สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 937 เสี่ยวอีอีจอมเจ้าเล่ห์
บทที่ 937 เสี่ยวอีอีจอมเจ้าเล่ห์
……….
เหลี่ยวเฉินไม่ขัดข้อง เขาอยากไปเจอเจี้ยนหลูมานานแล้ว และเพื่อแก้แค้นหน่วยเงาทมิฬในตอนนั้นด้วย
…แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อหลบหนีจากการตามล่าเจ้าพวกจมูกนั่น
“ว่าแต่ แล้วลูกสะใภ้ของข้าเล่า” เซวียนหยวนฉีเอ่ยขึ้นกะทันหัน
เหลี่ยวเฉิน “…”
…
ในอีกด้านหนึ่ง จวงไทเฮาก็เสด็จกลับวัง
นางเหลือบมองจี้จิ่วอาวุโสที่กำลังโดยสารรถม้าของนางไม่รู้เป็นหนทีเท่าไรแล้ว สายตานั้นเชือดเฉือนเหลือเกิน
จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยสีหน้าเรียบเฉย “จู่ๆ ก็นึกเรื่องสำคัญได้บางอย่าง ข้ามีเรื่องด่วนต้องกราบทูลฝ่าบาท”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ภายใต้สายอันเย็นชาของไทเฮา เขาเอ่ย “รถม้าข้าพัง”
จวงไทเฮาคร้านเกินกว่าจะสนใจเขา กอดผลไม้อบแห้งของนางแล้วหลับตาลง
ผลไม้อบแห้งในวันนี้กู้เจียวทำเองกับมือ จวงไทเฮาจึงหวงแหนมาก
หลังจากกลับวัง จวงไทเฮามองไปที่ใครบางคนก่อนจะตรัส “ยังไม่ลงรถอีก”
“เอ๊ะ ถึงแล้วหรือ เร็วนัก” จี้จิ่วอาวุโสบ่นพึมพำสองอย่างไม่พอใจ เดินลงจากรถม้าอย่างหงุดหงิดภายใต้สายตาที่ดุร้ายของจวงไทเฮา
รถม้าพาจวงไทเฮาไปที่ตำหนักเหรินโซ่ว จี้จิ่วอาวุโสมองไปที่รถม้าที่กำลังจะจากไปอย่างเงียบๆ จนกระทั่งราชองครักษ์ที่ปฏิบัติหน้าที่เข้ามาหาเขาและโค้งคำนับเขา “ใต้เท้า ประตูวังกำลังจะปิด ท่านมีอะไรจะกราบทูลฝ่าบาทหรือไม่ ข้าน้อยจะให้พวกเขารอ”
“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไร” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยจบ ปัดแขนเสื้อกว้างไพล่หลัง ก่อนจะสาวเท้ายาวเดินออกจากวัง
เหลือเพียงองครักษ์ยืนอยู่ที่เดิม เกาหัวด้วยความงุนงง “ท่านเข้าวังตอนกลางคืนเพื่อชมจันทร์หรือ”
…
เซียวเหิงและกู้เจียวกลับไปที่จวนขององค์หญิงก่อนเพื่อไปคำนับองค์หญิงซิ่นหยาง แต่ได้รับแจ้งว่าองค์หญิงไม่อยู่
สาวใช้รายงาน “มีบางอย่างเกิดขึ้นในค่ายทหารในวันนี้ และท่านโหวไปที่ค่ายทหารและไม่กลับมาจนถึงตอนเย็น คุณหนูน้อยร้องหาท่านพ่อ ร้องไห้จนแทบจะหายใจไม่ออก องค์หญิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาคุณหนูน้อยออกไปชมโคมดอกไม้”
ขณะที่นางเอ่ยก็มองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยกระซิบ “จริงๆ แล้วไปหาท่านโหวเจ้าค่ะ!”
