สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 106 ถูกดึงลงใต้พิภพ
บทที่ 106 ถูกดึงลงใต้พิภพ
ใบหน้ามู่ไหลยิ่งทะมึนลง นัยน์ตาฉายแววซับซ้อน แม่นางน้อยผู้นี้อายุน้อยกว่านางหลายปี เหตุใดจึงมีท่าทางคุ้นเคย….. กับสถานที่โลกีย์ที่มีคนหลากหลายประเภทราวกับมาบ่อยเช่นนี้ได้?
แล้วยังภาพฉากเมื่อครู่ ไม่ว่านางจะเฉยเมยตีหน้าเรียบเฉยถึงเพียงไหน แต่นางก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง อดจะรู้สึกกระดากอายไม่ได้ แต่แม่นายน้อยนี่….. กลับยืนมองคนคู่นั้นด้วยแววตาสนใจยิ่ง!
หากไม่ใช่นางดึงตัวแม่นางน้อยออกมาแล้วละก็ พวกนางอาจได้เห็นภาพที่ทำให้เป็นตากุ้งยิงก็เป็นได้!
มู่ไหลสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว ผมยาวรวบขึ้นสูง ด้วยท่าทางเย็นชาสันโดษของนางที่มีอยู่เป็นทุนเดิม นางแต่งกายเป็นชายหนุ่มจึงไม่มีอันใดผิดแผก หากแต่กลับทำให้กลิ่นอายเฉยเมยดูอ่อนโยนลง ดึงสายตาจากหญิงสาวได้มากมาย
ส่วนชิงอวี่ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง นางแต่งกายเป็นบุรุษเพื่อความสะดวกเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร ด้วยใบหน้างดงามไร้ที่ติของนาง เพียงแค่บดบังความนุ่มนวลเช่นสตรี เช่นนั้นก็ทำให้ใบหน้านางดูงดงามอย่างชั่วร้ายได้แล้ว นัยน์ตาหงส์ยาวแฉลบขึ้นของนางชวนมอง โดดเด่นจนหลายคนไม่อาจละสายตา ดึงดูดใจทั้งบุรุษและสตรี
นางเป็นเด็กสาวผู้งดงามคนหนึ่งแท้ ๆ แต่กลับไม่เผยความเป็นสตรีออกมาแม้แต่น้อยยามแปลงโฉมเช่นนั้น ท่าทีสมดั่งชายหนุ่มคนหนึ่ง ทั้งงดงามและหล่อเหลา อีกทั้งยังส่งกลิ่นอายสูงส่งออกมา นับเป็นชายหนุ่มผู้อยู่เหนือชายหนุ่มทั้งหลาย
มู่ไหลชะงักไป ในใจพลันรู้สึกถึงระลอกคลื่นหนึ่ง จากนั้นนางก็สบถด่าตนเองในใจ แอบกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจลวงใจแต่ปากกลับเอ่ยคำพูดหนึ่งดังขึ้น “ข้าเคยมายังโรงเตี๊ยมหลังมรณามาแล้วสองสามครั้ง ดูเผิน ๆ ก็เป็นเพียงโรงเตี๊ยมและภัตตาคารเท่านั้น แต่ภายในกลับวุ่นวายนัก มีคนอยู่ทุกประเภท ไม่ขาดผู้หลบหนีภัย มือสังหาร และไม่ขาดอาชญากรใจเหี้ยมทั้งหลาย ดังนั้นโลกภายนอกจึงเรียกโรงเตี๊ยมหลังมรณาในอีกชื่อหนึ่ง นั่นคือเมืองแห่งบาป”
เรียกที่แห่งนี้ว่าเป็นเมือง เมืองหนึ่งนั้นไม่ได้กล่าวเกินไปแม้แต่น้อย โรงเตี๊ยมหลังมรณานั้นมีพื้นที่กว้างขวางมาก เขตแดนยืดยาวออกไปไกลหลายพันลี้รอบทิศ นอกจากมีความสูงเก้าชั้นแล้ว ยังมีชั้นใต้ดินอีกสามชั้นที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงการมีอยู่
