สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 945-2 เจ้าแห่งสงครามผู้คลั่งน้องชายอาละวาด (2)
บทที่ 945 เจ้าแห่งสงครามผู้คลั่งน้องชายอาละวาด (2)
……….
กว่าเซียวเหิงจะออกมาจากเหล่าขุนนางที่รายล้อมได้ ทั้งกายก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เขากลับมาถึงจวนองค์หญิง เพิ่งจะเข้ามาในเรือนก็เห็นว่าซ่างกวานชิ่งอยู่ด้วย
เขาเรียงหน้ากากสิบกว่าชิ้นบนโต๊ะ ถามกู้เจียวที่นั่งอยู่ข้างๆ “เจ้าลองดู อันไหนคือหน้ากากในฝันของเจ้า”
“เจ้าสั่งทำทั้งหมดเลยหรือ” กู้เจียวถาม
ซ่างกวานชิ่งเอ่ย “ใช่น่ะสิ ข้าเอาแบบบนกระดาษของเจ้าให้ช่างที่โรงเหล็กดู แต่ละคนทำออกมาไม่เหมือนกัน มีรายละเอียดที่แตกต่าง เจ้าลองดูว่าอันไหนเหมือนที่สุด”
“อืม อันนี้” กู้เจียวหยิบหน้ากากอันที่สามซ้ายมือ เป็นหน้ากากทองแดงที่มีเขี้ยวยาว
เรื่องนี้เดิมที่ผ่านไปตั้งนานแล้ว แต่พอได้ยินว่าคนของเจี้ยนหลูเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว ซ่างกวานชิ่งจึงกลับมาให้ความสำคัญเรื่องนี้อีกครั้ง
“เจ้าจะกลับแคว้นเยี่ยนมิใช่หรือ” กู้เจียวถาม
ซ่างกวานชิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “อีกสองสามวันค่อยกลับก็ได้”
เขาต้องฆ่าพวกเจี้ยนหลูสารเลวให้สิ้นซากเสียก่อน
เขาหยิบหน้ากากที่กู้เจียวเลือกขึ้นมา ชำเลืองมองเจ้าน้องชายหน้าเหม็นก่อนจะเอ่ยในทันใด “เจ้ามาพอดี เจ้าช่วยวาดรูปหน้ากากพวกนี้ที วาดให้เหมือนหน่อย จะได้คัดลอกได้ง่ายๆ แล้วแจกจ่ายออกไป ให้พวกองครักษ์ออกตามหา”
“ได้” เซียวเหิงขานรับ
กู้เจียวเห็นตั้งนานแล้ว เขาในชุดสีแดงเข้มของรองราชเลขา ยิ่งทำให้เขาหล่อเหล่ายิ่งกว่าเดิม งดงามดุจหยก
สองสามีภรรยาจ้องตากัน แม้แต่อากาศก็พลันหอมหวานขึ้นมา
ซ่างกวานชิ่งกลอกตา
นี่เขามาเพื่อกินอาหารสุนัขหรือไร พวกเจ้าพอได้แล้ว
เซียวเหิงเดินเข้ามานั่งในห้อง หยิบกระดาษขึ้นก่อนจะลงมือวาดหน้ากาก
ที่เขาวาดมิใช่หน้ากากเท่านั้น แต่ยังมีเครื่องแต่งกายของเหล่าศิษย์เจี้ยนหลู รวมไปถึงกระบี่นิลบุหลันเล่มนั้น
เจ้าน้อยชายหน้าเหม็นนี่ก็ใช้ได้นี่นา
ซ่างกวานชิ่งมองเขาอย่างตกตะลึงก่อนจะเอ่ย “แบบนี้หาง่ายกว่าเดิมเยอะเลย! ว่าแต่พวกเจ้าชิงกล่องนั่นกลับมาได้อย่างไร”
ทั้งสองคนมองหน้ากัน เซียวเหิงเอ่ยเสียงเรียบ “ความลับน่ะ”
“เชอะ” ซ่างกวานชิ่งฮึดฮัด “ไม่บอกก็ช่างเถิด! แต่ก็นะ ครั้งนี้พวกเขาทำไม่สำเร็จ คงต้องกลับมาเป็นครั้งที่สองแน่ พวกเจ้าเดาว่าคืนนี้พวกเขาจะมาหรือไม่”
ทั้งสองคนยังไม่ทันได้ตอบ อวี้หยาเอ๋อร์ก็พลันรีบร้อนพรวดพราดเข้ามา “คุณหนู! ท่านชาย! พ่อบ้านเจิ้งมาแล้วเจ้าค่ะ!”
