สามีข้า คือพรานป่า - ตอนที่ 31 ใครกันแน่ที่ทำเรื่องอัปยศ
เฉินเถียนเถียนตัดสินใจกล่าวออกไปอย่างนั้นพร้อมกับมองหยุนเคอด้วยสายตาอ้อนวอนหวังให้เขาเล่นไปตามบทบาทที่ตนวางเอาไว้
ทั้งที่รู้ว่าการโกหกเป็นสิ่งที่ผิดแต่ให้หันหลังกลับตอนนี้ก็คงยาก หากประมาทเพียงนิดอาจทำลายชื่อเสียงของหญิงสาวได้!
หยุนเคอบอกกับตัวเองเสมอว่า… อย่าเป็นสุภาพบุรุษมากจนทำให้ตนเดือดร้อน เขาพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะหยิบเงินก้วนทองแดงออกมาจากกระเป๋าสองถึงสามเหรียญและนี่คือเงินทั้งหมดที่เขามี
หญิงสูงวัยคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง “จะหาซื้อไก่ป่าด้วยเงินเท่านี้ได้จากที่ใด? เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าสองคนกำลังปิดบังอะไรอยู่!”
เฉินเถียนเถียนโต้กลับทันที “ป้าพูดเรื่องอะไร? เห็นความสัมพันธ์ของข้าสองคนด้วยตาตัวเองหรือไม่? เรายืนอยู่ข้างถนนที่มีผู้คนเดินผ่านไปมาและแสงอาทิตย์แรงกล้าเช่นนี้ แต่ป้ากลับเรื่องไร้สาระ เหตุใดจึงมีเวลาว่างนักมายุ่งเรื่องของคนอื่น? ข้านัดกับนายพรายผู้นี้ไว้นานแล้วว่าจะค่อย ๆ ทยอยแบ่งจ่ายเงินให้เขา เพราะข้าไม่สามารถหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นได้ภายในคราวเดียว ยังไงซะข้ายังต้องพึ่งพาไก่ป่าตัวนี้และมันจะทำให้ครอบครัวข้าผ่านความหิวไปได้ในแต่ละวัน!”
“แม่… ครอบครัวเรายากจนขนาดนั้นเลยหรือ? เหตุใดถึงจ่ายเงินให้เขาไม่ได้ หากร่างกายของพ่อทรุดโทรมลงจะมีประโยชน์อะไรกันเล่าหากเก็บเงินไว้มากมาย?”
หลินชวนฮวากล่าวตอบพร้อมบีบน้ำตา “แม้ครอบครัวเราจะไม่ได้ลำบากมากนัก แต่ก็ไม่ได้สุขสบายอย่างที่เจ้าคิด เรายังต้องอดมื้อกินมื้อแทบทุกวัน!”
“อดมื้อกินมื้ออย่างนั้นหรือ? ดูเถิด ข้าซื้อไก่ป่าให้พ่อและแม่มากมายจนสามารถแบ่งกินได้อีกหลายรอบ เช่นนี้เหตุใดจึงเรียกหาข้าว่าเป็นลูกอกตัญญู! ข้าไม่เหมือนกับแม่ที่ไม่เคยสนใจว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร วัน ๆ คิดเพียงจ้องจะทำลายข้า มันหมายความว่าอย่างไร? เมื่อวานท่านก็เอาแต่สารภาพผิดต่อและบอกว่าจะไม่รังแกข้าอีก วันนี้กลับคิดคดและพยายามใส่ร้ายข้า ทั้งหมดนี้มันมากเกินกว่าข้าจะรับได้ไหวแล้ว!”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นหลินชวนฮวาจึงตะโกนออกด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ข้าเห็น…”
“แม่พูดมาสิว่าเห็นอะไร? บนถนนสายนี้มีผู้คนมากมายผ่านไปมา ทำไมไม่มีใครเห็น? แม่เห็นเพียงคนเดียวงั้นหรือ? อ้อ ก็คงเพราะแม่เห็นพี่ชายสำคัญกว่าข้า ยังไงซะชื่อเสียงและหน้าตาทางสังคมของเขาก็คงจะสำคัญมาก!”
เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงลูกชายสุดที่รัก หลินชวนฮวาโกรธจัดพร้อมกับตะเบ็งเสียงออก! “นังเด็กสารเลว กล้าดีอย่างไรมาพูดถึงเฉิงเยี่ยเช่นนี้ อย่าบังอาจกล่าวหาถึงลูกข้า เจ้าไม่มีวันเทียบเคียงเขาได้แม้ปลายเล็บ!”
คำพูดเหล่านั้นทำให้เฉินผิงอันรีบวิ่งเข้ามาทันที ความพยายามของเขาไม่เป็นประโยชน์ต่อใครเลยงั้นหรือ? แต่ในไม่ช้า ความคิดของเฉินผิงอันก็ถูกครอบงำด้วยความปรารถนาในหัวใจ…
เฉินผิงอันทำงานอย่างหนักเพื่อส่งเฉิงเยี่ยเข้าโรงเรียน แม้จะต้องมัธยัสต์เขาก็ยอม หากเฉิงเยี่ยกล้าที่จะเนรคุณ เขายังสามารถไปฟ้องศาลเพื่อฟ้องร้องลูกชายบุญธรรมคนนี้ได้ แต่เด็กหญิงขี้ครอกคนนี้ไม่รู้จักบุญคุณเหมือนกับแม่ของนางไม่มีผิด!
“นังเด็กขี้ครอก ทำไมยังสร้างปัญหาไม่รู้จบสิ้น แค่นี้ยังไม่ขายหน้าพองั้นหรือ?”
เฉิงเถียนเถียนรู้สึกหดหู่ในตัวของผู้เป็นพ่อก่อนจะตอบกลับอย่างไม่อาจอดกลั้น “พ่อไม่ลำเอียงไปหน่อยหรือไร? ใครกันแน่ที่ทำเรื่องอัปยศ? ควรถามแม่มากกว่าว่าใครทำเรื่องน่าอายมากกว่ากัน วันนั้นข้าถูกส่งไปยังบ้านของตระกูลหลี่! ทั้งพ่อและแม่ก็ต่างเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ยังคิดทำลายชื่อเสียงของข้าด้วยการเอาไปป่าวประกาศว่าข้าเสียตัวให้ตระกูลหลี่! มีลูกสาวที่น่าอายอย่างข้า… ท่านคงจะผิดหวังไม่น้อย!”
เฉินผิงอันจ้องไปยังหลินชวนฮวา เกิดอะไรขึ้นกับนาง? ใยจึงทำเรื่องอัปยศครั้งแล้วครั้งเล่า!
หลินชวนฮวารีบแก้ต่าง “ข้าไม่ได้พูดแบบนั้น ข้าไม่เคยพูดว่าเจ้าเสียตัวตระกูลหลี่ ข้าแค่เป็นห่วงเจ้าเลยพูดไปเช่นนั้น!”
เฉินเถียนเถียนตอบกลับ “แม่เป็นคนพูดทุกอย่างจนทำให้ผู้คนเข้าใจว่าข้าเสียตัวให้กับตระกูลหลี่! แม่เก่งมาก ที่สามารถปั้นน้ำเป็นตัวจนชาวบ้านหลงเชื่อ นี่คงเป็นพรสวรรค์ของท่านสินะ!”
หลินชวนฮวาแสร้งบีบน้ำตาออก “ข้าไม่ได้…”
ทันใดนั้น ป้าหลี่ก็ฝ่าเข้ามากลางวง ป้าหลี่เป็นที่รู้จักดีในหมู่บ้าน นางชอบสอดรู้สอดเห็น แม้จะยุ่งแค่ไหนก็มีเวลาว่างให้เรื่องของคนอื่นเสมอ!