มีคนชั่วอยู่ที่นี่ตลอดทั้งปี ด้วยเพราะหากก้าวเท้าออกจากโรงเตี๊ยมหลังมรณาเมื่อไร สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าคือความตายทั้งสิ้น
ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป คนเหล่านั้นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของโรงเตี๊ยมหลังมรณา รับหน้าที่เป็นผู้คุมความสงบ หากมีใครกล้ามาก่อความวุ่นวายในที่แห่งนี้ พวกเขาจะไม่ลังเล ลงมือสังหารหรือเตะคงพวกนั้นออกจากที่นี่ทันที
อีกทั้งยังมีคนได้ชีวิตใหม่ ณ ที่แห่งนี้ด้วยการเสี่ยงโชคที่โต๊ะพนัน กลายเป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยล้นฟ้าไป หรืออาจมีคนที่เอาชนะการประลองนับพันครั้งในสนามประลอง ได้รับสมบัติล้ำค่ามากมายไว้ครอบครอง กลายเป็นเสาหลักหนึ่งของสนามประลองนักสู้
หรือก็คือพวกเขาค่อย ๆ จมดิ่งลงสู่ชีวิตอันสงบสุขในที่แห่งนี้ เป็นชีวิตที่มีเงินตราเคล้าสุราและนารีงาม ทุกวันมีแต่เมามายไม่ได้สติ ใช้ชีวิตดั่งเซียน ไม่ถูกสิ่งใดกดขี่วิ่งหนีเอาชีวิตรอดอีกต่อไป
โรงเตี๊ยมหลังมรณานั้นทั้งอันตรายและลึกลับ หากแต่ก็ปลอดภัยไปในเวลาเดียวกัน หลากหลายข้อตกลงที่ไม่อาจเผยสู่สาธารณะมาทำการพูดคุยกันที่นี่ ทั้งยังไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลจะรั่วไหล
ห้องส่วนตัวแต่ละห้องเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี เมื่อเข้าไปแล้วจะไม่ได้ยินเสียงอื้ออึงจากภายนอกแม้แต่นิด ราวกับอยู่กันคนละโลก
ชิงอวี่ค่อย ๆ รินชาให้ตนเอง กำลังจะยกถ้วยขึ้นจิบ จมูกก็พลันได้กลิ่นบางอย่าง มุมปากนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม พลันวางถ้วยชาลง โรงเตี๊ยมหลังมรณาแห่งนี้น่าสนใจไม่น้อย
มู่ไหลเห็นท่าทีของนางแล้วจึงยกกาชามาลองดมดู จากนั้นสีหน้าพลันทะมึนลง “มีกลิ่นหญ้าลืมสิ้นในนี้”
หญ้าลืมสิ้นนั้นเป็นหญ้าที่ทำให้คนสูญเสียความทรงจำไปชั่วคราวดั่งชื่อของมัน หากได้รับไปเพียงเล็กน้อยจะไม่เป็นอันตราย แต่หากได้รับน้อย ๆ เป็นเวลานานจะทำให้คนผู้นั้นค่อย ๆ เสียสติ ปิดตนอยู่แต่ในโลกของตนเองช้า ๆ จนสุดท้ายไม่อาจออกมาได้อีก
โรงเตี๊ยมหลังมรณาแห่งนี้มีแผนการอะไรกันแน่? จึงได้ใส่ของเช่นนี้ลงในชาของพวกนางได้!
