สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 96 ขึ้นเขา
หลังจากที่นักบวชจากไปได้ไม่นานฝนก็หยุดตก กู้เจียวไปรับเสี่ยวจิ้งคงที่วัด
เสี่ยวจิ้งคงใช้เวลาหนึ่งวันที่วัดด้วยความสุขสดใสและเต็มอิ่มทั้งวัน เรียกได้ว่าเหมือนผ่านไปเพียงครึ่งวันเท่านั้น
เขาได้เจอกับศิษย์พี่จิ้งเฉินที่ทั้งอ่อนโยนและเอาใจใส่ดูแล ศิษย์คนอื่นๆ เจ้าอาวาสรวมถึงเณรน้อยจิ้งฝาน จิ้งซินและจิ้งซั่นที่เคยเล่นด้วยกันกับเขาด้วย
เพราะเจ้าอาวาสกับบรรดาศิษย์พี่ต่างมีธุระกันหมด เขาจึงอยู่กับเณรน้อยสามคนนี้นานที่สุด
เนื่องจากไม่มีจิ้งคงมาแย่งอาหาร เณรน้อยทั้งสามจึงมีสารอาหารครบถ้วน แต่ละคนล้วนอ้วนท้วมสมบูรณ์กันกว่าเมื่อก่อน
เสี่ยวจิ้งคงก็ไม่ใช่เสี่ยวจิ้งคงคนก่อนแล้ว เขาเปลี่ยนจากชุดนักบวชมาสวมชุดของเด็กชาวบ้าน หัวโล้นน้อยๆ ก็เริ่มมีตอผมเล็กๆ ขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ความจริงแล้วในบรรดาเณรน้อยอายุเขาน้อยที่สุด แต่เขาพูดเป็นได้เร็วกว่าใครเพื่อน และพูดได้ดีที่สุดด้วย กระทั่งต่อมาขนาดเจ้าอาวาสก็พูดไม่ทันเขาแล้ว
เขายื่นใบหน้าน้อยๆ ของตัวเองไปให้บรรดาเณรน้อยด้วยความภาคภูมิใจยิ่ง “เห็นรากน้อยๆ นี่หรือไม่ เจียวเจียวเป็นคนให้ข้า!”
“ข้าเห็นแล้ว ข้าเห็นแล้ว!” จิ้งฝานเอ่ยขึ้น
“ข้าก็เห็นแล้ว!” จิ้งซินเอ่ย
จิ้งซั่นครุ่นคิดด้วยสีหน้ามึนงง ก่อนจะเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “เช่นนั้น…ข้าก็เห็นแล้วเหมือนกัน”
เสี่ยวจิ้งคงพออกพอใจเป็นอย่างมาก
“รากน้อยๆ นั่นจะเติบโตเป็นดอกไม้หรือไม่” จิ้งฝานชี้ใบหน้าน้อยๆ ของเขาพลางถาม
เสี่ยวจิ้งคงหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “น่าจะไม่นะ พวกมันจะโตมาเป็นจุ๊บๆ เท่านั้น อยู่บนหน้าข้าตลอดไปเลย!”
“กินได้หรือไม่” จิ้งฝานถาม
“กินไม่ได้นะ” เสี่ยวจิ้งคงบอก
โตมาเป็นดอกไม้ไม่ได้ แถมยังกินไม่ได้อีก เณรน้อยทั้งสามพลันหมดความสนใจต่อรากของจุ๊บๆ ไปทันที
ทว่าตรงนี้ของเสี่ยวจิ้งคงยังมีของสิ่งอื่นอยู่ด้วย
เสี่ยวจิ้งคงหยิบลูกชิ้นเนื้อเจที่กู้เจียวใส่ในโหลไว้ให้เรียบร้อยออกมาโดยไม่ลังเล หลังจากเปิดฝาโหลแล้ว กลิ่นงาทอดโชยอวลไปเกือบจะทั่วลาน
บรรดาเณรน้อยต่างนิ่งกันไป
จิ้งฝานเบิกตาโต “อะ…อะไรหอมๆ น่ะ!”
