สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 946-2 พี่ใหญ่มาแล้ว (2)
บทที่ 946 พี่ใหญ่มาแล้ว (2)
……….
ผู้ที่ลักพาตัวอันกั๋วกงไปเป็นยอดฝีมือที่มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศคนหนึ่ง กอปรกับความคุ้นเคยกับภูมิประเทศ
จึงแทบไม่มีผู้ใดไล่ตามเขาได้เลย
ช่วยไม่ได้ที่ผู้ที่ไล่ตามเขาคือนกไห่ตงชิงเจ้าแห่งเวหา ต่อให้เขามีปีกงอกออกมาก็ยังบินสู้อีกฝ่ายไม่ได้
เขากลับอยากยิงนกอินทรีที่บินวนเวียนอยู่เหนือศีรษะให้ร่วงลงมา แต่อินทรีบินสูงเกินไป ซ้ำเขาก็ไร้ธนู อาศัยแค่ปราณกระบี่ แม้แต่ขนของมันก็ยังไม่โดน
อย่าเห็นว่าหมู่บ้านซ่อนดาบเป็นสำนักเล็กๆ เชียว ตำแหน่งที่ตั้งนั้นพิถีพิถันมาก มันตั้งอยู่ในชัยภูมิที่มีทิวทัศน์สวยงามเขาสวยน้ำใส เชิงเขาเป็นประตูสำนัก เดิมทีประตูนี้มีศิษย์คอยเฝ้า ยามนี้เปลี่ยนเป็นศิษย์ของเจี้ยนหลูแล้ว
จากนี้ต้องขึ้นบันไดร้อยขั้น จึงจะถึงสำนักที่อยู่ตรงไหล่เขา
กู้เจียวไล่ตามมาถึงเชิงเขา อาจเพราะเคยประมือกับยอดฝีมือคนนั้นแล้ว ศิษย์สองนายที่เฝ้าอยู่เตรียมพร้อมอย่างดี ชักกระบี่ออกมาทีละคน มองไปยังกู้เจียวอย่างระแวดระวัง
“เจ้าคือผู้ใด!”
หนึ่งในนั้นถามขึ้น
กู้เจียวไม่เปลืองน้ำลายกับพวกเขา พุ่งเข้าสังหารทันที
เบื้องบนคือบันได ราชาม้าเฮยเฟิงไปต่อไม่ได้แล้ว กู้เจียวจึงให้มันไปรออยู่ในป่า ส่วนนางถือทวนพู่แดงไล่สังหารขึ้นไปบนหมู่บ้าน
อย่าเห็นว่านางสังหารอย่างง่ายดายเชียว ใช่เพราะว่าพวกเขาอ่อนแอไม่ ศิษย์ทุกคนล้วนมีฝีมือประหนึ่งหมาป่าสวรรค์
เป็นเพราะฝีมือของนางแข็งแกร่งขึ้นมาก ส่วนนมากน้อยเท่าใดนั้นนางยังไม่อาจสรุปได้ นางยังไม่เจอคู่ต่อสู้ที่ทำให้นางแสดงฝีมือทั้งหมดออกมาได้เลย
“พวกนอกรีตกำเริบเสิบสาน! นึกไม่ถึงว่าจะกล้าทำร้ายศิษย์เจี้ยนหลูของข้า!”
ในขณะที่กู้เจียวกำลังจะเข้าไปในหมู่บ้าน บุรุษอาภรณ์เทาสวมหน้ากากเงินคนหนึ่งเหยียบย่ำรัตติกาล ถือกระบี่ทะยานมาหากู้เจียว
เห็นได้ชัดว่ามาดของคนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าศิษย์เหล่านั้นอีก
เป็นยอดฝีมือขนานแท้
กระบี่ของเขากระทบบนทวนพู่แดงของนาง อาวุธปะทะกัน สะเก็ดไฟวาบขึ้น พร้อมกับเสียงปะทะก้องกังวาน กู้เจียวสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนอันรุนแรงที่แขนตัวเอง
กู้เจียวพลันถูกบีบให้ถอยไปหลายก้าว
นางปรับสายตามองผู้มาใหม่
ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคน แต่รูปร่างดูเหมือนชายหนุ่มแข็งแรงสุดจะเปรียบ กล้ามเนื้อแขนและหน้าอกกำยำล่ำสันแทบจะทะลักออกมาจากอาภรณ์
คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่ฝึกร่างกาย ในขณะเดียวกันก็มีกำลังภายในมหาศาลมากด้วย กู้เจียวสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่พอๆ กันกับวิญญาณทมิฬจากร่างของเขา
หากเป็นตนเมื่อหนึ่งปีก่อนไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของวิญญาณทมิฬได้แน่
ทว่านางในยามนี้ มีฝีมือที่จะต่อสู้กับเขาได้แล้ว!
