สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 922-2 ฉลองงานแต่ง (ตอนกลาง) (2)
บทที่ 922 ฉลองงานแต่ง (ตอนกลาง) (2)
……….
ณ จวนติ้งอันโหว
กู้จิ่นอวี๋เองก็ตื่นแล้วเช่นกัน เริ่มเตรียมตัวสำหรับพิธีแต่งงานในวันนี้
นางเปลี่ยนชุดเจ้าสาวสีแดงสด นั่งอยู่หน้ากระจกสำริด มีช่างแต่งหน้าแม่นางซุนเปิดหน้าทำผมให้นาง
เดิมทีนางก็อยากเชิญแม่นางเฉินมา แต่น่าเสียดายที่แม่นางเฉินถูกคนจองตัวไปก่อนแล้ว
แม่นมจางคนสนิทของเหล่าฮูหยินกู้มาหานางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง วุ่นอยู่ในห้อง ทำทุกอย่างแทนที่คนเป็นแม่ต้องทำ
ส่วนแม่ของนางนั้นไปร่วมงานแต่งของพี่สาวนาง
หากจะพูดให้น่าฟังหน่อยคงจะทำนองว่า ตักน้ำถ้วยเดียวย่อมไม่มีมากน้อย ทำการใดย่อมเท่าเทียม แต่ท้ายที่สุดก็ลำเอียงรักลูกแท้ๆ มากกว่า
เสียงหัวเราะรื่นเริงดังมาจากนอกจวนอันเงียบสงบ ไม่ใช่แค่ครั้งคราว แต่เสียงดังมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
“ผู้ใดเสียงดังโหวกเหวกเช่นนี้ ท่านปู่ท่านย่ายังนอนหลับอยู่เลย” กู้จิ่นอวี๋ที่กำลังถูกแม่นางซุนแต่งหน้าเอ่ยถามชุนหลิ่วที่อยู่ข้างกัน
ชุนหลิ่วเอ่ยเสียงอ้อมแอ้มอย่างไม่พอใจนัก “ไม่ใช่จวนพวกเราหรอกเจ้าค่ะ มาจากจวนกั๋วกง”
กู้จิ่นอวี๋เม้มปาก “เหตุใดทางฝั่งนางถึงได้เสียงดังคึกโครมนัก”
“นั่นสิเจ้าคะ! แค่แต่งงานออกเรือนคิดว่าดีเด่กว่าผู้อื่นหรืออย่างไร! แต่งหนที่สองแล้วยังหน้าชื่นตาบานเสียขนาดนี้ ทำอย่างกับคนอื่นไม่รู้ว่านางเคยแต่งงานมาแล้ว”
แม่นางซุนแต่งหน้าอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
เรื่องของคุณหนูสองคนนี้น่ะหรือ คนเขารู้กันทั้งเมืองทั้งนานแล้ว
ลูกสาวตัวจริงพลัดหลงไปอยู่กับชาวบ้าน ไม่ว่าจะทุกข์ยากหรือมั่งมี แต่งงานออกเรือนทั้งสองครั้งก็ยังแต่งกับคนเดิม มีอันใดให้น่าขายหน้ากัน นี่คือโชคชะตา! นี่คือฟ้าลิขิต!
ส่วนเหตุใดจวนคนอื่นถึงได้ครื้นเครง นั่นก็เพราะคุณหนูใหญ่ผู้นั้นมียศมีตำแหน่งน่ะสิ!
หากนางตื่น ข้าทาสทั้งจวนก็ย่อมต้องตื่น!