ทั้งจวนรู้ดี แต่จะกล้าหักหน้าองค์หญิงซิ่นหยาง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร
เซียวเหิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี องค์หญิงซิ่นหยางนายหญิงที่ยิ่งใหญ่ในจวนมาหลายปี องค์หญิงซิ่นหยางมีพูดคำไหนคำนั้นวันหนึ่งกลับถูกเด็กน้อยที่ยังไม่อย่านมเล่นงานเข้าให้แล้ว
ใช่แล้ว ร้ายกาจพี่ชายทั้งสองคนของนางด้วยซ้ำ
ทั้งคู่กลับไปที่เรือนหลันถิง
เซียวเหิงอุ้มเสี่ยวจิ้งคงกลับไปที่ห้องและอาบน้ำให้เขา เสี่ยวจิ้งคงหลับสนิท ไม่ยอมตื่นแม้ว่าพี่เขยที่ไม่ดีจะพลิกตัวเขาไปมา
เมื่อเซียวเหิงหยิบชุดนอนมาเปลี่ยนให้เขา ทันใดนั้นเขาก็พบว่าปลายแขนเสื้อและขากางเกงสั้นลง
ขณะเดียวกันนั้นเอง เซียวเหิงก็ตระหนักว่าเด็กน้อยโตขึ้นแล้ว
จิ้งคงถูกกู้เจียวพากลับบ้านเมื่อเขาลงจากภูเขาตอนอายุสามขวบ ในช่วงสามปีครึ่งที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าจิ้งคงติดกู้เจียวมากกว่าเพราะเขามักจะเรียกเจียวเจียว เจียวเจียว ไม่หยุดปาก แต่จริงๆ แล้วเขาใช้เวลากับเซียวเหิงมากที่สุด
อย่างแรกพวกเขาทั้งคู่นอนในห้องเดียว ซึ่งก็ใช้เวลาหนึ่งในสามไปแล้ว
อย่างที่สองกู้เจียวไม่สามารถพาเขาไปด้วยได้เมื่อเขาออกไปทำสงคราม แต่เมื่อเขาไปที่แคว้นเยี่ยนเพื่อตามหากู้เจียว เด็กน้อยก็เดินตามเขาไปทุกฝีก้าว
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน และเขาก็ไม่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงเด็กเลย เพราะกู้เจียวพากลับมา เขาจึงยอมรับอีกฝ่าย
แต่หลังจากต่อปากต่อคำตลอดทาง ทั้งสองก็กลายเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในชีวิตของกันและกัน
เซียวเหิงคลึงปลายแขนเสื้อที่สั้นลงแล้วเอ่ย “เริ่มโตขึ้นแล้ว ต้องตัดเสื้อผ้าใหม่อีกแล้วสินะ เจ้านี่เปลืองผ้าจริงๆ !”
เสี่ยวจิ้งคงครางงัวเงียราวกับบ่นพึมพำ
เซียวเหิงกลับไปที่ห้องด้านบน กู้เจียวล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว สวมชุดนอนผ้าไหมเนื้อเย็นเฉียบ นั่งอยู่ที่โต๊ะเพื่อจัดยาในกล่องยาขนาดเล็ก
เมื่อเซียวเหิงเห็นนาง ความรู้สึกสงบสุขก็หลั่งไหลเข้ามาในใจ เขายิ้มพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ข้าไปอาบน้ำก่อน”
“อื้ม เอาสิ” กู้เจียวยังคงก้มหน้าก้มตาจัดยาต่อไป
เมื่อเซียวเหิงอาบน้ำเสร็จ นางยังคงจัดของไม่หยุดและมีสีหน้าแปลกๆ
“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามข้างๆ นาง
“หนึ่ง สอง สาม” กู้เจียวนับยาแก้อักเสบที่ใส่กลับเข้าไปในกล่อง หันไปหาเซียวเหิงพลางเอ่ย “เจ้าสังเกตไหมว่ามันดูเหมือนจะใหญ่ขึ้นเล็กน้อย”
“กล่องยาหรือ” เซียวเหิงมองดูอย่างระมัดระวัง
กู้เจียวเอ่ย “เดิมทีช่องหนึ่งใส่ได้แค่สามกล่อง แต่วันนี้ใส่ได้สามกล่อง”
เซียวเหิงจำโครงสร้างภายในของกล่องยาใบน้อยได้ไม่ชัดเจนนัก เขารู้เพียงว่ามันดูเล็ก แต่จริงๆ แล้วสามารถจุได้เยอะ ถ้าพูดด้วยภาษากู้เจียวละก็ ภายในของมันมีอีกมิติหนึ่งที่ต่างออกไป
ส่งเรื่องขนาดกล่องนั้น…
หลังจากพินิจอยู่ครู่หนึ่ง เซียวเหิงใช้นิ้ววัดความยาว ความกว้างและความสูง “ดูเหมือนว่าจะยาวขึ้นหนึ่งนิ้ว”
กู้เจียวเบิกตากว้างแล้วเอ่ย “ใช่ไหม ข้าเพิ่งค้นพบวันนี้”
เป็นเพราะยุ่งกับการแต่งงานครั้งใหญ่เมื่อเร็วๆ นี้ และหลังแต่งงานก็มีความสุขจนแทบไม่มีเวลาจัดระเบียบอย่างจริงจัง