พ่อบ้านเจิ้งเป็นคนสนิทของอันกั๋วกง เขามาหาถึงบ้านต้องมีเรื่องเกี่ยวกับอันกั๋วกงแน่นอน
ทั้งสองรีบให้อวี้หยาเอ๋อร์พาพ่อบ้านเจิ้งเข้ามา
พ่อบ้านเจิ้งกระวีกระวาดเข้ามาในห้อง เขาหยุดอยู่ตรงหน้ากู้เจียว สองขาอ่อนแรง กู้เจียวประคองแขนเขาไว้ได้ทัน “พ่อบ้านเจิ้ง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ มีอะไรค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา”
พ่อบ้านเจิ้งร้องไห้ฟูมฟาย “ท่านกั๋วกง… วันนี้ท่านกั๋วกงไปซื้อของที่ตลาดให้คุณหนู… แต่ไม่รู้ว่าผู้ใด…. จับตัวท่านกั๋วกงไปแล้ว!”
อันกั๋วกงออกไปไหนมาย่อมมีหน่วยกล้าตายติดตามอยู่แล้ว แถมฝีมือก็ไม่ด้อยไปกว่าใคร สามารถชิงตัวอันกั๋วกงไปจากพวกเขาได้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ยอมฝีมือธรรมดา
ทั้งสามคนสบตากัน ก่อนจะคาดเดาสิ่งเดียวกันโดยมิได้นัดหมาย
เจี้ยนหลู
กู้เจียวเอ่ยถาม “พวกเขาทิ้งจดหมายอะไรไว้หรือไม่”
พ่อบ้านเจิ้งร้องได้ส่ายหน้า “ไม่ขอรับ… ไม่มีอะไรเลย… จับตัวแล้วก็หนีไปเลย…”
กู้เจียวเอ่ยสีหน้าจริงจัง “เกิดเรื่องขึ้นที่ใด”
พ่อบ้านเจิ้งเอ่ยเสียงสะอื้น “ฝั่งตะวันออกของทะเลสาบลี่! ข้าเห็นพวกมันมุ่งหน้าไปทางประตูเมืองตัวตก…”
แววตาของเซียวเหิงสั่นไหว “ประตูเมืองตะวันตก… พวกมันตั้งใจจะพาอันกั๋วกงกลับไปที่เจี้ยนหลูหรือ”
นั่นสินะ เจียวเจียวเป็นลูกสาวบุญธรรมของอันกั๋วกง หากอันกั๋วกงอยู่ในกำมือ คิดว่าเจียวเจียวจะไม่ดิ้นหรือ
พวกต้องการล่อเจียวเจียวไปที่เจี้ยนหลู เกรงว่าพวกมันจะรู้แล้วว่าหากต้องการนำกล่องยาใบน้อยไป ก็ต้องพาตัวเจียวเจียวไปด้วย
“ข้าจะไป เจ้าอยู่ที่เรือนรอข้า…”
เซียวเหิงยังเอ่ยประโยคสุดท้ายไม่ทันจบ กู้เจียวก็รวบผมขึ้นอย่างไม่ลังเล
….
