูนึกขึ้นได้ว่ามีของที่ยังไม่ได้ซื้อ ก็เลยออกไปอีกเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” แม่นางเหยาไม่ได้เอะใจอะไร อุ้มลูกน้อยกลับเข้าห้อง “อวี้หย่าเอ๋อร์ ไปต้มน้ำร้อนมาหน่อยนะ ข้าจะอาบน้ำให้เสี่ยวเป่า”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน!”
อวี้หยาเอ๋อร์เดินไปตักน้ำอย่างมีความสุข
อีกฟากหนึ่ง กู้เจียวถูกท่านโหวตัวน้อยชักจะร้ายขึ้นทุกวันจูงมือพามายังถนนฉังอันอันอันแสนครื้นเครง
คืนนี้บังเอิญมีเทศกาลโคมไฟเล็กๆ บรรยากาศในตลาดจึงคึกคักเป็นพิเศษ
กู้เจียวสวมผ้าคลุมหน้า เดินเคียงข้างเขาไปในฝูงชนที่ขวักไขว่ไม่ขาดสาย พลางดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืนอันเป็นเอกลักษณ์ของแคว้นเจา ความรู้สึกสงบสุขก็ผุดขึ้นมาในใจโดยไม่รู้ตัว
“ได้เดินเล่นบนถนนอย่างไม่ต้องกังวลแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา
เซียวเหิงมองนางด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความรัก เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหนื่อยแย่เลยนะ ท่านคู่หมั้น”
กู้เจียวเลิกคิ้ว “เจ้าก็เช่นกัน”
เซียวเหิงหัวเราะออกมาเบาๆ
เขาเป็นคนหน้าตาดี หล่อเหลาดุจเทพเซียน
แต่ก่อนเขาเป็นคนเย็นชา แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ยามเขาอยู่กับนาง เขามักจะเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
มือของทั้งสองกอบกุมกันใต้แขนเสื้อกว้างของเซียวเหิง
กู้เจียวเอ่ย “บางครั้ง ข้ารู้สึกว่ารู้จักเจ้ามานานแล้วนะ”
เซียวเหิงพยักหน้า “ก็นานไม่น้อย สี่ปีแล้ว”
กู้เจียวครุ่นคิด “อืม…ใช่ไหมนะ”
เซียวเหิงยิ้มให้นาง “แน่นอนสิ”
กู้เจียวเอ่ยอย่างครุ่นคิด “แต่ครั้งแรกที่ข้าเห็นเจ้า ข้ารู้สึกดีกับเจ้าเป็นพิเศษ”
เซียวเหิงเอ่ยหยอกล้อ “เพราะข้าหน้าตาดีหรือ”
ผู้หญิงคนนี้มักจะบอกว่าเขาหน้าตาดี
กู้เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็หาเหตุผลมาโต้แย้งไม่ได้
ความรู้สึกดีที่นางมีต่อเขา… อาจเป็นเพราะหน้าตาของเขาจริงๆ
เพราะนางก็เป็นคนชอบคนหน้าตาดีไม่ใช่หรือ
ถึงแม้จะถูกอาจารย์ดุมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วก็ตามว่า…อย่าไปมองแต่หน้าตาผู้ชาย
เซียวเหิงไม่รู้เลยว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยความรู้สึก “สี่ปีมานี้ พวกเราแทบจะไม่ได้เจอกันเลย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ข้าก็อยู่ระหว่างเดินทางไปสอบ หรือไม่เจ้าก็อยู่ระหว่างการทำสงคราม ว่าแต่ ตอนนั้นเหตุใดเจ้าถึงเชื่อว่าข้าจะสอบติด”
ยังกระโดดลงไปในทะเลสาบน้ำแข็งเพื่อหนังสือสอบระดับตำบลอีก
กู้เจียวเอ่ย “ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าเจ้าสอบติดได้แน่ๆ ถึงไม่ติดก็ไม่เป็นไร ข้าบอกแล้วว่าข้าจะดูแลเจ้าเอง”
เซียวเหิงมองไปที่ถนน แล้วมองกลับมามองนาง ยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางเอ่ย “ถ้าอย่างนั้น ใต้เท้าภรรยา วันหน้าช่วยโปรดชี้แนะด้วย”
กู้เจียวเม้มปากเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “ยังไม่ได้แต่งงานเลย เรียกภรรยาเร็วไปหรือเปล่า”
ทันใดนั้น ชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินสะดุดล้มมาทางพวกเขา เซียวเหิงใช้แขนข้างเดียวปกป้องกู้เจียว แต่ตัวเองไม่ทันหลบ โดนชายคนนั้นชนเข้า
ชายคนนั้นยกมือขึ้นจะต่อยเซียวเหิง แต่กู้เจียวคว้าข้อมือของเขาไว้แล้วเหวี่ยงลงพื้น!