ทั้งสามน้ำลายหยดติ๋งๆ
เสี่ยวจิ้งคงอยากกินเนื้อแต่กินไม่ได้ กู้เจียวจึงคิดหาวิธีหนึ่งออกมา ใช้เต้าหู้และวัตถุดิบอื่นๆ มาทำเป็นเนื้อเจให้เขา
ที่บ้านกินอะไรเขาก็กินอันนั้นได้เช่นกัน อย่างเช่น ที่บ้านกินเป็ดย่าง เขาก็กิน ‘เป็ดย่าง’ ที่บ้านกินไส้กรอก เขาก็กิน ‘ไส้กรอก’ ที่บ้านกินหมูสามชั้นน้ำแดง เขาก็กิน ‘หมูสามชั้นน้ำแดง’
หมู่นี้ที่บ้านกำลังกินลูกชิ้นกัน ดังนั้นเขาจึงมีลูกชิ้นเนื้อจิ้งคงที่เป็นของตัวเองโดยเฉพาะ
เสี่ยวจิ้งคงกินลูกชิ้นเนื้อลูกน้อยต่อหน้าบรรดาเพื่อนๆ ทำเอาเพื่อนๆ ตกอกตกใจกันยกใหญ่!
บรรดาเณรน้อยตะลึงงันขึ้นอีกครั้ง!
“จะจะจะ…เจ้ากำลังกินเนื้อหรือ”
“เจ้าไม่เวียนหัวกับเนื้อแล้วหรือ”
“สวรรค์ น่ากลัวเกินไปแล้ว! ศิษย์พี่ข้าจะกลับบ้าน!”
เสี่ยวจิ้งคงไม่ใช่เด็กที่มีรสนิยมไม่ดี หลังจากโอ้อวดใส่เพื่อนเรียบร้อยแล้วเขาจึงเฉลยความจริงเรื่องลูกชิ้นเนื้อว่า “เป็นเนื้อเจต่างหากเล่า เจียวเจียวบอกว่านักบวชก็กินได้!”
เณรน้อยทั้งสามคนแรกเริ่มยังลังเล กลัวว่าตัวเองจะถูกจิ้งคงหลอกให้ศีลแตก สุดท้ายยังคงเป็นพี่ใหญ่สุดในบรรดาทั้งสามคนอย่างจิ้งฝานที่ถือคติว่า ‘ข้าไม่ลงนรกแล้วใครจะลง’ เสียสละวิญญาณตัวเองลองชิมคำหนึ่ง จากนั้นก็หยุดไม่ได้แล้ว
แต่ไหนแต่ไรมามีเพียงเสี่ยวจิ้งคงที่แย่งอาหารคนอื่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนรุมแย่งอาหารเช่นนี้!
เขามึนงงอยู่กับที่สามวินาที!
เขาที่เป็นมือฉมังในการแย่งอาหารวัด แย่งชิงอาหารมาแล้วสามปี นึกไม่ถึงว่าจะมีวันที่ถูกคนอื่นแย่งอาหารด้วย
ที่โดนแย่งไม่ใช่แค่ลูกชิ้นเจเท่านั้น ขนาดขนมกับผลไม้ป่าก็ยังไม่รอดสักอย่าง
ศัตรูทั้งสามที่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ตนในอดีตคล้ายว่าจะมีความเชี่ยวชาญเต็มเปี่ยมขึ้นมาทันตา แย่งเสียจนเสี่ยวจิ้งคงไร้เรี่ยวแรงจะปกป้องไว้ได้
หมัดน้อยๆ ของเสี่ยวจิ้งคงชกอกน้อยๆ ของเขาด้วยความเศร้าสร้อย ออกมาปะปนด้วย ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องคืนให้อยู่ดีจริงๆ ด้วย!
เณรน้อยทั้งสามก็เพิ่งจะรู้วันนี้เช่นกันว่าที่แท้ของกินด้านล่างเขาอร่อยถึงเพียงนี้!