กู้เจียวกำทวนพู่แดงในมือแน่น เริ่มหาช่องโหว่ของอีกฝ่าย
บุรุษชะงักไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดเลยว่าคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะไม่มีความคิดที่จะถอยเลย ภายใต้ฝีมือที่เหลื่อมล้ำเช่นนี้
“เจ้าเป็นใคร”
เจ้าเด็กนี่เรียกความสนใจจากเขาเสียแล้ว
กู้เจียวเอ่ย “ข้าเป็นใคร ไม่สู้เจ้าไปถามสหายร่วมสำนักเจ้าที่ปรโลกดีกว่า!”
“เจ้าเป็นสตรีอย่างนั้นรึ” บุรุษตกใจอีกครา เขามองดวงหน้างามชวนใจสั่นดุจจันทราของกู้เจียว ก่อนจะพึมพำ “มิน่าเล่า”
เขาก็คิดอยู่ว่าเหตุใดถึงมีบุรุษหน้าตาน่ามองเช่นนี้ได้
กู้เจียวมองไปรอบๆ ละแวกนี้ไม่ได้มีท่าเรือที่เดียว หากชักช้าอันกั๋วกงอาจจะโดนพวกเขาพาขึ้นเรือจากท่าอื่นก็ได้
นางไม่เปลืองน้ำลายกับเขาอีก ง้างทวนพู่แดงเข้าสังหารเขา!
…
อีกด้านหนึ่ง พวกเซียวเหิงกับซ่างกวานชิ่งถูกศิษย์ของเจี้ยนหลูล้อมอยู่ระหว่างทาง
เขาขมวดคิ้วเอ่ย “ครานี้เจี้ยนหลูมากันกี่คนกันแน่ พวกเขาแฝงตัวเข้ามาในแคว้นเจาได้อย่างไร”
เซียวเหิงหันมองศิษย์เจี้ยนหลูที่ล้อมพวกเขาไว้อย่างระแวดระวัง “คาราวานสินค้า โรงบู๊ใต้ดิน ขบวนสู่ขอของสำนักอั้นเย่ ล้วนเป็นไปได้หมด”
ซ่างกวานชิ่งกัดฟันเอ่ย “ไอ้คนแซ่หลีนั่นสมควรตายเป็นหมื่นหนจริงๆ !”
เซียวเหิงเอ่ย “เขาเป็นแค่ลูกน้อง คนบงการอยู่หลังม่านตัวจริงคือเจ้าสำนักเจี้ยนหลูต่างหาก”
“ฆ่าพวกมัน!”
หัวหน้าของศิษย์เจี้ยนหลูออกคำสั่ง คนอื่นๆ พากันพุ่งไปหาองครักษ์ลับของจวนเซวียนผิงโหว
เพียงไม่นานทั้งสองฝ่ายก็เข่นฆ่ากัน หากว่ากันเรื่องสู้คนเดียว องครักษ์ลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์เจี้ยนหลู แต่จำนวนขององครักษ์ลับมากถึงสามเท่าของศิษย์เจี้ยนหลูกลุ่มนี้ จึงถ่วงเวลาพวกเขาไว้ได้สักระยะจริงๆ !
เซียวเหิงคว้าข้อมือซ่างกวานชิ่งไว้ อาศัยจังหวะชุลมุนเข้าไปในป่าด้านข้าง
เสียงการเข่นฆ่าด้านหลังค่อยๆ ห่างไกลออกไป ซ่างกวานชิ่งลอบพรูลมหายใจโล่งอก ถาม “เดินไปทางไหนต่อ”
เซียวเหิงเอ่ย “หลีเจียงผิงบอกว่าไปทางตะวันออก ข้างหน้าคือตะวันออก”
ซ่างกวานชิ่งรีบเอ่ย “อ้อ เช่นนั้นพวกเรารีบไปกัน!”
