สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 939 หลงอีผู้น่าสะพรึงกลัว
บทที่ 939 หลงอีผู้น่าสะพรึงกลัว
……….
ครั้งแรกที่เสี่ยวอีอีเจอคนที่ยื่นถังหูลู่แข็งโป๊กให้นางกิน ฟันนางยังไม่ขึ้นเลย!
เมื่อองค์หญิงซิ่นหยางและอวี้จิ่นกลับมาจากห้องบุปผา เสี่ยวอีอีกำลังถูกเด็กหนุ่มในชุดคลุมดำอุ้มอยู่ในอ้อมอก มือเล็กๆ ถือถังหูลู่เงาแวววาวและกำลังเลียกินอย่างเอร็ดอร่อย
แม่นมยืนนิ่งเนื้อตัวสั่นเทาอยู่ด้านข้าง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
นางไม่รู้จักชายผู้นี้ แต่นางแย่งเขาไม่ไหว
อวี้จิ่นมองเด็กหนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน จึงร้องตะโกนด้วยความตกใจ “ฉังจิ่ง”
…
“ท่านโหว ท่านโหว!”
เซียวจี่กำลังพาซ่างกวานชิ่งทำท่านั่งม้าในห้องฝึกยุทธ พ่อบ้านหลิวกลับเร่งฝีเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าลนลาน
“มีเรื่องอันใด” เซียวจี่เหลือบมอง
พ่อบ้านหลิวยกมือเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ยิ้มเอ่ยอย่างเหนื่อยหอบ “ฉังจิ่งกลับมาแล้ว! อยู่กับองค์หญิงขอรับ!”
เขาใช้คำว่ากลับมา แทนที่จะใช้คำว่ามา
ในใจของทุกคน ฉังจิ่งได้กลายเป็นสมาชิกในจวนโหวมานานแล้ว
ซ่างกวานชิ่งหันมองพ่อของตน ฉังจิ่ง ยอดฝีมือในชุดคลุมดำใช่หรือไม่
สีหน้าเซียวจี่ดูเรียบเฉย แต่คำพูดหลังจากนั้นของเขากลับดูร้อนรน เขาเอ่ยกับบุตรชาย “เจ้าทำท่านั่งม้าก่อน วันนี้ เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วยาม ห้ามขี้เกียจเด็ดขาด ข้าจะไปดูสักหน่อย เจ้าดูเขาไว้ด้วย!”
พ่อบ้านหลิวรีบขานตอบ “ขอครับท่านโหว!”
เซียวจี่หันหลังเดินจากไป
ซ่างกวานชิ่งเก็บท่าทันที และลุกขึ้นอย่างสง่างาม
พ่อบ้านหลิวถอนใจอย่างจนปัญญา สั่งให้เขาดูคุณชาย มิใช่เสียเวลาเปล่าหรอกหรือ เขาจะไปสู้กับคนเจ้าเล่ห์ตรงหน้าได้อย่างไร
เซียวจี่ไปที่จวนองค์หญิง
เพิ่งก้าวเข้าประตูลานบ้าน เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ฉังจิ่งกลับมาแล้ว ควรจะมาที่จวนโจวก่อนสิ เหตุใดถึงไปจวนองค์หญิงได้เล่า
“หรือว่าไอ้หนุ่มนี้ยังเฝ้าคิดถึงฉินเฟิงหวั่นอยู่เสมอ”
ฉังจิ่งถูกดึงดูดไปที่จวนองค์หญิงด้วยเสียงร้องไห้ของเสี่ยวอีอี ทว่าฉังจิ่งใฝ่คิดถึงองค์หญิงซิ่นหยางน้อยก็เป็นเรื่องจริง
องค์หญิงซิ่นหยางจงเกลียดจงชังเซียวจี่ แต่มิได้ไม่รังเกียจฉังจิ่ง ครั้งหนึ่งฉังจิ่งที่ได้รับบาดเจ็บเดินทางผ่านเรือนบนถนนจูเชวี่ย องค์หญิงซิ่นหยางเห็นเขาจึงเรียกเขาเข้ามาในเรือนและสั่งคนพันแผลให้เขา
หลังจากนั้น เขาบาดเจ็บมักแวะผ่านมาที่นี่ พันแผลเสร็จแล้ว บางครั้งก็จะอยู่ฝากท้องก่อนกลับจวนโหว
เซียวจี่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน
ฉังจิ่งไม่มีมารดา มีเพียงพี่สาวเจ็ดคน เขาได้สัมผัสถึงพลังของความเป็นแม่จากองค์หญิงซิ่นหยาง เขาจึงชื่นชอบองค์หญิงซิ่นหยางมาก
เมื่อเซียวจี่เข้ามาในเรือน เสี่ยวอีอีก็ถูกแม่ของตนแย่งชิงถังหูลู่ไปแล้ว ล้างมือเล็กๆ ให้สะอาด และนอนหลับใหลอย่างเชื่อฟังอยู่ในเปล
ฉังจิ่งนั่งลงข้างโต๊ะ กินบะหมี่หยางชุน เขาหิวจึงกินอย่างเอร็ดอร่อย
ทว่าสิ่งนี้มิใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญคือมีอาหารเรียกน้ำย่อยรสเลิศวางอยู่หน้าเขาหลายจาน ล้วนเป็นรสชาติที่เขาชื่นชอบทั้งสิ้น
มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่งคือเขาร้องขอเอง สองคือจวนองค์หญิงเตรียมไว้สำหรับเขา
หากเป็นแบบแรก แสดงว่าเขาไม่ได้ถือว่าตนเองเป็นคนนอก แต่หากเป็นแบบที่สอง แสดงว่าจวนองค์หญิงรู้ถึงคววามชอบเป็นอย่างดีดี!