จู่ๆ พวกเขาก็อยากจะลงเขาบ้างแล้ว ทำอย่างไรดี
นอกจากเรื่องที่โดนแย่งอาหารแล้ว การคบหาของทั้งสี่ยังคงปรองดองกลมเกลียวอยู่
เสี่ยวจิ้งคงเล่าชีวิตที่อยู่ล่างเขาของตัวเองกับพวกเณรน้อย จึงได้รู้ว่ายามนี้เขากำลังเก็บพี่เขยของตัวเองมาเลี้ยงทุกวัน เณรน้อยจิ้งฝานถามว่า “พี่เขยคือใครหรือ พ่อเจ้าหรือ”
พวกเขายังเด็กมากนัก ซ้ำยังไม่เหมือนเสี่ยวจิ้งคงที่มีสติปัญญาผิดธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าพี่เขยมันหมายความว่าอะไร แต่เจ้าของบ้านเพศชายเหมือนว่าจะเป็นพ่อนี่นา
เสี่ยวจิ้งคงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “พ่อชั่วคราวกระมัง เจียวเจียวสามารถเปลี่ยนตัวเขาได้ตลอดเวลา”
เสี่ยวจิ้งคงปากเรียกเจียวเจียว แต่ในใจมองกู้เจียวเป็นแม่ แต่เซียวลิ่วหลังเป็นพ่อเขาหรือไม่ก็ไม่อาจรับประกันได้แล้ว
อย่างไรเสียจากที่สังเกตมาหลายวัน ตำแหน่งพ่อนี้ยังไม่เป็นทางการ มีความเสี่ยงที่สามารถลงจากตำแหน่งได้ตลอดเวลา
พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงคุยกันถึงการบ้านของตัวเองไปเสียได้
เณรน้อยจิ้งฝาน “ช่วงที่เจ้าลงเขาไปพวกเราท่องคัมภีร์กันมากมากเลย! เจ้าคงไม่ได้ท่องกระมัง!”
จิ้งซินเห็นด้วย “นั่นสิ นั่นสิ!”
จิ้งซั่นพยักหน้า!
เสี่ยวจิ้งคงเลิกคิ้วขึ้น “โอ้ พวกเจ้าท่องอะไรกันหรือ”
เณรน้อยจิ้งฝาน “ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร!”
เสี่ยวจิ้งคงแบมือ “เคยท่องตั้งแต่สองขวบแล้วล่ะ”
เณรน้อยจิ้งซิน “ไภษัชยคุรุนาม มหายานสูตร!”
เสี่ยวจิ้งคงยักไหล่ “สองขวบสามเดือนก็ท่องแล้วล่ะ”
เณรน้อยจิ้งซั่น “ศะ…ศะรางคมสูตร!”
เสี่ยวจิ้งคงแคะหู ถอนหายใจอย่างจำใจ “ศูรางคมสูตรต่างหากเล่า โง่จริง ชื่อยังพูดผิด เจ้าได้ท่องจริงหรือไม่น่ะ”
ใบหน้าน้อยๆ ของพวกเณรน้อยแดงเห่อขึ้น
พวกเขาได้ท่องจริงๆ กันที่ไหนล่ะ ก็แค่จำชื่อได้เท่านั้นเอง แค่ชื่อที่พูดยากพวกนี้ยังต้องใช้เวลาจำไปตั้งหลายวันเลย ทำเอาสมองน้อยๆ ของพวกเขาล้าจะตายแล้ว!
“เฮ้อ พูดเรื่องคัมภีร์กับพวกเจ้าแล้วน่าเบื่อนัก ข้าไปหาเจ้าอาวาสดีกว่า” เสี่ยวจิ้งคงกระโดดลงจากบันได ก้าวขาสั้นๆ ไปหาเจ้าอาวาส
เจ้าอาวาสเพิ่งจะนั่งที่อุโบสถกำลังเทศน์ให้พวกภิกษุฟัง ทันใดนั้น สามเณรรูปหนึ่งก็รีบร้อนเดินเข้ามาหา “แย่แล้วเจ้าอาวาส จิ้งคงมาหาท่านแล้ว! เขาจะสนทนาคัมภีร์กับท่าน!”
