สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 948-2 หลงอีผู้น่ารัก (2)
บทที่ 948-2 หลงอีผู้น่ารัก (2)
“พิชิตเวหา! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
นักบุญเสวียนอู่โยนกระบี่ยาวในมือทิ้ง เพิ่มกำลังภายในให้ถึงจุดสูงสุด พุ่งเข้าใส่หลงอีอย่างแรง เขาไม่สนว่าพิชิตเวหาจะแทงโดนเขาหรือไม่ มันสำคัญรึ เพราะเขาต้องการตกตายไปด้วยกันกับพิชิตเวหา!
ซ่างกวานชิ่งสูดหายใจเย็น “เฮ้ยๆๆ ! นั่นน่ะเจ้าระวังตัวนะ!”
เซียวเหิงขมวดคิ้ว “หลงอี!”
นักบุญเสวียนอู่เห็นความตายดุจคืนสู่มาตุภูมิพุ่งเข้าใส่หลงอี หลงอีทะยานกายขึ้นเร้นหลบไปอย่างสมบูรณ์
นักบุญเสวียนอีไม่มีทางลดละเพียงเท่านี้ เขาใช้วิชาตัวเบาถึงขีดสุด ไล่ตามไปประหนึ่งเงา
หลงอีมองเขาแวบหนึ่ง แล้วใช้วิชาตัวเบาทะยานตัวขึ้นอีกครา มาหยุดอยู่ริมหน้าผา เขากุมกระบี่ยาวแน่นชี้ไปยังนักบุญเสวียนอู่
นักบุญเสวียนอู่พุ่งไปหาอย่างไม่คิดชีวิต
หลงอีกุมหัวนั่งยองๆ
นักบุญเสวียนอู่ “…”
เจ้านี่มัน!
ไหนจะแทงข้าอย่างไรเล่า!
“ข้าไม่ยอม”
นักบุญทั้งรุ่นทะยานร่วงลงหน้าผาพร้อมกับเสียงคำรามอันคลุ้มคลั่ง
ซ่างกวานชิ่งปากอ้าตาค้าง “…”
เซียวเหิงพรูลมหายใจโล่งอก ยังคงเป็นหลงอีที่คุ้นเคย
เหลือเพียงนักบุญชิงหลงคนสุดท้ายแล้ว เขาเป็นนักบุญที่มีวรยุทธ์แข็งแกร่งที่สุด ทว่าในขณะนั้นเองเขาก็เกิดความคิดจะถอยขึ้นมา เขาไม่อยากสู้กับหลงอีแล้ว
เขาถอยไปไกล
ระยะห่างนี้ ไล่ตามไปยากมาก
ดวงตาของหลงอีกลอกกลิ้งไปมา มาดเย็นชามลายหายไปในชั่วพริบตา เขาล้มตัวลงนอนกับพื้น นอนหงายแผ่หรา
เห็นนักบุญชิงหลงยังไม่มาเสียที เขาเบ้ปาก แลบลิ้นปลิ้นตาใส่
ราวกับกำลังบอกว่า
บาดเจ็บแล้ว ฆ่าง่ายนะ
เซียวเหิงกับซ่างกวานชิ่งปิดตาทนมองไม่ได้ ฝีมือการแสดงห่วยแตกพรรค์นี้ จะไปแย่งบทกับเจียวเจียวรึ
นักบุญชิงหลงถูกสายฟ้าฟาดจนกรอบนอกนุ่มใน ร่างสั่นสะท้าน!
“ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก!”
เขาหันหลังเดินจากไปเลย!
ปั้ง!
เป็นเสียงลั่นไกปืนไฟของซ่างกวานชิ่ง
นักบุญชิงหลงโดนปืนเป่ากระเด็น หลงอีลุกขึ้นเสริมไปอีกเท้า ถีบเขาร่วงลงหน้าผาอย่างสมบูรณ์
ซ่างกวานชิ่งเป่าปากกระบอกปืน วิ่งตึงๆ ไปริมหน้าผา ทอดมองไปเบื้องล่าง อาการกลัวความสูงกำเริบ เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง คว้าแขนของหลงอีไว้
หลงอีมองกรงเล็บนั้นที่คว้าแขนตนเอาไว้ ข่มใจไว้ไม่ฟันลงไป
ซ่างกวานชิ่งไม่ได้รู้เลยว่ากรงเล็บตัวเองเกือบโดนฟังทิ้งแล้ว เขาหันหน้าไปยักคิ้วหลิ่วตาให้หลงอี “เมื่อครู่นี้พวกเราสองคนเข้าขากันดีทีเดียวกระมัง ข้ามีนามว่าซางกวานชิ่ง! เป็นพี่ชายของเซียวเหิง! เฮ้อ น้องชายหน้าเหม็นทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ทำเป็นแต่เรียนหนังสือ ไม่สู้ต่อไปนี้เจ้ามาอยู่กับข้าดีว่า! อืม…ข้าไปอยู่กับเจ้าก็ได้! พวกเราสองคนถือกระบี่ท่องทั่วยุทธภพ นั่นจะต้อง…”
เอ่ยไปเอ่ยมา จู่ๆ หลงอีที่อยู่ข้างกายเขาก็แววตาคบกริบ หันกลับมาฟันปราณกระบี่ออกไป!
ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว เซียวเหิงกับกู้เจียวที่อยู่ในแนวกระบี่โดนเงาร่างหนึ่งที่เข้าประชิดเงียบๆ จับตัวไปแล้ว
พวกเขามุ่งไปทางบรรพตหลัง
หลงอีไม่พูดพร่ำทำเพลงใช้วิชาตัวเบาไล่ตามไป
ซ่างกวานชิ่งร้องเรียกไว้ “เฮ้ย! รอ รอข้าด้วย!”
เขามองกู้ฉังชิงกับอันกั๋วกงที่อยู่หลังก้อนหิน ไม่ได้ จะไปไม่ได้ เขาต้องรั้งอยู่!
…
ในป่ารกชัฏตรงเนินเขาแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มรูปงามสองคนคลำความมืดเดินทางกันอยู่
“จุดตะเกียงไม่ได้จริงๆ รึ”
“ไม่ได้ เดี๋ยวจะโดนจับได้!”
“นี่ยังไม่ถึงไหล่เขาเลย ไกลปานนี้จะไปเห็นได้อย่างไร”
“เจ้าอย่าดูเบาความสามารถของศิษย์เจี้ยนหลูเชียว”
“เฮอะ ศิษย์สุนัขเจี้ยนหลู ไม่แน่ว่าอาจถูกพี่สาวข้าสังหารเกลี้ยงไปแล้วก็ได้!”
กู้เฉิงเฟิงปรายตามองเขาอย่างหมดคำจะพูด
กู้เหยี่ยนเอ่ย “ทำอะไรน่ะ ข้าพูดผิดหรือไร”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ย “เอาละ เอาละ เอาละ เจ้าถูกต้อง เจ้าถูกหมดนั่นแหละ แต่ว่านะ ก่อนจะมั่นใจว่าไม่ได้เสียหายอะไรสักอย่าง พวกเรายังคงระวังไว้จะดีกว่า ข้าคนเดียวไม่กลัวหรอก แต่เจ้าไม่เป็นวรยุทธ์ หากมีคนมาจริงๆ ข้ากลัวว่าเจ้าจะหนีไม่พ้น!”
“เฮอะ!” กู้เหยี่ยนหันหน้าหนี
กู้เฉิงเฟิงสั่งสอนอย่างจริงใจ “อีกเดี๋ยวเจอพี่สาวเจ้าแล้ว อย่าบอกเชียวว่าข้าเป็นคนพาเจ้ามา!”
กู้เหยี่ยนยกสองมือกอดอก “รู้แล้ว บอกแค่ว่าเจอกันระหว่างทาง”
เจียวเจียวไม่มีทางเชื่อหรอก
เจ้าโดนต่อยแน่
แม้ว่าข้าจะเป็นคนอยากตามมาก็ตาม
กู้เฉิงเฟิงทอดมองเบื้องหน้าพลางเอ่ย “เฮ้ย ทางนั้นเหมือนจะมีบ้านไม้ไผ่เล็กๆ อยู่ ข้าจะไปดูสถานการณ์ก่อน เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ อย่าตาม…”
คำว่า ‘มา’ ยังไม่ทันได้เอ่ย กู้เฉิงเฟิงก็พบว่ากู้เหยี่ยนทิ้งเขาไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่แล้ว
…ไม่ต้องถึงขั้นนี้ก็ได้
ด้านในบ้านไม้ไผ่น้อยนั่นไม่มีแม้แต่เงาคน กู้เฉิงเฟิงร้องเสียงนกกาเหว่าไปสองหน นี่เป็นสัญญาณลับว่าทุกอย่างปลอดภัย
กู้เหยี่ยนปรากฏตัวเดินมาหา
กู้เฉิงเฟิงเอ่ย “ไม่มีคน พวกเราไปหมู่บ้านกันเถิด”
“ได้” กู้เหยี่ยนพยักหน้า เขาหันหลังเหยียบลงไปก้าวหนึ่ง ไม่รู้ว่าเหยียบโดนอะไร จู่ๆ พื้นก็แยกเป็นช่อง ทั้งคู่ร่วงลงไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
…
หลงอีไล่ตามเงามืดนั้นมาถึงห้องหารือของหมู่บ้านซ่อนดาบ
ห้องโถงกว้างขวางว่างเปล่าของห้องหารือ บนเชิงเทียนทั้งสองฝั่งมีเปลวเพลิงไหวระริก ไม่นับว่าสว่างไสว มันถูกลมราตรีพัดไหวระบำ ชวนให้นึกถึงเพลิงผีเดือนเจ็ดขึ้นมา