เซียวจี่รู้สึกทันทีว่าสถานะในครอบครัวของเขาถูกสั่นคลอน
“พวกเจ้าพูดคุยกันไปก่อน ข้ามีธุระต้องสะสาง” องค์หญิงซิ่นหยางเห็นเขาเดินมา จึงไปที่ห้องบุปผาดูแลดอกโบตั๋นที่เพิ่งซื้อมาใหม่พร้อมกับอวี้จิ่น
เสียงฟ้าร้องหยุดลง ท้องฟ้ามืดครึ้ม รู้สึกเหมือนฝนกำลังตก
เซียวจี่มองบุตรสาวคนเล็กก่อน บุตรสาวคนเล็กกำลังเล่นอย่างสนุกสนาน เขาก็นั่งลงตรงข้ามฉังจิ่ง
ไม่เจอกันครึ่งค่อนปี ฉังจิ่งดูสูงขึ้นอีกแล้ว แววตาฉายแวววาวความองอาจ แต่กลับมาก็ยังดูเป็นเด็กหนุ่มคงเดิม
“หนีออกจากบ้านอีกแล้วรึ” เซียวจี่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เซียวจี่สังเกตเขา ก่อนหน้านี้ไม่เคยใส่ใจ แต่พอวันนี้ถึงเพิ่งตระหนักว่าเขากินอาหารด้วยท่าทางที่สง่าผ่าเผย
ดูเหมือนว่าถูกฉินเฟิ่งหวานสั่งสอนมาแล้ว
ฉังจิ่งกินก๋วยเตี๋ยวหมด ดื่มน้ำซุปจนหมด วางชามตะเกียบไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ
อารมณ์ของเซียวจี่จึงยิ่งดูประหลาดขึ้น
“ข้ามาหาท่านน่ะ” ฉังจิ่งเข้าเรื่อง “ข้าคิดว่าท่านตายแล้ว จึงพาคนออกไปเก็บศพท่าน”
เซียวจี่ถึงกับสำลัก ต้องขอบคุณเจ้ามากเลยสินะ
ฉังจิ่งเอ่ยต่อ “เมื่อพวกข้าเดินทางถึงชายแดนแคว้นเยียน ได้ยินว่าท่ารอดชีวิตกลับมาแล้ว”
เซียวจี่เอ่ยเสียงราบเรียบ “จากนั้นพ่อของเจ้าก็ยอมให้เจ้าเดินทางไกลมาหาข้าอย่างนั้นหรือ”
ฉังจิ่งตอบ “ไม่ เขาไม่ยอม ข้าจึงออกจากทุ่งน้ำแข็งไม่ได้”
เซียวจี่มองเขาด้วยความขำขัน “แล้วเมื่อครู่ยังตอบว่าไม่ได้หนีออกจากบ้านอีก นี่มันเรื่องอะไรรึ”
ฉังจิ่งตอบอย่างจริงจัง “ข้าบอกกับพ่อว่า ท่านคือพ่อตาในอนาคตของข้า ท่านยกลูกสาวให้กับข้าแล้ว เขาจึงตกลงให้ข้าพาคนมาสู่ขอ”
“ข้ามีลูกสาวให้เจ้าที่ไหนเล่า…” เซียวจี่เอ่ยเย้ยหยันเพียงครึ่งท่อน สายตาก็เหลือบไปเห็นเสี่ยวอีอีที่เอามือจับเท้าน้อยๆ ตนเองเล่นอยู่ในเปลอย่างสนุกสนาน
เขาลุกพรวดขึ้น คว้าเก้าอี้ที่เขานั่งเมื่อครู่นี้มาถือไว้ “เจ้าริคิดหมายตาลูกสาวข้า!”
