สามีข้า คือพรานป่า - ตอนที่ 132 อย่าแทรกแซง
ตอนที่ 132 อย่าแทรกแซง
“หยุนเถียนเถียนคงไม่ต้องการพบข้าอย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้ว โปรดนําเงินสองร้อยตําลึงนี้ไปให้นาง ถือเป็นสินน้ําใจจากข้า! จงมอบให้แต่ไม่ต้องกล่าวสิ่งใด เข้าใจหรือ
ไม่?”
หัวหน้าหมู่บ้านถอนหายใจโล่งอก เขาคิดว่าหลงเยว่จะสั่งให้ทําอย่างอื่นเสียอีก เพียงแค่นําเงินไปให้นางสินะ? ถ้าเช่นนี้ก็พอทําได้!”
ทันทีที่หลงเยว่พูดจบจึงเดินจากไป เจ้าหน้าที่คุ้มกันทั้งหมดก็เดินตามไปด้วย
ส่วนหัวหน้าหมู่บ้านยืนนิ่งอยู่เนิ่นนาน
เขาไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ เหตุใดจึงเกิดเรื่องประหลาดมากมายขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน?
จากนั้นเขาก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ผู้เฒ่าสั่งให้หยุนเถียนเถียนแต่งงานกับหยุนเคอ ซึ่งเรื่องนี้ก็ทําให้เขารู้สึกปวดหัวไม่น้อย
การเป็นหัวหน้าหมู่บ้านในปีนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ!
ไม่ว่าจะตัดสินใจอะไรก็ย่อมมีผู้เฒ่าคอยกดดันอยู่เสมอ
แต่หากไม่ทําอะไรเลยก็จะทําให้พวกเขาขุ่นเคืองและคงจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างยากลําบาก
หัวหน้าหมู่บ้านคิดหนักจนแทบจะเอาขาขึ้นมาก่ายหน้าผาก!
หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว หากเขาทําตามที่หลงเยาสั่ง ก็อาจจะสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับชาวบ้านได้ในหมู่บ้านนี้มีผู้เฒ่าเพียงไม่กี่คนที่ควรค่าแก่การนับถือ ดังนั้นหัวหน้าหมู่บ้านจึงตัดสินใจที่จะไปหารือกับอาวุโสสักหน่อย
หัวหน้าหมู่บ้านซ่อนเงินไว้ในมือของเขา โดยไม่ได้เดินทางไปหาหยุนเถียนเถียน แต่ตรงไปที่บ้านของผู้เฒ่าสี่ทันที!
ผู้เฒ่าทั้งสามมารวมตัวกันและรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากมีผู้พิพากษาเข้ามาแทรกแซง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แสดงตัวและปล่อยให้อีกฝ่ายจัด
การ
แต่ผู้เฒ่าทั้งสามกลับไม่เข้าใจว่าเหตุใดหัวหน้าหมู่บ้านจึงมาตามหาพวกเขาในตอนนี้ ดังนั้นทั้งสามจึงมองไปยังหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความแปลกใจ
หัวหน้าหมู่บ้านวิ่งมาด้วยความตื่นตระหนกก่อนจะรีบปรับลมหายใจ และบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด
ใบหน้าของผู้เฒ่าหกที่กําลังหัวเราะกลับกลายเป็นจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่ได้ยินว่าหลินชวนฮวาต้องการฆ่าเฉินเฉิน เขากัดฟันแน่นด้วยความโกรธา!
ทว่าผู้เฒ่าสี่มีสีหน้าเรียบเฉย ดังนั้นทุกคนจึงมองไม่ออกว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่
ดูเหมือนว่ามีเพียงผู้เฒ่าใหญ่เท่านั้นที่เข้าใจประเด็นและถามว่า “ตระกูลเฉินงั้นหรือ? เจ้าหมายความว่าตัวตนที่แท้จริงของหยุนจิงเอ๋อนั้นไม่ใช่คนธรรมดาใช่ไหม? และท่านผู้พิพากษาก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?”