บนแท่นที่หันหน้าไปทางประตูใหญ่ ตรงกลางมีเก้าอี้ไม้จันทน์ตัวโตวางอยู่
ชายชราคลุมหน้าในอาภรณ์ยาวสีขาวอมเทาตลอด ด้านนอกคลุมด้วยผ้าผืนบางสีทองนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยมาดน่าเกรงขาม กลิ่นอายของเขาไม่ได้แผ่กำจายออกไปด้านนอก นี่เป็นวรยุทธ์ชั้นสูงสุด
ทั่วทั้งเจี้ยนหลูผู้ที่สามารถถึงขั้นนี้ได้นอกจากหลงอีแล้ว ก็มีเพียงเจ้าสำนักแซ่หรงผู้นั้น
ภายในห้องโถงหลัก มีเจ้าสำนักเพียงคนเดียว
หลงอีแววตาเย็นเยียบดุจน้ำแข็งทอดมองเขา กุมกระบี่นิลบุหลันในมือแน่น
เจ้าสำนักหรงยิ้มจางๆ เอ่ย “พิชิตเวหา ในที่สุดเจ้าก็มา”
หลงอีแววตามีความเคียดแค้นและเพลิงโทสะอันไร้ขอบเขตปรากฏขึ้น “ส่งตัวคนออกมา”
เจ้าสำนักหรงรอยยิ้มจางลงเล็กน้อย “ไม่ได้พบกันตั้งนานหลายปี แม้แต่คำว่าอาจารย์ก็เรียกไม่เป็นแล้วหรือ”
หลงอีกระชับกระบี่ในมือแน่น
เจ้าสำนักหรงแย้มยิ้มใจดีขึ้นอีกครา เอ่ย “ยามนี้พวกเขาปลอดภัยกันดี เจ้าวางใจได้ ไม่คิดว่าเจ้าออกจากเกาะไปหลายปี จะผูกมิตรสร้างสหายด้วยสองสามคน อาจารย์ปลื้มใจนัก”
กู้เจียวและเซียวเหิงในยามนี้นั่งอยู่ด้านหลังเจ้าสำนักหรงนี่เอง แต่ถูกกำแพงไม้กลวงบังอยู่
มียอดฝีมือเจี้ยนหลูสวมชุดดำเฝ้าเอาไว้ เมื่อครู่ก็เป็นคนผู้นี้ที่พาตัวทั้งสองมาที่นี่
เซียวเหิงโดนสกัดจุด เนื่องจากกู้เจียวหมดสติอยู่แล้ว จึงยังไม่มีผู้ใดทำอะไรนาง
ทว่าความจริงนั้น กู้เจียวได้สตินานแล้ว
นางได้ยินเสียงของหลงอี ที่แท้หลงอีพูดจาขึ้นมาก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
ดีจริง หลงอีพูดจาได้แล้ว
คนที่เรียกตัวเองว่าอาจารย์นั่นน่าจะเป็นเจ้าสำนักเจี้ยนหลู
เจ้าสำนักหรงยิ้มเอ่ย “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้าไปเกาะเจี้ยนหลูมา น่าเสียดายนัก อาจารย์มีธุระต้องจัดการ ไม่ได้รอเจ้าบนเกาะ”
ได้ยินมาถึงตรงนี้ กู้เจียวกับเซียวเหิงต่างกระจ่าง คดีฆ่าล้างสำนักบนเกาะเจี้ยนหลูเป็นฝีมือเจี้ยนหลูบงการจริงๆ ด้วย
เพื่อหลอกหลงอีและสำนักเงามืด พวกเขาทุ่มเทสมองกันอย่างหนัก เสียสละศิษย์ไปมากมาย
เจ้าสำนักหรงเอ่ย “พิชิตเวหา ระหว่างข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน ขอแค่เจ้ายอมเรียกข้าว่าอาจารย์สักคำเหมือนในอดีต ข้าก็จะไม่ถือสาโทษทัณฑ์ในอดีต”
หลงอีเอ่ย “ข้าจะพูดอีกรอบ ส่งตัวคนออกมา”
น้ำเสียงเขาราบเรียบมาก ทว่าความจริงแล้ว อารมณ์เขาพลุ่งพล่านรุนแรงมาก กู้เจียวมีผนังไม้กั้นยังรู้สึกได้
ราวกับความแค้นอันเข้มข้น และเหมือนความอัปยศที่ไม่ยินยอม
แต่ไหนแต่ไรมาหลงอีไม่เคยมีอารมณ์เช่นนี้มาก่อน ต่อให้จะประมือกับวิญญาณทมิฬน่ารำคาญนั่นก็ตาม
หรือว่า…เจ้าสำนักเจี้ยนหลูเคยทำอะไรบางอย่างกับหลงอี