ใครจะคิดว่าเดินไปไม่ทันไร เสียงใสกังวลดัง ‘กร๊อบ’ ก็ดังขึ้นใต้ฝ่าเท้าซ่างกวานชิ่ง ความเจ็บแปลบพุ่งเข้าโจมตีข้อเท้าระลอกหนึ่ง เขาสะดุดล้มทันที หน้าคะมำลงกับพื้น
เซียวเหิงหยุดฝีเท้าทันใด หันหลังเดินกลับไปหาเขา นั่งยองๆ ถาม “เป็นอะไรไป”
ซ่างกวานชิ่งยันพื้นลุกขึ้นนั่ง ไม่ลืมเก็บปืนไฟที่หล่นอยู่ข้างๆ ขึ้นมาด้วย เขาเหงื่อเย็นผุดซึมเอ่ย “เท้าของข้า…เหมือนจะโดนบางอย่างหนีบเอา…”
เซียวเหิงถลกชายอาภรณ์เขาขึ้นมอง ขมวดคิ้วมุ่นเอ่ย “เป็นกับดักสัตว์ อาจจะเป็นชาวบ้านแถวนี้มาวางไว้ ท่านทนหน่อย ข้าจะแงะมันออก เอาปืนไฟมาให้ข้า”
ซ่างกวานชิ่งถามอย่างฉงน “เอาปืนไฟไปทำอะไร”
เซียวเหิงมองกับดักสัตว์ที่หนีบเข้าเนื้อของซ่างกวานชิ่ง เอ่ย “มีเพียงปืนไฟที่แข็งมากพอ”
ซ่างกวานกอดปืนไฟไว้แน่น “ดะ…เดี๋ยวมันก็โดนหนีบพังหรอก”
เซียวเหิงเหลือบตาขึ้นมองเขา “ปืนไฟพังแล้วข้าจะทำใหม่ให้ หากเท้าท่านเน่าขึ้นมาข้าหาใหม่ให้ไม่ได้หรอกนะ”
ซ่างกวานชิ่งยื่นปืนไฟให้น้องชายหน้าเหม็นอย่างปวดใจ พลางเอ่ยด้วยความอาลัยอาวรณ์ “เช่นนั้นเจ้าเบาๆ หน่อย…ไม่ใช่กับข้านะ กับมัน มันเป็นภรรยาข้า เจ้าอย่าทำภรรยาข้าเจ็บล่ะ”
เซียวเหิง “…”
…
ณ หมู่บ้าน
กู้เจียวเสร็จสิ้นการต่อสู้กับบุรุษผู้นั้น บุรุษคนนั้นพล่ามมากจริงๆ นางได้รู้ตัวตนของเขาจากปากเขาแล้ว เขาเป็นผู้คุมกฎคนที่เจ็ดของเจี้ยนหลู
ผู้คุมกฎคนที่เจ็ดโดนต่อยจนหน้ากากแหลกลงพื้น ล้มกระแทกพื้นอย่างแรง กุมหน้าอกกระอักเลือดออกมาไม่หยุด
เขาหอบหายใจมองกู้เจียว แววตามีแต่ความเหลือเชื่อ
ไหนสหายร่วมสำนักบอกว่าเด็กสาวนางนี้สู้ไม่ได้แม้แต่วิญญาณทมิฬอย่างไรเล่า
นี่เรียกว่าสู้ไม่ได้รึ
นี่มันกระทืบเลยต่างหาก!
วรยุทธ์ของเขาพอๆ กันกับวิญญาณทมิฬ แต่เมื่อครู่ตอนที่ประมือกัน นอกจากกระบวนแรกที่ตนฉวยโอกาสจู่โจมในยามที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันระวังตัวบีบเด็กนี่ถอยไปได้แล้ว หลังจากนั้นเด็กนี่ก็เป็นฝ่ายโจมตี ตนไม่อาจโต้คืนได้เลย!
สิบกระบวนแรกสูสีกัน พอกระบวนที่สิบเอ็ดเป็นต้นไป ตนก็ไร้ที่ให้โต้คืนเด็กนี่แล้ว
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้!
……….