สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 105 เมืองเซียน
บทที่ 105 เมืองเซียน
มู่ไหลขอบตาแดงแทบมองไม่เห็น ไม่คิดว่าจะมีวันที่คนเย่อหยิ่งอย่างนางจะสามารถเชื่อใจและพึ่งพาคนคนหนึ่งได้มากถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังไม่คิดว่าตนจะมีเพื่อนที่เป็นห่วงและใส่ใจนางมากเช่นนี้ได้
เช่นนี้ทำให้มุมหนึ่งของใจที่แกร่งดั่งหินของเด็กสาวที่มักแสดงท่าทีเย็นชาอ่อนยวบลง
“ในจวนหย่งอันอ๋องมีที่กว้างขวาง ข้าจะให้คนไปเตรียมห้องให้เจ้า เจ้าเดินทางมาไกล ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าไปพักที่โรงเตี๊ยมข้างนอกหรอก”
ชิงอวี่ไม่รอคำตอบอีกฝ่าย หมุนตัวออกไปจัดการเรื่องทันที มู่ไหลตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ มุมปากนางยกขึ้นคล้ายรอยยิ้ม ปกติแล้วนางชอบทำตัวเจ้ากี้เจ้าการ ไม่คิดว่าจะมีวันที่ใครอื่นมาสั่งบังคับนางเช่นนี้ได้
หากแต่ความเจ้ากี้เจ้าการเช่นนี้นางยินดีรับยิ่งพูดแล้วชิงอวี่ก็สั่งให้บ่าวรับใช้ไปเตรียมห้องทันที พอสั่งการเสร็จแล้วถึงได้นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ “เจ้าว่าเจ้าจะใช้แก่นวิญญาณตนเองป้อนให้วิญญาณน้อยที่สามารถกักเก็บพลังงานได้ เท่าที่ข้ารู้มีแต่หมอผีที่จะมีวิญญาณน้อยอยู่กับตน เจ้ามาที่เมืองหลวงครั้งนี้เพื่อมาหาหมอผีหรือ?”
มู่ไหลพยักหน้า “ข้าได้ข่าวมาว่าที่นี่มีอุโมงค์วิญญาณลึกลับที่ควบคุมโดยหมอผีทรงพลังอยู่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าทางเข้าอยู่ที่ใด”
“อุโมงค์วิญญาณ?” ชิงอวี่ได้ยินแล้วประหลาดใจ “สถานที่เช่นนั้นจะมาตั้งอยู่กลางเมืองหลวงอันวุ่นวายได้อย่างไร? พวกเขาไม่เกรงกลัวว่ารังลับจะถูกพบแล้วถูกบุกทำลายหรือ?”
“เพราะที่นั่นลึกลับมาก จนถึงวันนี้จึงยังไม่มีใครค้นพบมาก่อน ข้าจึงคิดจะให้คนที่ข้ารู้จักในเมืองหลวงช่วยหาข้อมูลเรื่องนี้ให้ข้าสักหน่อย” มู่ไหลถอนหายใจยาว “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะช่วยท่านพ่อให้ได้”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง” ชิงอวี่เอ่ยปลอบโยน ตบหลังมือมู่ไหลเบา ๆ ทันใดนั้นนัยน์ตาพลันฉายแววประกาย มีความคิดบางอย่างผุดขึ้น
ในคืนนั้น ไป๋จือเยี่ยนที่เพิ่งประชันหมากรุกกับโหลวจวินเหยาไปหลายตาก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนับตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามายังห้องตนเอง เหนือขอบหน้าต่างคือสิ่งมีชีวิตบางอย่างตัวเล็กกำลังนั่งตะคุ่มอยู่…… ตัวอะไรกัน?