“มีชายผู้หนึ่งเขาเป็นถึงผู้ว่าเทศมณฑล นั่นคือท่านหลงเยว่ผู้ยิ่งใหญ่! เขาให้เกียรตินางยิ่ง ทั้งยังมอบเงินสองร้อยตําลึง มาให้ข้าเพื่อมอบให้ลูกสาวของนาง!”
ผู้เฒ่าใหญ่ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเผยแววตาเปล่งประกาย…
“เราไม่ควรไปยุ่งอย่างยิ่ง หากเขาสนใจในตัวนางจริงๆ ก็ควรสารภาพกับนางตามตรง! แต่ไม่ว่าอย่างไร เราก็ไม่สามารถทําร้ายหญิงผู้นี้ได้! จําไว้ว่าเราไม่มีสิทธิ์บังคับให้นางต้องแต่งงานกับใครทั้งนั้น”
แต่ผู้เฒ่าสี่ตบโต๊ะพร้อมตะคอกเสียงดัง “ก็เห็นได้ชัดว่านางช่างไร้ยังอาย หากถูกจับได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร นางก็ต้องแต่งงานกับเขา! เราต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง เหตุใดจึงต้องกังวลว่าแม่นางจะกลับมาแก้แค้น?!”
ผู้เฒ่าใหญ่มองน้องชายอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเป็นพี่น้องที่มีมิตรภาพยาวนานจึงรับรู้ได้ทันทีว่าผู้เฒ่าสี่นั้นมีอารมณ์โมโหร้าย และยังคงเป็นเช่นนั้นมาจนถึงปัจจุบันนี้
“ในเมื่อตัวตนของนางไม่ใช่คนธรรมดา แล้วจะให้แต่งงานกับพรานปาเช่นนี้ได้อย่างไร? โอ้ ข้าคิดว่าอย่างไรแล้วก็กล่าวโทษพวกเราไม่ได้!”
จู่ ๆ หัวหน้าหมู่บ้านก็นึกถึงหยุนเคอและพูดต่ออย่างรวดเร็ว “ท่านหลงเยว่ถามถึงพรานปาผู้นี้ในตอนที่เขากําลังจะเดินทางกลับ ดูเหมือนว่าตัวตนของพรานปาผู้นี่ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน!”
ท่านผู้เฒ่ามองหัวหน้าหมู่บ้านด้วยความสงสัย ขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
เหตุผลที่ชายผู้นี้สามารถเป็นหัวหน้าหมู่บ้านได้เพราะเขาเป็นคนที่โดดเด่น ไม่เพียงแต่จะต้องโน้มน้าวประชาชนเก่งเท่านั้น แต่เขายังมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว!
เป็นเรื่องจริงที่ว่าเขาเป็นคนที่คาดเดาได้ยาก
“ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ในเมื่อตัวตนที่แท้จริงของทั้งสองคนก็ต่างไม่ใช่คนธรรมดา! เพียงแค่เราไม่ต้องไปแทรกแซงพวกเขาอีกในอนาคต!”
ผู้เฒ่าสี่ตบโต๊ะอีกครั้ง “ไม่ได้! พี่ก็เห็นไม่ใช่หรือว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ หากหญิงผู้นี้ไม่แต่งงานสักที ก็จะทําลายศรัทธาและความเชื่อของชาวบ้านที่เคยมีมาทั้งหมด!”
“หากจะให้เราดูแล เราสามารถดูแลได้แต่ต้องไม่ใช่ในส ถานการณ์เช่นนี้! หากวันหนึ่งครอบครัวที่แท้จริงของนางมาพบเข้า พวกเรายังจะเหลือใบหน้าไว้ตั้งบนบ่าอยู่หรือ ไม่? อยากให้พวกเขาคิดว่าคนในหมู่บ้านนี้ได้อย่างอายหรืออย่างไร?!”
ผู้เฒ่าใหญ่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “จากมุมมองของข้า พวกเจ้ากังวลเร็วเกินไป! เนื่องจากหญิงผู้นั้นถูกบังคับให้แต่งงานกับหยุนเคอ นางจึงไม่มีข้อโต้แย้งและไม่ได้ปฏิเสธ แม้นางจะมีท่าทางขัดขืนก็จริงแต่ตอนนี้ทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกันในบ้านของหยุนเคอ! ลองให้โอกาสนางสักหน่อยเถิด!”
