สามีข้า คือพรานป่า - ตอนที่ 125 คําสารภาพ
ตอนที่ 125 คําสารภาพ
เย่วชิวไฉพยายามลุกขึ้นและกล่าวใส่ร้ายหลินชวนฮวาทันที!
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอกล่าวคํา! นางผู้นี้เป็นคนลงมือ นางเกลียดชังเฉินผิงอันแต่แต่งงานกับเขาเพียงเพราะต้ งการหลอกเอาเงินเพื่อส่งเสียให้ลูกชายเรียนหนังสือ และเมื่อได้ผลประโยชน์ทุกอย่างตามต้องการแล้ว นางจึงวางแผนที่จะฆ่าเฉินผิงอันทิ้ง!”
“หญิงผู้นี้กระทําทุกอย่างด้วยตนเองและข้าก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง นางเกลียดเด็กสาวคนนั้นที่ปล่อยข่าวลือในหมู่บ้าน และทําให้เฉินผิงอันไม่เชื่อใจ จึงคิดวางแผนเผาบ้านเพื่อเป็นการแก้แค้น”
หยุนเถียนเถียนยิ้ม เนื่องจากไม่รู้ว่าสองคนนี้ลงมือทําจริงหรือไม่ จึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการหาหลักฐาน
แต่ตอนนี้กลับมีประจักษ์พยานเกิดขึ้น ดูเหมือนว่าความรักอันสัตย์ซื่อจะเป็นของหลินชวนฮวาแต่เพียงผู้เดียว ไม่รู้ว่านางคิดอย่างไรกับสิ่งที่เย่วชิวไฉพูด แต่สุดท้ายนางก็ถูกทอดทิ้งอย่างไร้ความปราณี!
หยุนเถียนเถียนหันมองหลินชวนฮวาและพบว่านางกําลังจ้องมองเย่วชิวไฉด้วยแววตาประหลาดใจ
ชายผู้ที่รักเคยใคร่และห่วงใยตนด้วยความกรุณาและความรัก วันนี้กลับผลักไสและโยนความผิดให้นางแต่เพียงผู้เดียว!
หยุนเถียนเถียนอยากที่จะทําให้หลินชวนฮวารู้สึกเจ็บใจยิ่งกว่าเดิม จึงเดินเข้าไปใกล้พร้อมกระซิบ “หลินชวนฮวา… หากเจ้าไม่ยอมรับความผิด ข้าก็จะหาหลักฐานมามัดตัวเจ้าให้ได้ อันที่จริงนับว่าเป็นโชคดีของข้าที่ครั้งนี้ยังไม่ได้หาหลักฐานแต่กลับมีพยานยืนยันให้”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินชวนฮวาจึงมองจ้องเย่วชิวไฉด้วยความผิดหวัง “เย่วชิว ไม่ว่าจะถูกหรือผิดเราก็จะอดทนและฝ่าฟันไปด้วยกันไม่ใช่หรือ?!”
เย่วชิวไฉตอบกลับอย่างไม่แยแส “หากเจ้ายังสวยงามเหมือนตอนยังสาว ข้าคงไม่ทําเช่นนี้! แต่ดูตอนนี้เถิด เจ้าไม่ต่างอะไรกับหญิงชราหน้าตาเหี่ยวย่นที่พยายามทําทุกอย่างเพื่อรักษาความงดงามบนใบหน้าไว้! แล้วเหตุใดข้าจึงต้องยอมรับผิดไปกับเจ้าด้วยเล่า? เพราะการลอบวางเพลิงในครั้งนี้เป็นความคิดของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว!”
ผู้พิพากษาแห่งเทศมณฑลขมวดคิ้ว “เมื่อพูดถึงการรอบวางเพลิง ก็ทําให้นึกถึงเหตุการณ์สังหารผู้คนที่ซ่องโสเภณีเมื่อราวสองสามปีก่อน! เย่วชิงไฉ… เจ้ารอดมาได้เพราะผู้พิพากษาในครานั้นไม่ใช่ข้า! แล้วพวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร? มีใครจําเหตุการณ์นั้นได้หรือไม่?”