“เฉินน้อย ครานี้เจ้าเข้าใจแม่ตนเองผิดไป เมื่อรุ่งแม่ของเจ้าร้องไห้อยู่ที่ประตูแล้วบอกกับข้าว่ากลัวเจ้าจะไม่ได้แต่งงานกับครอบครัวที่ดี เราไม่รู้อะไรเลยจนกระทั่งสืบทราบมาว่าเจ้าถูกนายน้อยหลี่พาตัวไป…”
สีหน้าของเฉินเถียนเถียนเปลี่ยนไปทันที “ไม่จริง! ที่ป้ากล่าวออกไม่เหมือนกับที่ข้าได้ยินมาเลยสักนิด อีกอย่างหากเป็นห่วงข้าจริงจะส่งข้าไปที่บ้านของตระกูลหลี่ทำไม! สิ่งที่ข้าพูดทั้งหมดคือเรื่องจริง พี่เฉิงเยี่ยวางแผนเอาข้าไปอยู่ที่บ้านของนายน้อยหลี่เพื่อแลกกับโอกาสในการเรียนหนังสือ แม่คงกลัวว่าจะมีคนรู้เรื่องนี้เลยเอาไปป่าวประกาศว่าข้าหนีไปเอง!”
“นอกจากนี้… ในวันที่ข้าโดนนายน้อยหลี่จับตัวไป แม่ยังไม่เคยสงสัยว่าข้าหนีออกมาจากที่นั่นได้อย่างไร?! ถ้าลูกชายของท่านเรียนจบและประสบความสำเร็จจริง ใยไม่ไปแสดงความยินดีกับเขาที่โรงเรียนเล่า? ใยถึงยังอยู่ที่เรือน? สุดท้ายเขาถูกทุบตีอย่างหนักและถูกส่งตัวกลับมาเพราะข้าหนีออกมาได้ เหตุใดยังคอยสร้างเรื่องปกป้องเขา ทั้ง ๆ ที่ข้าก็เห็นความจริงกับตา!”
เฉินเถียนเถียนได้พูดทุกอย่างที่รู้สึกต่อแม่แล้ว นางจึงหันมาหาผู้เป็นพ่อบ้าง “พ่อเองก็ไม่เคยสนใจสิ่งใด เวลาเห็นข้าถูกรังแก ก็ไม่สนใจหรือนึกถึงความถูกต้องอันใดเลย เอาแต่บอกว่าละอายที่มีลูกสาวแบบข้า! ตอนนี้เห็นหรือยังว่าใครกันแน่ที่ทำให้ท่านต้องอาย?”
หลินชวนฮวาร้องไห้หอบจบเกือบหมดสติ ส่วนเฉินผิงอันเองก็เสียใจยิ่งกว่า แต่เมื่อเห็นว่าสิ่งที่เด็กสาวพูดเป็นความจริง เขาก็ยอมแพ้และไม่ปฏิเสธอะไร ตอนนี้เขาจะสามารถทำอะไรได้บ้าง? เขาทำได้แค่รอให้ทุกอย่างสงบลงและพยายามกล่าวปลอบประโลมเด็กสาวเสียงแผ่ว “แม้ว่าแม่เจ้าจะทำผิด เจ้าก็ไม่ควรมาตำหนิเช่นนี้นี้ ไม่มีความกตัญญูบ้างเลยหรือ?”
เถียนเถียนรู้ดีว่าเมื่อผู้ใหญ่กล่าวหาว่าอกตัญญูก็ต้องแบกรับคำพวกนั้นไปทั้งชีวิต แต่ครานี้เฉินผิงอันทำมากเกินไป เขาต้องการทำลายชีวิตลูกสาวของตนหรือไร?
“ก็เพราะแม่ทำผิด ด้วยความกตัญญู ข้าจึงบอกให้รู้ พ่อก็เอาแต่บอกว่าแม่ไม่ผิด ถ้าเช่นนั้นก็ให้หัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ตัดสินเถิด!”
เดิมทีพวกเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ถึงปัญหาในครอบครัว ทว่าเรื่องก็เริ่มไปกันใหญ่ให้ถอนตัวตอนนี้ก็คงไม่ทันเสียแล้ว…