“เอาล่ะ เลิกพูดถึงเรื่องนี้ ปล่อยไปก่อนเถิด! แค่จับตาดูนางให้ดี ข้าไม่คิดว่านางเป็นคนไร้เหตุผลและทําให้ใครต้องอับอาย!”
บทสนทนานี้จบลงด้วยคําพูดของผู้เฒ่าใหญ่!
หัวหน้าหมู่บ้านนําเงินมาที่บ้านของหยุนเคอทันที “ดูสิ นี่คงเป็นอะไรที่พวกเขาคาดไม่ถึงหรอกใช่ไหม?”
ในตอนที่หยุนเถียนเถียนซื้อเฉินเฉินมา ชาวบ้านหลายคนเขาใจว่าเด็กน้อยผู้นี้จะต้องทุกข์ทรมานจากการแก้แค้นของหยุนเถียนเถียนเป็นแน่ แต่เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเดินเข้า มาก็พบว่าเฉินเฉินกําลังนั่งตัวตรงถือพู่กันอยู่ในมือ และฝึกเขียนที่ละขีด!
เฉินเฉินตั้งใจมาก แม้กระทั่งหัวหน้าหมู่บ้านเดินเข้ามา แต่เด็กน้อยก็ไม่ทันรู้ตัว
หัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่าแขนน้อยๆนั่นก็ไม่ใช่จะแข็งแรงนัก แต่กลับเขียนหนังสือได้อย่างสวยงาม หัวหน้าหมู่บ้านเองเคยเข้าสอบขุนนาง เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงรับรู้ได้ทันทีว่าเฉินเฉินขะมักเขม้นและใฝ่เรียนยิ่ง!
“ข่าวลือที่บอกว่าเฉินผิงอันต้องการส่งเด็กน้อยเข้าโรงเรียนเป็นเรื่องจริงสินะ! แต่เด็กคนนี้ยังไม่มีโอกาสได้ก้าวเข้ารั้วโรงเรียนเลยไม่ใช่หรือ?!?
“แล้วใครกันที่สอนเขา? ดูท่าทางการเขียนของเด็กคนนี้จริงจังเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ามีครูที่เข้มงวด!”
สิ่งสําคัญที่สุดในการเรียนรู้ไม่ใช่ความเก่งแต่คือความขยัน! เมื่อเห็นว่าเฉินเฉินฝึกเขียนอย่างตั้งใจและขะมักเขม้นก็นับว่าเขาเป็นคนขยันและตั้งใจจริง!”
ด้วยความสงสัยนี้ หัวหน้าหมู่บ้านจึงเคาะโต๊ะเบาๆ ทําให้เฉินเฉินตกใจพร้อมอุทานออก “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน!”
หัวหน้าหมู่บ้านตกตะลึง เหตุใดเด็กน้อยที่เพิ่งผ่าน การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อันเจ็บปวดจากครอบครัว และต้องย้ายมายู่กับพี่สาวเช่นเฉินเถียนเถียนถึงผิดปกตินัก?! เราจะสามารถพูดคุยและหัวเราะได้อย่างอิสระเร็วถึงเช่นนี้เชียวหรือ??
ที่จริงแล้ว เมื่อเฉินเฉินกลับมายังมีอีกหลายสิ่งที่กระทบต่อความรู้สึกเขา แต่หยุนเถียนเถียนก็รู้จักวิธีการรับมือเป็นอย่างดี
ส่วนหยุนเคอเองไม่ได้สนใจในอารมณ์ของเด็กชายนัก หยุนเคอสังเด็กน้อยให้ฝึกเขียนอีกสองสามคําทันทีเพื่อเบียงเบนความสนใจออกจากความโศกเศร้า!
ขณะที่เขาเขียน อารมณ์ของเขาก็สงบลง! ค่อยๆจมอยู่ในการอ่าน จนทําให้เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่สามารถรบกวนจิตใจเขาได้เลย