“ท่านพ่อเล่า” กู้จิ่นอวี๋ถาม
ท่านปู่ไม่มีทางมาหานางอยู่แล้ว ส่วนท่านย่าก็แข็งขาไม่ดี หากต้องมาหาคงลำบากน่าดู
จึงเหลือเพียงแค่ท่านพ่อแล้ว
หากแม้แต่คนเป็นพ่อยังไม่อยู่ยามเข้าพิธีแต่งงาน คงถูกครอบครัวสามีหัวเราะเยาะเป็นแน่
“ไม่รู้ว่าท่านโหวแผลหายดีแล้วหรือไม่…” ชุนหลิ่วเอ่ยเสียงแผ่วเบา
หลังจากฮึกเหิมออกรบข้ามแคว้น ท่านโหวกู้ก็ได้แต่นอนอยู่บนเตียงเป็นเดือน เมื่อวานตอนชุนหลิ่วเข้าไปคำนับ เขายังต้องมีคนคอยพยุงถึงจะเดินไหว
“เจ้าไปดูซิ” กู้จิ่นอวี๋เอ่ย
“เจ้าค่ะ!”
ชุนหลิ่วรีบร้อนเดินออกไป
นางเพิ่งมาถึงหน้าประตูเรือนของท่านโหวกู้ ก็เหลือบไปเห็นท่านเหล่าโหวใบหน้าแจ่มใสชื่นอกชื่นใจ นางก็พลันดีใจ
ท่านเหล่าโหวเหย่ท่าทางเช่นนี้ ต้องมาส่งคุณหนูเข้าพิธีแต่งงานเป็นแน่!
นางเดินเข้าไปด้วยความตื่นเต้น ครั้นกำลังจะคำนับท่านเหล่าโหวเหย่ ท่านเหล่าโหวเหย่กลับเดินเข้าไปในเรือนของลูกชายโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมา
ไม่นานท่านเหล่าโหวเหย่ก็ลากหูท่านโหวกู้ที่เดินขากะเผลกออกมา
นางนิ่งไปก่อนจะเอ่ย “จะลากตัวท่านโหวไปร่วมงานแต่งคุณหนูหรือ”
ชุนหลิ่วเดาถูกครึ่งหนึ่ง
ท่านเหล่าโหวเหย่จะไปร่วมงานแต่งงานจริง แต่ไม่ได้ไปงานแต่งงานของกู้จิ่นอวี๋
…
อีกฟากหนึ่ง กู้ฉังชิงกับกู้เฉิงเฟิงเอาก็ตื่นขึ้นมาในเรือนของตัวเอง
ทั้งสองอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าผืนใหม่ แต่งองค์ทรงเรื่องเสียหล่อเหลา โดยเฉพาะกู้เฉิงเฟิงที่ตั้งใจใช้ขี้ผึ้งหอมจัดแต่งผมให้อยู่ทรง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าไม่มีใครหล่อสู้เขาได้ในวันนี้
ยามนี้อีกนานกว่าจะฟ้าสาง
กู้เฉิงเฟิงไม่อยากรบกวนกู้เฉิงหลิน แต่หารู้ไม่ว่าพอเขาเปิดประตูห้องก็เห็นกู้เฉิงหลินที่แต่งตัวเต็มยศแล้ว
“เอ๊ะ เจ้าตื่นเช้าขนาดนี้เชียว” เขาถามด้วยความสงสัย
กู้เฉิงหลินเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “ข้า… ข้า… ข้าอยากไปพร้อมท่านพี่”
กู้เฉิงเฟิงสีหน้าจริงจัง “ไปที่ไหน ข้าจะไปจวนกั๋วกงฝั่งตรงข้ามนะ”
กู้เฉิงหลินเองก็ขานตอบ “…อืม ข้ารู้”
กู้เฉิงเฟิงยกสองแขนขึ้นกอดอกพลางเหล่มองเขา “เจ้ารู้แล้วยังจะไปอีกหรือ เจ้าไม่อยากคบค้ากับพวกเขามิใช่หรือ” เขาหมายถึงแม่นางเหยา กู้เจียว และกู้เหยี่ยน
“เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว ท่านพี่จะพูดถึงทำไมกัน…” กู้เฉิงหลินเอ่ยเสียงอ้อมแอ้มอย่างรู้สึกผิด เขาลูบ…หัวโล้น…ของตัวเอง เอ่ยเสียงกระปอดกระแปด “แต่ถ้าข้าอยู่ที่นี่ ก็ต้องทำตามคำสั่งของท่านย่า… ต้องแบกกู้จิ่นอวี๋ขึ้นหลัง… ข้าไม่อยากแบกนาง!”