เมื่อเดินเข้าไปใกล้จึงพบว่ามันคือสิ่งมีชีวิตตัวเล็กน่ารัก ทั่วทั้งร่างเป็นสีขาวดั่งหิมะ
ดงตากลมโตของมันมีสีน้ำเงิน หูแหลมเล็กตั้งตรง และมีหางสั้นเป็นก้อน คล้ายแมวและจิ้งจอกในเวลาเดียวกัน มันน่ารักและงดงามมาก กระทั่งไป๋จือเยี่ยนเห็นแล้วยังแทบหน้ามืดกับความน่ารักของมัน เจ้าตัวน้อยนี่นั่งหมอบอย่างว่าง่าย ดูท่าทางเบื่อหน่ายนัก มันทำแก้มป่องแล้วเป่าลมออกมา
“เจ้าตัวเล็ก มาจากไหนกัน?” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตร ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปใกล้เจ้าตัวเล็ก
อสูรตัวจ้อยกะพริบตากลมโตแล้วยกอุ้งเท้าเกาหู อืมมม….. หน้าตายั่วยวนชั่วร้าย สวมชุดคลุมสีแดงตลอดตัว อืม ถูกคนแล้วกระมัง!
มันคิดได้ดังนั้นก็ยื่นอุ้งเท้าเล็กออกมาตรงหน้าเขา เผยให้เห็นกระดาษก้อนกลมในอุ้งมือของมัน
ไป๋จือเยี่ยนชะงักค้างไป
อสูรน้อยท่าทางใจร้อนนัก มันกลอกตาก่อนจะโยนกระดาษก้อนนั้นไว้บนโต๊ะ ร่างเล็กของมันพลันเปล่งแสงวาบหายขึ้นท้องฟ้าไปในพริบตา
เร็วนัก!
ไป๋จือเยี่ยนดึงสติตนกลับมาได้ จากนั้นหันไปมองกระดาษกลมบนโต๊ะ ใครส่งมากัน?
เขาหยิบมันขึ้นมาคลี่ออก ยังไม่ทันได้อ่านก็เห็นโหลวจวินเหยาผลักประตูเข้ามา นัยน์ตาฉายแววเกียจคร้านมองตรงไปยังบานหน้าต่าง “ที่เพิ่งออกไปจากหน้าต่างห้องเจ้าคือตัวอะไร?”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?” ไป๋จือเยี่ยนถามสีหน้าสงสัย
สุดท้ายกลับถูกอีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงดูถูก “พลังวิญญาณผันผวนเช่นนี้ เจ้าสัมผัสไม่ได้เลยหรือ?”
“…..” หึ! เยี่ยมไปเลย! ตั้งแต่ได้พลังกลับมาก็ไม่คิดจะปิดบังแววดูถูกถากถางคนอื่นแล้ว
ไป๋จือเยี่ยโกรธเกรี้ยวนักจึงคิดเมินเขา ลากสายตากลับมายังกระดาษในมือ จากนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สีหน้าชั่วร้ายพลันปรากฏ “เอ๋? ดึกดื่นเช่นนี้ แม่นางน้อยกลับส่งข้อความให้ข้าออกไปประชุมลับงั้นหรือ??”
โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วจึงแอบมองเนื้อหาในกระดาษแผ่นนั้น ในนั้นไม่มีแม้ตัวอักษรสักตัว มีเพียงภาพขนนกที่วาดได้สมจริงมากเท่านั้น (1)
เป็นเจ้าจิ้งจอกน้อยชิงอวี่หรือ?
แต่…..
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านางบอกให้ออกไปพบ?” รูปขนนกรูปหนึ่งยังมีความหมายอื่นได้ซ่อนอยู่งั้นหรือ?
ไป๋จือเยี่ยนยกยิ้มแล้ว “นี่คือความลับของพวกเราเหล่านักปรุงยา คนนอกย่อมมองไม่ออกว่าหมายความเช่นไร”
พูดจบเขาก็โรยผงบางอยากลงบนกระดาษ ขนนกนั่นพลันแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นคำหลายคำ โรงเตี๊ยมหลังมรณา
โหลวจวินเหยาพลันเข้าใจเมื่อเห็นคำนั้น เดิมทีเขานึกว่าอาจเป็นรหัสลับบางอย่าง แต่เป็นเพียงลูกเล่นเล็กน้อยเท่านั้น
“ชื่อมันคุ้นยิ่งนัก…..” ไป๋จือเยี่ยนพูดไปลูบคางไปอย่างครุ่นคิด ลูบไปมาอยู่ครู่หนึ่งจึงเผยใบหน้าตกใจออกมา “นั่นมันที่ของเจ้าเด็กนั่นไม่ใช่หรือ?”