เจ้าอาวาสพลันตระหนกขึ้นจนลูกประคำในมือร่วงหล่น
ปะ…ปีศาจน้อยนั่นจะมาหาเขาเพื่อคุยเรื่องคัมภีร์รึ
ตายแน่!
เสี่ยวจิ้งคงเล่าเรียนคัมภีร์มาตั้งแต่เด็ก สนใจใคร่รู้ต่อคัมภีร์ทุกอย่างอย่างล้นปรี่ เจ้าอาวาสเอ่ยขึ้นคำหนึ่ง เขาสามารถถามได้สิบคำ ถามมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ยังทำให้เจ้าอาวาสตอบไม่ได้จนได้!
“ลักษณะทั้งหลายล้วนเป็นมายา สิ่งที่มีลักษณะทั้งหลายล้วนเป็นมายาทั้งสิ้น เช่นนั้นเจ้าอาวาสก็เป็นมายาเช่นกันหรือ ในเมื่อเจ้าอาวาสเป็นมายา เช่นนั้นเจ้าอาวาสพูดคุยกันกับข้าก็เป็นมายาน่ะสิ! หากเป็นเช่นนี้ข้าก็คงเชื่อเจ้าอาวาสไม่ได้แล้ว! เชื่อเจ้าอาวาสไม่ได้ก็ไม่อาจเชื่อคัมภีร์ที่เจ้าอาวาสเทศน์ให้ข้าฟังได้! คัมภีร์ก็เป็นมายา!”
เจ้าอาวาส นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเฉไฉข้างๆ คูๆ มา แต่ก็ไม่คิดเลยเช่นกันว่าข้ากลับรู้สึกว่านี่ก็มีเหตุผลอยู่บ้างเช่นกัน…
เจ้าอาวาสยึดมั่นในความเป็นมืออาชีพสูงมาเตือนสติตัวเองให้กลับคืน แล้วอธิบายให้อีกฝ่ายฟังด้วยความอดทน
เขาฟังจบกลับเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารู้สึกว่าที่ท่านพูดมานั้นไม่ถูกต้อง!”
เจ้าอาวาส “ไม่ถูกอย่างไร เป็นเพราะเจ้าเด็กเกินไปจึงไม่เข้าใจต่างหาก!”
เสี่ยวจิ้งคง “พระพุทธเจ้าปราดเปรื่องขนาดนั้น พระองค์ต้องมีวิธีทำให้ข้าเข้าใจได้แน่ ท่านนั่นแหละที่ไม่ถ่ายทอดความหมายของพระองค์ให้ดีๆ นี่ไม่ใช่ปัญหาของข้า แต่เป็นปัญหาของเจ้าอาวาส!”