กล่องยาใบน้องช่างมหัศจรรย์นัก แม้แต่กู้เจียวยังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ นางทำได้เพียงยืนยันว่ามันมาจากอารยธรรมขั้นสูง ไม่ใช่สิ่งของจากมิตินี้
เซียวเหิงนั่งลงข้างๆ นาง แล้วเอ่ยถามนาง “ตอนนั้นเจ้าได้กล่องนี้มาได้ยังไง”
“อาจารย์พ่อให้ข้า” กู้เจียวเอ่ยตามตรง
เกี่ยวกับที่มาของตัวเอง กู้เจียวสารภาพกับเซียวเหิงว่านางมาจากอีกช่วงเวลาหนึ่ง โดยใช้คำศัพท์ที่เซียวเหิงเข้าใจได้ นั่นคือ วิญญาณของนางครอบครองร่างนี้
แต่นางไม่ค่อยเอ่ยถึงประสบการณ์ใดในอีกมิติหนึ่ง
“อาจารย์พ่อคืออะไร” นี่เป็นคำศัพท์ใหม่สำหรับเซียวเหิงในตอนนี้
กู้เจียวอธิบายความหมายของอาจารย์พ่ออย่างง่ายให้เซียวเหิงฟัง แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้หมายถึงพ่อในองค์กร แต่เป็นคำที่ให้ความเคารพต่อหัวหน้าในกลุ่มของตัวเอง
อันที่จริง อาจารย์พ่อก็อายุไม่ต่างจากนางมากนัก
นางจำได้ชัดเจนว่าตอนอายุได้แปดขวบ ย่าที่ดูแลนางเพียงคนเดียวก็เสียชีวิต นางนั่งอยู่ใต้ชายคาที่เต็มไปด้วยโคลนเพียงลำพัง ยามฝนกระหน่ำ นางนั้นเปียกปอนเหมือนไก่ในน้ำแกง
นางตัวสั่นสะท้าน คิดว่าตัวเองจะแข็งตายที่นี่ จากนั้นก็มีรองเท้าบูททหารสีดำมันเปื้อนโคลนก้าวเข้ามาหานาง
ฝนตกหนักมาก นางเงยหน้าขึ้นมองเขา แต่ฝนก็สาดจนนางแทบจะลืมตาไม่ขึ้น
จำได้เพียงตอนที่นางก้มหน้าลง มือสีขาวซีดที่ดูเหมือไร้อุณหภูมิยื่นมาตรงหน้านาง
นั่นคือมือที่สวยที่สุดที่นางเคยเห็น
“คุณ… คุณเป็นใคร”
“ราชา ต่อไปเรียกข้าว่าอาจารย์พ่อ”
เด็กหนุ่มอายุสิบหกปี เสียงทุ้มต่ำ นิ่งสงบและเลือดเย็น
ขณะที่กู้เจียวครุ่นคิด เซียวเหิงจ้องนางไม่กระพริบตา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินข่าวชายอีกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับนางจากปากนาง
“เจ้าใส่ใจเขามาก”
เขาเอ่ย
มันเป็นน้ำเสียงที่หนักแน่น
“อืม” กู้เจียวพยักหน้าอย่างไม่ปิดบัง เอ่ยอย่างจริงจัง “ถ้าไม่มีเขา ข้าก็คงไม่มีวันนี้”
ถ้าอาจารย์พ่อหัวไม่พานางกลับไป นางคงแข็งตายในสายฝนนั้น
ทักษะทั้งหมดของนางได้รับการสอนจากอาจารย์พ่อ
แต่ความทรงจำเกี่ยวกับอาจารย์พ่อ นางก็ไม่ค่อยแน่ใจ
ก่อนหน้านี้นางไม่รู้สึกแบบนี้ นางไม่สามารถบอกได้ว่ามันเริ่มต้นเมื่อไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเร็วๆ นี้ นางรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่านางลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป
“ภรรยา” เซียวเหิงเอ่ยอย่างใจเย็น “ข้าหึง” ประเภทที่ง้อไม่หาย
“ฮะ” กู้เจียวมองเขาอย่างงุนงง “เรื่องอะไรกัน”
เซียวสารภาพหน้าตาเฉยว่าหึงหวง “เจ้าไม่เคยสนใจข้าขนาดนี้มาก่อน”
กู้เจียว “…”
…
ราตรีอันมืดมิด ลมกรรโชกแรง
รถม้าวิ่งอยู่บนถนนสายกว้าง
“เจ้าตัวแสบ เจ้าจะไปหาพ่อเจ้าให้ได้ใช่ไหม”
ในรถม้า องค์หญิงซินหยางถามอย่างขุ่นเคืองขณะกอดเจ้าตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน
เวลานี้ เด็กคนอื่นๆ เข้านอนแล้ว ลูกสาวที่น่ารักของนางยังคงลืมตาเบิกกว้างเหมือนอัญมณี ไม่มีทีท่าว่าจะง่วงนอนเลย
“ให้รถม้าเลี้ยวกลับ” องค์หญิงซินหยางสั่งอวี้จิ่น
อวี้จิ่นออกคำสั่งให้คนขับรถม้า
ทันทีที่รถม้าเลี้ยวกลับ เสี่ยวอีอีผู้เงียบสงบในอ้อมแขนของนางก็กำหมัดแน่นแล้วร้องไห้เสียงดัง!