กู้เฉิงเฟิงมองน้องชายด้วยความสงสัย ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงของแม่นมจางก็ดังออกมาจากในเรือน
“ท่านชายสามตื่นแล้วหรือเจ้าคะ คุณหนูรองก็ใกล้เสร็จแล้ว ท่านชายสามก็ไปที่เรือนนู้นได้แล้วเจ้าคะ”
กู้เฉิงหลินรีบขยับเข้ามากระซิบข้างหูพี่ชายของตัวเอง “ได้ยินไหม ได้ยินไหม!”
กู้เฉิงเฟิงถูกเขาเป่าลมเข้าหูในระยะประชิดแบบนั้น ก็รีบโบกมือปัด “เออ เออ ได้ยินแล้วน่า”
เขาเกลียดกู้จิ่นอวี๋ ย่อมไม่อยากให้น้องชายตัวเองแบกนางขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว เขาคว้าข้อมือของกู้เฉิงหลิน ก่อนจะใช้วิชาตัวพาเขาออกไป
“หึ พวกเราสองคนต้องมาถึงเป็นคนแรกแน่เลย”
เมื่อทะยานตัวลงพื้นหลังออกจากจวน กู้เฉิงเฟิงก็คลายข้อมือของกู้เฉิงหลิน ก่อนจะปัดมือตัวเองอย่างลำพองใจ
กู้เฉิงหลินนับนิ้วตัวเอง “คนแรกรึ แล้วในพวกเราสองคน อีกคนไม่ใช่คนรึ”
กู้เฉิงเฟิง “…”
…
ภายในโถงใหม่ของจวนเซวียนผิงโหว องค์หญิงซิ่นหยางกำลังช่วยผูกเชือกและดอกไม้แดงให้กับชุดงานมงคลของเสี่ยวจิ้งคง ทั้งยังสวมหมวกขุนนางใบน้อยเหมือนเจ้าบ่าวให้กับเขาด้วย
เจ้าบ่าวตัวจิ๋วได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
เสี่ยวจิ้งคงมาถึงจวนโหวพร้อมกับเตียงหลังใหม่เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า เดิมทีภารกิจของเขาคือการปูเตียง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีผู้ใดนอนบนเตียงหลังใหม่หลังจากปูเตียงแล้ว เขาจึงนอนที่จวนโหวเสียเลย
เอาแต่เฝ้าเตียงของเจียวเจียวอยู่ทุกวัน
ไปๆ มาๆ จึงกลายเป็นข้ออ้างของเขาในการรับตัวเจ้าสาว
เซียวเหิงนั้นเปลี่ยนชุดเอง เขาเดินเข้ามาในห้องก็เห็นเจ้าบ่าวตัวน้อยที่สวมชุดแบบเดียวกับเขาไม่มีผิดเพี้ยน มุมปากก็กระตุกหงึก
“เจ้าจะทำอะไร” เขาถาม
“ข้าจะแต่งงานกับเจียวเจียว!” เสี่ยวจิ้งคงเท้าสะเอว เอ่ยเสียงหนักแน่น
เซียวเหิงเอ่ยเสียงขม “เจ้าบ่าวต้องขี่ม้านะ เจ้ายังไม่มีม้า ไปไม่ได้หรอก”
“ใครบอกว่าข้าไม่มีม้า” เสี่ยวจิ้งคงมองออกไปหน้าประตู ร้องตะโกนสุดเสียง “เสี่ยวสืออี”
เจ้าราชาม้าถูกประดับด้วยเชือกถัก ทัดดอกไม้แดง แถมยังทาปากสีสด วิ่งควบเข้ามาในลานบ้าน
เซียวเหิงเห็นเจ้าม้าสุดแสลงตาตัวนี้ ร่างทั้งร่างก็พลันสั่นเทา
เจ้าม้าตัวนี้มิได้พากลับมาแคว้นเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ
เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้!