ยามอาทิตย์อัสดง รถม้าที่ไม่สะดุดตาคันหนึ่งเคลื่อนออกมาจากประตูทิศเหนือของเมืองหลวง
สารถีขับรบอย่างระมัดระวัง นอกจากนั้นยังที่องครักษ์อีกสี่นายควบม้าประกบ
ภายในรถม้า ชายสองคนนั่งประจันหน้ากัน หนึ่งในนั้นคืออันกั๋วกงที่ถูกจับตัวมา ส่วนอีกคนหนึ่งคือมือกระบี่ที่ช่วยชีวิตหลีเจียงผิงไว้
มือกระบี่สวมหน้ากากเงิน ปกปิดใบหน้าทั้งหมด แต่จากผิวพรรณบนลำคอและหลังมือแล้ว พอเดาได้ว่าเขายังอายุไม่มากนัก แต่พอเขาเอ่ยปากก็ยืนยันข้อสันนิษฐานของอันกั๋วกง
อย่างมากคงประมาณสามสิบปี
“อันกั๋วกง พวกข้ามิได้มีเจตนาร้าย ขอท่านอย่าได้กังวลใจไป”
เขาเอ่ยกับอันกั๋วกง
อันกั๋วกงสงบนิ่งมาโดยตลอด ไม่ได้วิงวอนร้องขอชีวิตแต่อย่างใด พอได้อีกฝ่ายพูดแบบนั้น เขาเอ่ยเสียงเนิบ “พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ใด”
มือกระบี่หัวเราะเสียงเย็น “ท่านไม่ต้องรู้หรอก แค่ให้ความร่วมมือ ไม่อย่างนั้นท่านคงต้องลำบากเสียหน่อย”
อันกั๋วกงไม่ได้หวาดกลัวกับทำข่มขู่ของเขา เอ่ยเสียงสงบนิ่ง “พวกเจ้าคือคนของเจี้ยนหลูสินะ”
แววตาของมือกระบี่ตื่นตระหนก เห็นได้ชัดว่าคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเดาออกได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่ไม่นาน เขาก็ยิ้มออกมา “สมกับเป็นอันกั๋วกง ฉลาดล้ำเลิศกว่าผู้ใด”
แปลว่ายอมรับแล้วสินะ
ดูท่าสถานการณ์จะไม่สู้ดีสักเท่าไร
ในเมื่อมีแต่คนตายเท่านั้นที่เก็บความลับได้ อีกฝ่ายคงไม่ยอมให้เขารอดชีวิตจากไป
หากคนเองตายไปนั้นมิใช่เรื่องใหญ่ เขากังวลว่าจะลำบากเจียวเจียวต่างหาก
มือกระบี่หัวเราะเสียงเย็น “เหตุใดถึงไม่พูดเล่า กำลังคิดอยู่หรือว่าจะหนีอย่างไร อย่าเปลืองแรงคิดเลย ท่านหนีไม่พ้นหรอก แล้วก็อย่าหวังว่าจะมีใครมาช่วยท่าน พวกเขาคิดว่าพวกข้าออกประตูตะวันตกไปแล้ว กว่าพวกเขาจะไหวตัวทันพวกเราก็ขึ้นเรือแล้ว”
อันกั๋วกงมองเขาสายตาราบเรียบ “พวกเจ้าจับข้ามาเพื่อข่มขู่ผู้ใด จวนกั๋วกง ตระกูลเซวียนหยวนหรือว่าราชวงค์ต้าเยี่ยน”
“ไม่ใช่ทั้งนั้น” มือกระบี่หัวเราะ “พวกข้าแค่ต้องการเชิญลูกสาวบุญธรรมของท่านไปที่เกาะของพวกข้า”
เป้าหมายคือเจียวเจียวอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด!
แรงอาฆาตฉายขึ้นในแววตาของอันกั๋วกง
มือกระบี่เห็นสายตาอำมหิตของเขา ก่อนจะเย้ยหยัน “เหอะ คิดจะฆ่าข้ารึ คนพิการอย่างท่านจะทำอะไรได้ ข้าแค่กระดิกนิ้วก็บีบท่านจนแหลกได้ แต่ท่านวางใจเถิด ท่านอ่อนแอปานนี้ ข้าเกรงว่ายังไม่ทันจะออกแรง ท่านก็จะมาชิงตายไปเสียก่อน ลูกสาวของท่านจะมาไม่ทันน่ะสิ!”
อันกั๋วกงเอ่ยเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อน “เจียวเจียวกับพวกเจ้าไม่ได้มีความแค้นต่อกัน เหตุใดพวกเจ้าถึงทำกับนางเช่นนี้”
มือกระบี่หัวเราะพลางเอ่ย “ความแค้นน่ะมีอยู่ ในเมื่อนางฆ่าศิษย์เจี้ยนหลูมากมายที่ชายแดน แน่นอนว่าพวกนั้นเป็นแค่ศิษย์ปลายแถว นับว่าเป็นความแค้นใหญ่หลวงอะไรนัก ขอแค่นางมอบของที่พวกข้าต้องการมาให้แต่โดยดี บางทีพวกข้าอาจจะไว้ชีวิตนาง”
ไว้ชีวิตเจียวเจียวนั้นเป็นเรื่องโกหก แต่ต้องการของของเจียวเจียวนั้นเป็นความจริง
อันกั๋วกงเอ่ย “พวกเจ้าต้องการของสิ่งใด ข้าจะซื้อให้พวกเจ้าใหม่ก็ได้ ชุดเกราะของนางหรือ หรือว่าอาวุธของนาง”
มือกระบี่เอ่ยอย่างมีเลศนัย “มีค่ากว่าของเหล่านั้นเยอะ พูดไปท่านก็ไม่เข้าใจหรอก”
เอ่ยจบเข้าก็แหวกม่านออก ถามสารถี “อีกนานเท่าไรถึงจะถึงท่าเรือ”
“สามชั่วยาม” สารถีตอบ
“ไม่มีทางลัดหรือ” มือกระบี่ถาม
“มี”
“เช่นนั้นก็ไปทางนั้น!”