องค์หญิงซิ่นหยางโมโหกระทืบเท้า
ในที่สุดรถม้าก็หยุดใกล้ค่ายทหาร
เวลานี้เหล่าขุนนางบุ๋นเลิกงานเร็วแล้ว ส่วนเหล่าขุนนางบู๊ก็ช้ากว่าหน่อย มีรถม้าจอดอยู่ข้างถนนหลายคัน องค์หญิงซิ่นหยางเลือกตำแหน่งที่ไม่สะดุดตาเป็นพิเศษ ชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
เสี่ยวอีอีซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของแม่อย่างว่าง่ายเพื่อรอพ่อ
ในที่สุด เซวียนผิงโหวก็ออกมา
“ท่านโหว!” อวี้จิ่นมองลอดช่องผ้าม่านหลังหน้าต่าง “ดูเหมือนจะมีคนอยู่ข้างๆ ด้วย เป็น…นายพลเฉียน”
นายพลเฉียนเป็นขุนศึกของราชสำนัก เดิมทีเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านโหว แต่เมื่อไม่นานมานี้ถูกย้ายไปประจำการที่ค่ายตะวันตกในเมืองหลวง
“รอก่อน” องค์หญิงซินหยางเอ่ย
นางไม่อยากให้ใครรู้ว่านางมาหาเซียวจี่
ทั้งสองคุยกันอย่างสนุกสนาน พลางเอ่ยคุยกันหลายเรื่อง ทันใดนั้นนายพลเฉียนก็เอ่ยถึงเรื่องที่จะเชิญเซวียนผิงโหวไปฟังเพลงที่หอหร่วนเซียง
หอหร่วนเซียงเป็นสถานเริงรมย์ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เป็นหอนางโลมที่มีชื่อเสียงเทียบเท่ากับพอเซียนเล่อหญิงสาวข้างในต่างก็สวยงาม
“เมื่อเร็วๆ นี้ มีสาวงามมาที่หอหร่วนเซียงไม่น้อย ข้าน้อยขออนุญาตเชิญท่านโหวไปฟังเพลงเล็กๆ น้อยๆ” นายพลเฉียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
อวี้จิ่นมองไปที่องค์หญิงของนางอย่างสุขุม องค์หญิงซิ่นหยางไม่มีการเปลี่ยนแปลงสีหน้า
นางเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “องค์หญิง”
องค์หญิงซินหยางเอ่ยอย่างมั่นใจ “เขาไม่ตกลงหรอก เขาต้องกลับมากล่อมอีอี”
จากนั้นเซวียนผิงโหวก็ขึ้นรถม้าของนายพลเฉียน
หลังจากที่ทั้งสองจากไป อวี้จิ่นก็แทบไม่กล้าหายใจ
“กลับจวน!” องค์หญิงซินหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไม่ ไม่ไปดูหน่อยหรือ” อวี้จิ่นถามเสียงเบา
องค์หญิงซินหยางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “มีอะไรให้ดู เขาอยากไปเที่ยวหอนางโลม ข้าต้องไปห้ามเขาไหม เขาอยากไปไหนก็ไป ไม่เกี่ยวกับข้า!”
เสี่ยวอีอีอาจจะสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของท่านแม่ จึงเชื่อฟัง ไม่ร้องไห้หาพ่อ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
รถม้าขององค์หญิงซิ่นหยางจอดอยู่หน้าหอหร่วนเซียง