บทสนทนาทำนองนี้ยกตัวอย่างมาไม่หวาดไม่ไหว เมื่อก่อนเจ้าอาวาสถกกับเขาไม่เคยชนะ กลับเป็นเขาเองที่ใช้ตรรกะเหล่านั้นมาทำให้บรรดาภิกษุที่เพิ่งเข้าวัดมาใหม่ไขว้เขวได้อย่างสมบูรณ์
เจ้าอาวาสโดนความกลัวที่มีต่อเสี่ยวจิ้งคงครอบงำจิตใจจนทั่วทั้งร่างย่ำแย่แล้ว
พอกู้เจียวมารับเสี่ยวจิ้งคง เสี่ยวจิ้งคงก็ใช้เรี่ยวแรงตัวเองถามเสียจนบรรดาภิกษุทั้งอุโบสถควันลุกท่วมหัวกันหมด
“เจ้าอาวาสข้ากลับแล้วนะ ปัญหานี้คราวหน้าพวกเราค่อยถกกันใหม่!” เสี่ยวจิ้งคงถูกกู้เจียวจับไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง เขาหันหน้าไปโบกมืออีกข้างให้กับเจ้าอาวาส
แทบจะทำให้เจ้าอาวาสผู้มีสีหน้าทดท้อมรณภาพเสียเดี๋ยวนั้น ขอร้องเจ้าล่ะ อย่ามาอีกเลยจะได้หรือไม่…
สองพี่น้องจูงมือกันลงเขา
เสี่ยวจิ้งคงคันไม้คันมมืออยากจะยกเท้าวิ่งจู๊ดๆ ลงไป
แต่จนใจที่ฝนเพิ่งจะตก พื้นเปียกลื่น กู้เจียวกังวลว่าฟักเขียวน้อยอย่างเขาจะกลิ้งขลุกๆ ลงไปแทน จึงไม่กล้าปล่อยมือเลย
“วันนี้เล่นสนุกหรือไม่” จู่ๆ กู้เจียวก็ถามขึ้น
“สนุก!” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยเสียงออดอ้อน ชูมือน้อยๆ ขึ้นมานับ “วันนี้เจอจิ้งซิน จิ้งฝาน จิ้งซั่น ศิษย์พี่จิ้งเฉิน แล้วก็เจ้าอาวาส…”
เขาเล่าให้ฟังยกใหญ่ คนที่เขาได้เจอที่วัดส่วนใหญ่ล้วนถูกเขานับไว้จนครบแล้ว
“ไม่เจออาจารย์เจ้าหรือ” กู้เจียวถาม
เสี่ยวจิ้งคงถอนหายใจบอกว่า “ตาเฒ่าอย่างเขาผีเข้าผีออก อยู่บนเขาน้อยมากนัก”
ตาเฒ่าอย่างนั้นรึ
กู้เจียวนึกถึงนักบวชแปลกประหลาดที่เจอในป่า นักบวชรูปนั้นยังหนุ่มมากนัก น่าจะไม่ใช่ตาเฒ่าที่เสี่ยวจิ้งคงบอกหรอกกระมัง
สิ่งที่กู้เจียวไม่รู้ก็คือ คำว่าตาเฒ่านี้ มาจากการที่เสี่ยวจิ้งคงแค่เปรียบเทียบกันกับอายุของตัวเองเท่านั้น ความจริงแล้วอายุอานามของอาจารย์เขาไม่ได้มาก น้อยกว่าเจ้าอาวาสตั้งยี่สิบกว่าปีทีเดียว!
กู้เจียวเอ่ยขึ้นอีกว่า “แล้ว…ที่วัดมีนักบวชที่รูปงามบ้างหรือไม่ แบบที่หล่อที่สุดอะไรทำนองนั้นน่ะ”
หน้าตาของนักบวชผู้นั้นแทบจะพอๆ กันกับเซียวลิ่วหลังเลย เกรงว่าทั้งแผ่นดินนี้จะหาใครเทียมไม่ได้
“มีสิ!” เสี่ยวจิ้งคงเงยหน้าขึ้นอย่างเคร่งขรึมยิ่ง ก่อนจะชี้ที่ตัวเอง “ข้าไง!”
กู้เจียว “…”
กู้เจียวเอ่ยว่า “นอกจากเจ้าล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยด้วยความมั่นใจยิ่งว่า “เช่นนั้นก็ไม่มีแล้วล่ะ ข้าเป็นเณรน้อยที่หล่อเหลาที่สุดในโลก! นอกจากข้าแล้ว พวกเขาล้วนขี้เหร่กันหมดเลย!”
อาจารย์ก็ขี้เหร่!
เพราะอาจารย์บอกว่าเขาหล่อที่สุดในโลก แต่เสี่ยวจิ้งคงกลับคิดว่าตัวเองหล่อที่สุด ดังนั้นเขาจึงยืนหยัดที่จะไม่ยอมรับว่าอาจารย์หล่อ!
กู้เจียวส่งเสียงอ๋อขึ้น
หรือว่าคนผู้นั้นจะไม่ใช่นักบวชในวัดนี้กันนะ