“ทางลัดต้องผ่าป่า อาจจะเจอสัตว์ร้าย….”
“พวกเรากลัวสัตว์ร้ายหรือไร ไปทางลัด!”
มือกระบี่ออกคำสั่ง สารถีก็ทำตามนั้น
โชคดีที่พวกเขาดวงดีไม่น้อย จึงไม่เจออันตรายใดในป่า
หนึ่งชั่วยามผ่านไป พวกเขาเคลื่อนตัวมาถึงถนนหลวงของหมู่บ้านอวี้สุ่ย
“ข้างหน้าก็ถึงท่าเรือแล้ว นายท่าน ท่านแน่ใจว่าจะมีเรือหรือ” สารถีถาม
“นั่นมิใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวล” มือกระบี่มิได้อดทนกับสารถีเหมือนกับอันกั๋วกง
“ขอรับ” สารถีเงียบลงด้วยความแค้น
แน่นอนว่ามีเรือแล้ว ทุกอย่างเตรียมกาลไว้ล่วงหน้า พวกเขาจะเข้าแคว้นเยียนทางน้ำ และเข้าเจี้ยนหลูจากแคว้นเยี่ยน
เขาไว้ชีวิตพ่อบ้านให้กลับไปบอกข่าวแม่เด็กนั่น หากแม่เด็กนั่นไม่โง่จบเกินไปก็คงเดาออกว่าต้องไปตาหาอันกั๋วกงที่เจี้ยนหลู
แม่หนู เจอกันที่เจี้ยนหลูก็แล้วกัน
รถม้าจอดลงหน้าท่าเรือ เรืออูเผิงลำใหญ่เคลื่อนเข้ามาใกล้
หลีเจียงผิงยืนอยู่บนเรือ โบกมือให้คนบนฝั่ง
มือกระบี่มองเห็นจากหน้าต่าง เขาพยักหน้าให้ ปลดผ้าม่านลง ก่อนจะกระโดดลงจากรถม้า
แต่ขณะที่เขากำลังจะลำเลียงรถเข็นและอันกั๋วกงลงจากรถม้า เสียงนกเหยี่ยวอันน่าตื่นตระหนกก็ดังขึ้นบนท้องฟ้าอันเงียบสงัด
ม่านราตรีราวกับถูกเสียงร้องของเหยี่ยวตัวนั้นฉีกเป็นช่องโหว่ รังสีอาฆาตอันรุนแรงดั่งคลื่นสมุทรปกคลุมลงมา
มือกระบี่และหลีเจียงผิงหัวใจกระตุกวูบ รู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น
เสียงฝีเท้าม้าดังใกล้เข้ามา ทั้งสองเหลียวไปมอง
ภาพที่เห็นคือท่ามกลางราตรีอันมืดมิด กู้เจียวสะพายทวนพู่แดงควบม้าเข้ามา พร้อมกับรังสีสังหารอันรุนแรง ชุดศึกสีแดงชาดกระทบกับสายลม เกราะเหล็กสีดำสะท้อนแสงเย็นยะเยือกภายใต้แสงจันทร์
มือกระบี่ตกตะลึง “นั่นมัน…”
หลีเจียงผิงเคยเจอกู้เจียวมาก่อน แต่กู้เจียวในจวนกับกู้เจียวที่แผ่รังสีอำมหิตของเทพสงครามบนหลังม้าคนนี้ ราวกับเป็นคนละคน เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองในตอนแรก
“ขึ้นเรือ!”
เขาเพิ่งจะตั้งสติได้
กู้เจียวควบอยู่บนหลังราชาม้าเฮยเฟิง ชักคันธนูในมือด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนจะยิงเขาร่วงตกน้ำในทันที