ฉังจิ่งรีบวิ่งไปที่ประตูแล้วอธิบาย “ข้าไม่รู้ว่าท่านมีลูกสาวจริงๆ ! ข้าพลั้งปากพูดไปมั่วๆ น่ะ!”
ฉังจิ่งเดินทางออกจากแคว้นเจาพร้อมกับเซียวจี่ ทั้งสองต่างไม่รู้ว่าองค์หญิงซิ่นหยางตั้งครรภ์ และในยุคสมัยโบราณ การสื่อสารยังไม่สะดวก ข่าวดีที่องค์หญิงซิ่นหยางคลอดบุตรสาวจึงส่งไปไม่ถึงเกาะราตรีมืด
ฉังจิ่งเพียงอยากสรรหาข้ออ้างที่ฟังดูมีน้ำหนักเพื่อหลอกบิดาและพี่สาวทั้งเจ็ด
เซียวจี่ไม่เชื่อ เขาโกรธ โกรธมาก!
เขาคว้าเก้าอี้ไล่ต้อนฉังจิ่งครึ่งตำหนัก
สองชั่วยามต่อมา ทั้งผู้ใหญ่และเด็กหนุ่มล้วนยืนหอบอยู่ในสวนบุปผา รักษาระยะห่างไว้ราวสิบกว่าก้าว
เซียวจี่ที่บาดเจ็บตรงบริเวณเอว ไล่ไม่ไหวแล้ว ในขณะที่ฉังจิ่งก็หน้าช้ำปากเปื่อยไปหมดแล้ว
เซียวจี่หายใจหอบและจ้องเขาตาเขม็ง โยนเก้าอี้ลงกับพื้น หันหลังกลับไปยังห้องหนังสือ
ฉังจิ่งเบ้ปากด้วยความน้อยใจ เดินกะเผลกตามเขาไป
เซียวจี่นั่งในห้องหนังสือได้ไม่นานก็ลุกขึ้นอีกครั้ง มุ่งหน้าไปที่จวนองค์หญิง อุ้มเสี่ยวอีอีออกจากเปล และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าห้ามแต่งงานจนกว่าอายุแปดสิบ เข้าใจหรือไม่”
เสี่ยวอีอี “…”
เซียวเหิงเพิ่งไปวัดขนาดตัว ราชสำนักจะตัดชุดขุนนางของเซ่าฝูให้กับเขา เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อม เขาถึงเข้าเฝ้ารับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ
เมื่อเขากลับมาถึงจวนก็ได้ยินว่าฉังจิ่งกลับมาแล้วและถูกเซียวจี่ไล่ตีจนเจ็บตัว และกู้เจียวว่างอยู่พอดี เขาจึงไปที่จวนโหวพร้อมกับกู้เจียว และเผชิญกับเซียวจี่ที่เดินมาจากจวนองค์หญิงพอดี
“ท่านพ่อ” เซียวเหิงทักทาย “ได้ยินว่าฉังจิ่งกลับมาแล้ว”
พ่อของเขาคิดถึงฉังจิ่ง คงดีใจมากแน่
แต่พ่อของเขากลับโกรธจัด เค้นเสียงออกมาด้วยความไม่พอใจ “หึ!”
เซียวเหิง นี่มันปฏิกิริยาอะไรเนี่ย
“เขาโกรธข้าใช่หรือไม่” เซียวเหิงเอ่ยถามกู้เจียว
กู้เจียวเอ่ย “ข้าคิดว่าเขาโกรธฉังจิ่งนะ”
“ทำไมหรือ” เซียวเหิงรู้สึกงุนงง เขาเพิ่งกลับมาจากด้านนอก จึงไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก
กู้เจียวชี้กองสินสอดในลานบ้าน “ของเหล่านั้นเป็นสินสอดของน้องสาวเจ้า”
เซียวเหิง “…”
ฉังจิ่งล้อเล่น แต่ฉังคุนคิดจริง ไม่เพียงปล่อยฉังจิ่งกลับแคว้นเจา และให้ท่านลุงหลีที่เฝ้าดูฉังจิ่งเติบโต ขนสินสอดจำนวนมากมามอบให้ เพื่อแสดงความจริงใจ
นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่เสียจริงๆ
…
ทั้งโดนตี โดนด่า ต่อมาก็ถึงเวลาสอบถามความจริงแล้ว
คนทั้งสี่นั่งลงในห้องหนังสือ
ฉังจิ่งนั่งตรงข้ามกู้เจียว โดยใช้กู้เจียวขวางสายตาพิฆาตของเซียวจี่
เซียวจี่ยังโกรธอยู่ จึงไม่อยากพูดคุยกับฉังจิ่ง