แน่นอนว่าเย่วชิงไฉจดจําเหตุการณ์นั้นได้เป็นอย่างดี แม้สามีและลูกชายของหญิงผู้เสียชีวิตจะย้ายออกไปแล้วก็ตาม
เมื่อวันก่อนที่เข้ามาที่นี่ เขาไม่ได้ปลอมตัวแต่อย่างใด น่าแปลกใจที่ไม่มีใครจําได้ว่าเขาคือเย่วชิวไฉ! เช่นนั้นแล้วความ ผิดจากการลอบวางเพลิงในครั้งนี้จึงอาจถูกส่งไปยังหลินชวนฮวาแต่เพียงผู้เดียว ในขณะที่เขาสามารถรอดไปได้!
แต่ใครเล่าจะคาดว่าท่านผู้พิพากษายังคงจดจําเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยํา ในท้ายที่สุด คดีที่ผู้พิพากษาคนก่อนปล่อยให้คนร้ายหลุดรอดไปกลับถูกจับได้และต้องกลับมาพิจารณาคดีโดยเขา ซึ่งนับเป็นความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าทําให้เขารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
“เย่วชิวไฉ…ต่อให้รู้ว่าใครเป็นคนจุดไฟ ต่อให้เจ้าจะไม่มีส่วนรู้เห็นในคดีการลอบวางเพลิง เจ้าก็ยังคงเป็นผู้ร้ายในคดีฆาตกรรมอยู่ดี เช่นนั้นแล้วก็จงกลับไปในที่ที่เจ้าควรอยู่!”
ผู้พิพากษาโบกมือสั่งลูกน้อง ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ราชการเข้าจับกุมเย่วชิวไฉและพาตัวเขาไปยังสํานักราชการ ชายผู้นี้จะต้องถูกจําคุกในเรือนจําของเขตปกครองหลัง! เมื่อผ่านพ้นฤดูใบไม้ร่วง เขาจะถูกประหารชีวิต!
หลินชวนฮวายังคงตกใจมากต่อสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเห็นว่ามีคนกําลังพยายามเอาตัวเย่วชิวไฉไปจึงรีบก้าวไปข้างหน้าและกล่าวว่า “ข้าเป็นลงมือเอง ข้าเป็นคนจุดไฟ ปล่อยเขาไปเถิด!”
ไม่น่าเชื่อว่าคนเลวทรามและเห็นแก่ตัวเช่นหลินชวนฮวาจะยังมีความอ่อนโยนในใจ… เพียงแต่ผิดเวลา!
ใบหน้าของเฉินเฉิงเยี่ยซีดเซียว เดิมทีเขามีอนาคตที่สดใส แต่พ่อของเขากลับทําลายมันโดยการฆาตกรรมผู้อื่น ทําให้เขาต้องกลายเป็นลูกชายของฆาตกรผู้อัปยศอีกครั้ง!
หลังจากที่ก้าวผ่านเรื่องราวร้าย ๆ มาได้ เพื่อให้มีโอกาสที่ดีขึ้นเฉินเฉิงเยี่ยจึงร่วมมือกับแม่ของตนส่งหยุนเถียนเถียนให้นายน้อยหลี่!
แต่เพราะหยุนเถียนเถียนหนีออกมาจึงทําให้ชายหนุ่มผู้น่าอิจฉากลายเป็นคนบกพร่องทางศีลธรรมทันที
หลินชวนฮวาใช้ความพยายามอย่างมากในการส่งเขาเข้าเรียนในเมืองอื่น และตอนนี้เขากําลังจะหลุดพ้นจากข่าวลือเรื่องหยุนเถียนเถียน
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น… แม่ของเขาไม่เพียงมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฆาตกรแต่ยังทําการลอบวางเพลิงเพื่อสังหารผู้อื่นอีกด้วย!