“อะไร?” โหลวจวินเหยาไม่คิดใส่ใจสิ่งใดนัก เพียงสงสัยว่าชิงอวี่มีแผนการอันใดเท่านั้น
“เจ้าเด็กตระกูลไป๋หลี่ ครั้งก่อนที่เขามาที่นี่ข้าเกือบสังหารเขาไปแล้ว” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเตือนความจำ
คนผู้นี้เมินเฉยต่อทุกสิ่งอย่างทำให้ไม่อาจจดจำสิ่งใดได้ นับเป็นเรื่องที่ไป๋จือเยี่ยนรู้ดี ดังนั้นคนผู้นี้คงไม่รู้เลยว่าตนเองได้สร้างศัตรูอาฆาตไว้บนแดนเมฆาสวรรค์มากมายเท่าไร
ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเตือนเช่นนั้น โหลวจวินเหยาจึงเริ่มจำบางอย่างได้ “อะไรกัน? จิ้งจอกน้อยจะให้เจ้าไปที่นั่นเพื่ออะไร?”
“ในเมื่อเจ้าไม่รู้แล้วข้าจะรู้หรือ? พวกเจ้าสนิทสนมกันมากกว่าข้าไม่ใช่หรือไร?” ไป๋จือเยี่ยนตอบพลางยักไหล่ “ไปถึงก็รู้เอง แม่นางน้อยเชิญไปเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล ส่งคำเชิญมาดึกดื่นเช่นนี้คงมีเรื่องบางอย่างแน่”
“อืม” โหลวจวินเหยาส่งเสียงตอบรับ ใบหน้าจริงจังเคร่งขรึม “ข้าไปด้วย หากมีเหตุอันใดจะได้ช่วยเหลือได้”
ไป๋จือเยี่ยนตกตะลึงไป “….. ?!”
เจ้าช่วยกลับไปเป็นเจ้าคนเดิมได้หรือไม่?
ตั้งแต่ที่ลงมาอยู่ที่แดนมุกหยกมาเป็นเวลานาน จอมมารผู้ยิ่งใหญ่ได้กลายเป็นคนมีจิตเมตตาต่อผู้อื่นไปแล้วงั้นหรือ? รู้จักออกปากช่วยเหลือผู้อื่นก่อนแล้วด้วย? หากคนอื่นรู้เข้าได้ตกใจตายเป็นแน่!
เขาคิดจะไปสังหารคนหรือวางเพลิงหรือไร??
แม้แดนมุกหยกจะเป็นแดนที่อยู่ในระดับต่ำที่สุด แต่ก็ยังมีสถานที่อันตรายที่มีอสูรดุร้ายอยู่ อีกทั้งยังมีสถานที่อันหรูหราโอ่อ่าที่รู้จักในนามเมืองเซียน ไม่ด้อยไปกว่าสถานที่บนดินแดนระดับสูงกว่าแม้แต่น้อย นั่นคือโรงเตี๊ยมหลังมรณา
ทั่วทั้งสถานที่มีแต่แสงทอดสาดส่อง แสงหยกส่องประกาย มีแต่สิ่งของหรูหรางามตาทั่วทุกทิศทาง
โรงพนันบนชั้นแรกนั้นอื้ออึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เสียงโห่ร้องต่าง ๆ มีให้ได้ยินเป็นระยะ ดูท่าวันนี้จะมีคนโชคดี กลับกันก็ยังมีคนโชคร้ายเป็นพิเศษ เสียพนันไปมากโขจนแม้แต่เสื้อผ้าบนร่างยังถูกริบเอาไป ใบหน้าและลำคอแดงไปหมด ปากยังส่งเสียงก่นด่าออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว
ด้านข้างเป็นสนามประลอง ชายร่างกำยำสูงราวสองเมตร กำลังถูกชายหนุ่มร่างผอมผู้หนึ่งโค่นในสองกระบวนท่า ยามชายร่างยักษ์กระแทกกับพื้นก็เกิดเสียงสนั่น เขาเดือดดาลนักคิดหาช่องลอบโจมตียามอีกฝ่ายไม่ทันระวัง แต่กลับถูกชายหนุ่มส่งลูกเตะซัดร่างกระเด็นไปจนคอหักและสิ้นใจทันที
ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดูถูก นัยน์ตาแฝงแววสบประมาท จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปไม่มองย้อนกลับมา ผู้ติดตามของเขาก็รีบเดินติดตามเขาไปทันที
ฝูงชนที่ห้อมล้อมชมการประลองพากันส่งเสียงอื้ออึ้ง
มีคนตายในโรงเตี๊ยมหลังมรณาอยู่ทุกวัน เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงคำร่ำลือไร้ที่มา
ก่อนหน้าวันนี้ก็มีคนถูกสังหารด้วยเงื้อมือชายร่างยักษ์คนนี้มาแล้วอย่างน้อยแปดสิบคน ครั้งนี้เป็นคราวเขาตายบนสนามประลองบ้าง
ชั้นแรกของโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกครึกโครม บรรยากาศในโถงพนันดุเดือด ในสนามประลองเลือดพล่าน แต่อีกด้านหนึ่งยังมีนางรำร่ายรำอ่อนช้อย แต่ละนางสวมชุดวาบหวิวเผยผิวกาย
แต่ละคนหมุนเอวพลิ้วไหว ร่างกายยืดหยุ่นระบำไปตามจังหวะดนตรีไพเราะ ผ้าไหวที่ห่มคลุมกายเผยให้เห็นส่วนโค้งเว้างดงามยั่วยวนใจ ในหมู่พวกนางไม่ได้มีเพียงสตรีท่าทางชดช้อย ยังมีบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารูปร่างสูงหลายคนด้วยกัน แม้จะเป็นบุรุษ แต่หน้าตางดงามและเรือนร่างดึงดูดใจของพวกเขาก็งามไม่แพ้เหล่าสตรีเลยทีเดียว
ที่นี่มีแขกที่มีรสนิยมแตกต่าง ดังนั้นเหล่าชายหนุ่มจึงเป็นที่โปรดปรานเช่นกัน
ตราบเท่าที่มีสิทธิและมีเงินตรามากพอล่อใจ เหล่านางระบำเหล่านั้นก็สามารถร่ายรำหรือเล่นดนตรีให้คนผู้นั้นโดยเฉพาะได้ กระทั่งยอมมีค่ำคืนร่วมสุขร่วมกัน มีหลากหลายตัวเลือกให้เลือกสรร
พวกเขาและพวกนางคือเหล่าคนที่จะทำทุกอย่างให้ลูกค้าพึงพอใจ
ชายหัวล้านพุงพลุ้ยผู้หนึ่งที่มีใบหน้าอ้วนมันขลับเดินหน้าถมึงทึงลงมาจากโต๊ะพนัน ย่ำเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มที่มีรูปร่างยั่วยวนผู้หนึ่ง จากนั้นยัดตั๋วทองคำกองหนึ่งใส่มือเขา
แผ่นทองคำแต่ละแผ่นมีมูลค่าหนึ่งพัน รวมแล้วตั๋วทองคำทั้งหมดในมือเขามีมูลค่ากว่าหลายหมื่นด้วยกัน
ใบหน้างามของชายหนุ่มพลันเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มชวนมอง ไม่รู้ว่าชายหัวล้านกล่าวอันใดกับชายหนุ่ม เขาจึงมีสีหน้าขวยเขินไปเล็กน้อย แต่เมื่อชายร่างท้วมยัดตั๋วทองอีกชุดให้เขา ชายหนุ่มก็ทำท่าทางกระมิดกระเมี้ยน ก่อนจะเอนร่างซบแขนอวบของชายหัวล้านอย่างว่าง่าย
ชายหัวล้านดูท่าจะไม่อาจรีรออีกต่อไป คงอยากทำตามอำเภอใจเต็มที่ เขาไม่สนสายตาคนนับไม่ถ้วนในห้องโถง ใช้ปากใหญ่ประกบเข้ากับริมฝีปากสีชมพูของชายหนุ่มในพลัน แขนอวบอ้วนเริ่มโลมไล้ไปทั่วร่างนุ่มของชายหนุ่ม ส่งผลให้อีกฝ่ายส่งเสียงครางต่ำอย่างเขินอายออกมา สร้างภาพน่าตกใจแก่สายตาผู้คน