คนที่เอ่ยปากจึงเป็นเซียวเหิง
เขาเอ่ยถาม “ฉังจิ่ง ระหว่างทางกลับเจอแม่ทัพใหญ่เซวียนหยวนกับเหลี่ยวเฉินบ้างหรือไม่”
ฉังจิ่งงุนงง “เหตุใดข้าถึงต้องเจอพวกเขาด้วย”
เซียวเหิงตอบ “พวกเขาไปที่เจี้ยนหลู เดินทางทางน้ำ ออกเดินทางเมื่อเดือนที่แล้ว เจ้าก็เพิ่งเดินทางกลับมาจากทางนั้นพอดี”
รังของเจี้ยนหลูก็อยู่บนเกาะเช่นกัน ไม่ไกลจากเกาะราตรีมืด
ฉังจิ่งส่ายศีรษะ “ข้ามาทางบก ไม่เจอพวกเขา”
เพราะนำสินสอดมูลค่าสูงจำนวนมากมาด้วย กลัวว่าหากมาทางน้ำหีบจะเปียกจึงเลือกใช้ทางหลัก
ฉังจิ่งครุ่นคิด “พวกเขาไปเจี้ยนหลูเพื่อล้างแค้นหน่วยเงาทมิฬในยามนั้นใช่หรือไม่ หากใช่ พวกเขาคงไปเสียเที่ยวแล้ว”
“ทำไมรึ” เซียวเหิงเอ่ยถาม
ฉังจิ่งตอบ “เจี้ยนหลูถูกฆ่าล้างจนสิ้นซากแล้ว”
เซียวจี่เงยหน้ามองเขาอย่างเหลือทน “เจ้าฟังใครมา”
ฉังจิ่งตอบอย่างจริงจัง “ไม่ได้ฟังมาจากใคร ข้าเห็นกับตาตัวเอง หลังจากเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ พ่อของข้าพาข้าไปฆ่าล้างเจี้ยนหลู เจี้ยนหลูที่แท้จริง”
เจี้ยนหลูคิดว่าตนหลบซ่อนไว้อย่างดีแล้ว ซึ่งแท้จริงแล้ว เกาะอั้นเย่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนนานแล้ว แต่ฉังคุนมิใช่คนที่ทะเยอทะยาน หากเจี้ยนหลูไม่โจมตีเขาก่อน เขาก็จะไม่ท้าทายเจี้ยนหลู
เซียวจี่ขมวดคิ้ว “เหตุใดพ่อเจ้าถึงต้องฆ่าล้างเจี้ยนหลูด้วยเล่า”
ฉังจิ่งตอบอย่างรู้สึกผิด “ก็มิใช่เพราะท่านหรอกหรือ พ่อข้าคิดว่าท่านตายในทุ่งน้ำแข็ง เพื่อให้ข้ารู้สึกดีขึ้น เขาจึงตอบตกลงทำลายศัตรูของท่าน… เจี้ยนหลู”
พูดกันอย่างจริงๆ จังๆ เจี้ยนหลูไม่ใช่ศัตรูของเซวียนผิงโหว แต่เจี้ยนหลูกลับโจมตีตระกูลเซวียนหยวน ซ่างกวานชิ่งและกู้เจียวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซวียนผิงโหวจึงอยากสังหารพวกเขาให้สิ้นซาก
“พูดต่อ” เซียวจี่เอ่ย
ฉังจิ่งเล่าต่อ “คนของสำนักอั้นเย่พวกข้าขึ้นเกาะเจี้ยนหลู ถึงเห็นศพอยู่ทุกหนทุกแห่งและไม่มีผู้ใดรอดชีวิต มีคนลงมือกับเจี้ยนหลูก่อนพวกข้า อากาศไม่ร้อน ศพเน่าเปื่อยไม่มาก ตามที่ท่านลุงหลีคาดเดา พวกเขาถูกฆ่าตายเมื่อสามวันก่อน”
กู้เจียวเปล่งเสียงด้วยความประหลาดใจ “ใครเก่งกาจถึงเพียงนี้”
เจี้ยวหลูมีพฤติกรรมโอหังอวดดี ไม่แปลกที่จะสร้างศัตรูไว้จำนวนมาก แต่ศัตรูใดจะสามารถฆ่าล้างได้ทั้งเจี้ยวหลูกัน”
เฉินจิ่งตอบ “บาดแผลบนร่างกายของพวกเขาล้วนเหมือนกัน พ่อข้ากับท่านลุงหลีคิดว่าพวกเขาถูกสังหารด้วยดาบของคนคนเดียว”
กู้เจียวเบิกตากว้าง “เจ้าหมายความว่า… คนคนเดียว…ฆ่าล้างทั้งสำนักงั้นหรือ”
เซียวจี่กับเซียวเหิงนิ่งเงียบ
ในใจของพ่อลูกคู่นี้นึกถึงชื่อหนึ่งขึ้นพร้อมกัน
เซียวเหิงจ้องพลางเอ่ย “หลงอี”