“แม้สองคนนั้นจะสมควรตาย แต่แม่รออีกหน่อยไม่ได้หรือ? เมื่อข้ากลายเป็นขุนนางแล้ว ข้าจะแก้แค้นทุกอย่างให้ท่านเอง! แม่กลัวว่าข้าจะไม่สามารถเอาคืนคนพวกนี้ได้อย่างนั้นหรือ?”
แต่ตอนนี้ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว เฉินเฉิงเยี่ยรู้สึกโกรธและหงุดหงิดในใจขณะเหลือบมองผู้พิพากษาอย่างระมัดระวัง
เมื่อเฉินเฉิงเยี่ยเห็นว่าผู้พิพากษารู้สึกเวทนาแม่ของตน ในที่สุดเขาที่จะหลอกล่อเพื่อโน้มน้าวจิตใจของอีกฝ่าย
“ท่านผู้พิพากษา แม่ของข้าเป็นเพียงหญิงธรรมดา นางไม่กล้าแม้แต่จะฆ่าไก่แล้วจะกล้าทําเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร?! ต่างจากเย่วชิวไฉที่เคยฆ่าคน สําหรับเขาการเผา
บ้านใครคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากจะให้ถูกต้อง ท่านควรบอกว่าเขาหลอกล่อแม่ของข้าและใช้เป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรม!”
เมื่อผู้พิพากษาได้ยินกับพูดของเฉินเฉิงเยี่ยก็หันมองหยุนเถียนเถียนทันที! ส่วนหยุนเถียนเถียนเข้าใจในสิ่งที่เขากําลังจะสื่อจึงรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจไม่น้อย ในฐานะที่ท่านผู้พิพากษาควรจะตัดสินใจอะไรได้ด้วยตนเองไม่ใช่หรือ?”
“การพิจารณาคดีและการตัดสินเป็นอํานาจของเขาโดยสิ้นเชิง! เหตุใดจึงอยากถามความคิดเห็นของข้า?”
ท่านผู้พิพากษาสบตากับหลงเยว่! เขาไม่ต้องการรุกรานผู้สูงศักดิ์เช่นหลงเยว่… เพราะหากทําให้เขาขุ่นเคืองก็อาจเสียใจและเสียโอกาสมากมายในอนาคตได้!
อย่างไรก็ตาม คนเราย่อมมีมนุษยธรรม! หากเขาไม่ต้องการทําร้ายหยุนเถียนเถียน ก็ต้องจัดการกับสามคนนั้น! เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว สามคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดาและหนึ่งในนั้นยังเป็นฆาตกรอีกด้วย เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก็บพวกเขาไว้ เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ผู้พิพากษาจึงปล่อยให้หยุนเถียนเถียนจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง!
หยุนเถียนเถียนยังคงคับข้องใจ เพราะหากผู้พิพากษาต้องการจะปล่อยตัวสามคนนี้ไปจริง ๆ เขาคงไม่คิดหนักถึงเพียงนี้
“เฉินเฉิงเยี่ย สิ่งที่เจ้าพูดช่างน่าขันยิ่งนัก! แม่ของเจ้าพยายามปกปิดความผิดของพ่อเจ้า แต่เจ้ากลับใส่ร้ายพ่อบังเกิดเกล้าของตนได้อย่างไรกัน? นี่คือความกตัญญูของนักปราชญ์เช่นเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
แววตาของเฉินเฉิงเยี่ยเป็นประกายทันที ดูเหมือนว่าจากคําพูดของหยุนเถียนเถียนจะสามารถทําให้เขาโน้มน้าวใจผู้พิพากษาได้!
“ความกตัญญูกตเวทีก็เป็นสิ่งสําคัญ แต่ศีลธรรมและความยุติธรรมมีความสําคัญมากกว่า เนื่องจากเย่วชิวไฉกระทําผิดร้ายแรง แน่นอนว่าข้าซึ่งเป็นลูกชายก็ต้องตัดสินทุกอย่างด้วยความสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม!”