ชายคนนั้นล้มลงไปกองกับพื้นด้วยความโกรธ ตะโกนถาม “เขาเป็นอะไรกับเจ้า!”
กู้เจียวตอบอย่างดุดัน “สามีข้า!”
เซียวเหิงยิ้มมุมปาก ดวงตาเป็นประกายด้วยความสุข
…
นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่แทรกเข้ามา คนผู้นั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกู้เจียว เขาจากไปอย่างอับอาย ทั้งสองคนยังคงเดินชมงานเทศกาลโคมไฟต่อไป
ทันใดนั้น ที่ซอยข้างหน้าใกล้กับแผงขายของ ชายหญิงคู่หนึ่งดูเหมือนจะทะเลาะกันเสียงดัง
เสียงของผู้ชายฟังดูคุ้นหู
ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะมองไปทางนั้นและก็ได้เห็นกู้เฉิงเฟิงลุกขึ้นยืนจากม้านั่งหน้าโต๊ะเล็กๆ อย่างโมโห “เจ้าคนแซ่หยวน! เจ้าพูดเหลวไหลอะไรของเจ้า!”
“ข้าพูดเหวไหลอย่างนั้นหรือ พี่ชายของเจ้าไม่ซื่อสัตย์! ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เขาที่จับเฟิ่งเหนี่ยวได้ แต่เขาสวมรอยว่าเป็นคนจับได้!”
“เฟิ่งเหนียวอะไรกัน! พูดจาไร้สาระ!”
กู้เฉิงเฟิงไม่อยู่เรือนทั้งวัน วันนี้เขาไม่รู้เลยว่าพี่ชายของเขาเพิ่งจะหมั้นหมาย
หยวนถงเท้าสะเอวเอ่ย “อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้เลย! ถ้าพี่สาวข้าไม่ห้ามข้าไว้ ข้าคงไปฟ้องปู่ของข้าแล้ว!”
กู้เฉิงเฟิงเยาะเย้ย “ก็ไปฟ้องสิ!”
หยวนถงกระทืบเท้า “ข้าให้เกียรติพี่สาวข้าต่างหาก!”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างดูถูกเหยียดหยาม “โอ้โห พี่สาวเจ้าช่างจิตใจเมตตาแท้!”
หยวนถงไม่ตอบโต้ แต่รีบเอ่ยต่อทันที “ข้าไม่อยากเป็นญาติกับคนอย่างเจ้า!”
กู้เฉิงเฟิงหัวเราะเยาะเย้ยพลางเอ่ย “คิดว่าข้าอยากเป็นญาติกับเจ้าหรือไง!”
หยวนถงกัดฟันเอ่ย “เจ้าตัวต่อ!”
กู้เฉิงเฟิงไม่ยอมแพ้และตอบกลับ “เจ้าถังกลม! ไม่สิ เห็นว่าเจ้าทึ่มๆ งั้นเปลี่ยนเป็นเรียกเจ้าถังทึ่มดีกว่า!”