…ราชาม้าหนุ่มวัยสามปีเจ้าแห่งการสะกดรอยตามตอบว่า เรื่องขี้ปะติ๋วน่า!
อันที่จริงราชาม้าก็เพิ่งปรากฏตัวขึ้น เดิมทีกู้เจียวตั้งใจเลือกม้าเฮยเฟิงแสนเชื่องมาให้เสี่ยวจิ้งคงตัวหนึ่ง แต่เมื่อคืนวานตอนที่เสี่ยวจิ้งคงออกไปหาม้าเฮยเฟิง ก็พบว่าม้าเฮยเฟิงนั้นพาตัวเองไปหาราชาม้าของกู้เจียว
“เสี่ยวสืออี!”
เมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วราวกับปีศาจน้อยนั้น ราชาม้าก็ตกใจจนแทบขาอ่อน
แต่สุดท้ายก็ไร้ทางสู้
เสี่ยวจิ้งคงจับมันกลับมาที่โจวเซวียนผิงโหวจนได้
ในตอนนั้นบนหลังของราชาม้ามีอานม้าสำหรับเด็ก เป็นของที่กู้เจียวเตรียมไว้ ตั้งใจทำเองกับมือให้กับกู้เสี่ยวซุ่น
เสี่ยวจิ้งคงออกมาอย่างองอาจ เอ่ยกับองครักษ์ประจำจวนอย่างนอบน้อม “ช่วยอุ้มข้าหน่อยได้หรือไม่ ขอบคุณยิ่งนัก”
องครักษ์อุ้มเขาขึ้นแล้ววางตัวบนลงหลังม้า
เขารัดเชือกอย่างคล่องแคล่ว เอ่ยอย่างลำพองใจ “ข้าจะไปรับเจียวเจียวแล้ว!”
คนทั้งเรือนแทบจะกลั้นขำไม่อยู่
เซียวเหิงจะแพ้ให้กับเณรน้อยได้อย่างไร
เขากระแอมก่อนจะเดินออกจากเรือนไป จากนั้นก็พลิกตัวขึ้นหลังม้างามสูงใหญ่
เสี่ยวจิ้งคงคือเจ้าบ่าวน้อยแสนบ้องแบ๊ว
ส่วนเซียวเหิงนั้นคือลูกชายตระกูลเซียว อาภรณ์หรูหรา เก่งกาจเหนือผู้ใดในแคว้นเจา รูปงามเลื่องระบือไกล ปรีชาสามารถไม่เป็นรองผู้ใด
ทุกสรรพสิ่งทั่วดินแดนแคว้นฟ้าพลันจืดชืดเมื่อเทียบกับเขา
ใบหน้าของเขายังคงหมดจดเหมือนดั่งยามเป็นหนุ่มน้อย ทว่าแววตากลับแฝงไปด้วยความสงบนิ่งและทรงเสน่ห์ของชายชาตรี
องค์หญิงซิ่นหยางเห็นเขาแบบนั้น ความรู้สึกเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์ก็พลันแล่นริ้วขึ้นมาในใจ
ลูกชายโตเป็นหนุ่มแล้ว… เขาโตเป็นหนุ่มแล้วจริงๆ
…
ยามเม่า กู้เจียวเม้มปากกับกระดาษแดงเป็นครั้งสุดท้าย
ช่างแต่งหน้ามองเจ้าสาวแสนงามชวนตกตะลึงตรงหน้า ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงสวมผ้าคลุมหน้าให้กู้เจียว
ในขณะเดียวกันนั้น เสียงตีกลองลั่นฆ้องก็ดังมาจากนอกจวน
อวี้หยาเอ๋อร์ตาเป็นประกาย “บ้านเจ้าบ่าวมาแล้วเจ้าค่ะ!”