รอบข้างมีคนมากมาย แต่สองคนนั้นดูจะไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ยิ่งรู้สึกเร่าร้อนมากขึ้น ชายหัวล้านกดร่างชายหนุ่มลงกับโต๊ะ ฉีกกระชากเสื้อผ้าไหมบางที่ขวางกั้นเรือนร่างบางออกราวกับไม่อาจอดทนรอได้อีกต่อไป
ส่วนชายหนุ่มก็ไม่ขัดขืน ยกขายาวผิวพรรณงดงามสองข้างขึ้นรัดร่างชายหัวล้านในพลัน ท่าทางโอนอ่อนราวกับจะปล่อยให้อีกฝ่ายทำวิ่งใดกับร่างกายตนได้ดั่งใจหวังทุกประการ
บรรยากาศภายในห้องโถงจึงแปรเปลี่ยนเป็นเร้าอารมณ์จนเกินควบคุม
ในอีกฝั่งหนึ่งของโถงใหญ่ ชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาในชุดคลุมดำดึงแขนชายหนุ่มอีกคนในชุดคลุมขาวเข้ามาใกล้ จากนั้นก็เดินเข้าไปยังห้องส่วนตัวโดยไม่เอ่ยคำใด
“เหตุใดพวกเราจึงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้?” ชายหนุ่มเอ่ยเน้นทุกคำราวกับกำลังกัดฟันเค้นคำเหล่านั้นออกมา
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวที่ถูกดึงตัวเข้าห้องไป เขามีใบหน้างดงามไร้ที่ติที่มองแล้วชวนให้อ้าปากค้างด้วยความตะลึง นัยน์ตาหงส์งดงามส่องประกายชั่วร้าย “ไหลไหล เจ้าอายหรือ?”
“…..”
ชายหนุ่มสองคนนี้คือมู่ไหลและชิงอวี่ที่ปลอมตัวเป็นบุรุษนั่นเอง
ตอนแรกมู่ไหลไม่รู้ว่าเหตุใดพวกนางจึงต้องแต่งกายเยี่ยงบุรุษ แต่ตอนนี้นางได้รู้แล้ว สถานที่นี้อันตรายเกินไปจริง ๆ!
กระทั่งพวกนางปลอมตัวเป็นชายหนุ่มก็ยังถูกมองตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาแปลกประหลาดมากมาย หากพวกนางมาในฐานะสตรีคงไม่ต้องเอ่ย คงจะถูกจับกินทั้งเป็นตั้งแต่ก้าวแรกไปแล้วกระมัง
ผู้คนในนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว แค่ภาพฉากในโถงใหญ่เมื่อครู่ คนธรรมดาย่อมไม่อาจไร้ยางอายได้มากเช่นนั้น หากแต่สองคนนั้นกลับกล้าเผยการกระทำเร้าอารมณ์เช่นนั้นต่อสายตาผู้คน อีกทั้งยังเป็นบุรุษกับบุรุษ! น่าอายยิ่งนัก!
ชิงอวี่มองเด็กสาวที่หน้าดำไปทั้งแถบแล้วเกือบกลั้นหัวเราะไม่ไหว เป็นภาพที่หาได้ยากจริง ได้เห็นใบหน้าภูเขาน้ำแข็งที่เย็นชาไม่เคยเปลี่ยนกลับแสดงสีหน้าเคร่งขรึมปานนั้นออกมาได้
“เอาล่ะ เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ ข้าไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นนี่ อย่างไรเราก็มาที่นี่เพื่อคุยธุระสำคัญ ต่อไปจะไม่มาอีก” ชิงอวี่เอ่ยเสียงปลอบใจ รู้สึกขบขันไม่น้อย
เชิงอรรถ
ในชื่อ ชิงอวี่ คำว่า อวี่ ในชื่อหมายถึง ขนนก