“เจ้าว่าใครทึ่ม!” หยวนถงโกรธจนคว้าเก้าอี้ฟาดใส่กู้เฉิงเฟิง
กู้เฉิงเฟิงเป็นคนฝึกยุทธ์ จึงไม่โดนเธอตีได้ง่ายๆ เขาโยกหลบไปรอบโต๊ะพลางเอ่ยอย่างสะใจ “มาสิ มาสิ! เจ้าถังทึ่ม! เจ้าถังทึ่ม! เจ้าถังทึ่ม!”
หยวนถงโมโหมาก ไม่เคยเจอใครกวนประสาทได้เท่านี้มาก่อน
กู้เจียวและเซียวเหิงจำเสียงของอีกฝ่ายได้ แต่ไม่คิดว่ากู้เฉิงเฟิงจะรู้จักเจ้า แถมดูเหมือนว่า ‘สนิทสนมกันมาก’ เสียด้วย
ทั้งสองคนรู้กันโดยไม่ต้องเอ่ยว่าไม่ควรเข้าไปห้ามศึก
กู้เฉิงเฟิงอายุเท่ากับเซียวเหิง เมื่อปีที่แล้วก็บรรลุนิติภาวะแล้ว ตอนนั้นเขาอยู่ที่แคว้นเยี่ยน มีฮ่องเต้ กั๋วซือและอันกั๋วกงเป็นผู้ประกอบพิธีให้
เขาเป็นคนแรกในแคว้นที่ได้รับเกียรติจากใต้เท้าทั้งสองเป็นผู้ประกอบพิธีบรรลุนิติภาวะให้
แต่ดูเหมือนว่า ถึงแม้จะบรรลุนิติภาวะแล้ว เขาก็ยังทำตัวเหมือนเด็กๆ
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
ทั้งสองคนเดินต่อไป เซียวเหิงเห็นกู้เจียวทำท่าครุ่นคิด จึงถามขึ้น
กู้เจียวตอบ “ข้ากำลังคิดว่า ตอนเจ้าทำพิธีบรรลุนิติภาวะ ข้าไม่ได้อยู่ด้วย จะชดเชยให้เจ้าอย่างไรดี”
พิธีบรรลุนิติภาวะเป็นพิธีกรรมที่สำคัญมากในสมัยโบราณ
เซียวเหิงและซ่างกวานชิ่งเพิ่งผ่านพิธีนี้ไปเมื่อเดือนสิบสองปีที่แล้ว ตอนนั้นกู้เจียวกำลังอยู่ที่ชายแดนเพื่อเตรียมการทำสงครามกับแคว้นจิ้น
เซียวเหิงก้มหน้าลงมากระซิบข้างหูนาง “คืนวันแต่งงาน ชดเชยให้ข้าด้วยนะ”
เสียงของเขาช่างนุ่มลึกและมีเสน่ห์ ทำให้ใบหูเล็กๆ ของนางรู้สึกชาวาบและคันยุบยิบ
นางยกมือขึ้นมาลูบใบหูเล็กน้อย “อืม”
เซียวเหิงหัวเราะ “ไม่สิ เจ้าไม่คิดจะปฏิเสธหน่อยหรือ ถ้าข้าจะให้เจ้าทำเรื่องไม่ดีล่ะ เรื่องที่ไม่ดีมากๆ เลยนะ”
กู้เจียวตอบอย่างจริงจัง “อะไรก็ได้”
เซียวเหิงถอนหายใจ กู้เจียวเอ๋ย เจ้าช่างไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความร้ายกาจของบุรุษเลย
เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มผู้แสนบริสุทธิ์จากหมู่บ้านชิงเฉวียน ที่ถึงแม้จะนอนเตียงเดียวกันก็ไม่คิดเรื่องไม่ดีต่อนางอีกแล้ว
เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว
กลายเป็นหมาป่าร้ายกาจ ที่พร้อมจะกลืนกินนางได้ทุกเมื่อ