มู่ไหลคิดจะไปหาผู้จัดการโรงเตี๊ยมเสียเดี๋ยวนี้เพื่อเค้นเอาคำตอบ แต่ชิงอวี่เรียกนางไว้
“เจ้าเก็บเวลาอันมีค่าไว้เถอะ ข้าไม่คิดว่าพวกเขาเพิ่งทำเช่นนี้ได้เพียงวันสองวัน หากเจ้าฉีกหน้าพวกเขาก็มีแต่จะโกรธแค้นเจ้า มีแต่จะนำภัยมาสู่ธุระของเรา”
มู่ไหลขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงล้มเลิกความคิดนั้น “ทางเข้าอุโมงค์วิญญาณ….. จะอยู่ที่โรงเตี๊ยมหลังมรณาจริงหรือ?”
“เจ้าต้องเชื่อในประสาทสัมผัสของข้า ที่นี่มีกลิ่นอายชั่วร้ายและมืดมิดสุด ๆ อยู่ และหากการคำนวณของข้าไม่ผิดพลาด…..” ชิงอวี่หยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะใช้ปลายเท้าแตะพื้น “มันอยู่ข้างล่างนี่ล่ะ”
ร่างมู่ไหลพลันแข็งค้าง ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ “ชั้นใต้ดินสามชั้นที่ร่ำลือกันน่ะหรือ?”
ชิงอวี่ส่ายหัว จากนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ดูท่าจะอยู่ลึกลงไปกว่านั้น”
“แล้วเราจะลงไปได้อย่างไร?” สีหน้ามู่ไหลดูสับสนยิ่งนัก “เราไม่มีวิชาเจาะพื้นดิน อีกทั้งถ้ามันเป็นสถานที่ที่อยู่ลึกลงไปเช่นนั้น….. พวกเรามากันเพียงสองคนก็คงจะอันตรายเกินไป อาจจะลงไปแล้วขาดอากาศหายใจตายก็เป็นได้”
“อืม ข้าจึงเรียกคนที่น่าจะช่วยเหลือเราได้มาอย่างไร” ชิงอวี่เอ่ย
มู่ไหลประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าไปเรียกคนมาตั้งแต่เมื่อไร? อีกทั้งเรื่องที่เราจะทำอันตรายยิ่ง หากอีกฝ่ายติดร่างแหไปเพราะเรา เจ้าจะ…..”
ชิงอวี่หัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ย “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ผู้ช่วยเหลือที่ข้าเรียกมาในวันนี้พึ่งพาได้และมีฝีมือยิ่งนัก”
ที่อีกด้านหนึ่ง ด้วยจดหมายของชิงอวี่ระบุไว้เพียงชื่อสถานที่ ไป๋จือเยี่ยนจึงไม่ได้ใส่ใจอันใด เพียงบอกให้ชายหนุ่มชุดคลุมเทาติดตามมาด้วยเท่านั้น ใครใช้ให้เขาไร้ประโยชน์ในด้านอื่นแต่ดันมีฝีมือวรยุทธดีกันเล่า
แม้โรงเตี๊ยมหลังมรณาจะเป็นที่รู้จักทั่วดินแดน แต่มีเพียงน้อยคนที่จะรู้ สถานที่ตั้งแน่ชัด เพราะสถานที่ตั้งของมันอยู่ห่างไกลมาก ดังนั้นแม้จะเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองเพียงไหนก็ยังหาพบยาก
ไป๋จือเยี่ยนไปตามนัดหมายช้าไปเล็กน้อย ไล่ถามคนมาตามทางจึงมาถึงสถานที่นี้ได้ในที่สุด
จริง ๆ แล้วพวกเขาสามารถใช้การเคลื่อนย้ายผ่านมิติเดินทางมาที่นี่ภายในชั่วลมหายใจ แต่กลับรั้ง ๆ รอ ๆ จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม
เบื้องหน้าคืออาคารขนาดใหญ่ รอบอาคารนั้นคือเนินเขาเป็นชั้น ๆ ล้อมรอบ ยิ่งทำให้ที่นี่ดูโอ่อ่ามากขึ้น เมืองที่ดูเจริญรุ่งเรืองมาโผล่เอายังสถานที่เช่นนี้ได้ เป็นหอสูงกลางความรกร้างว่างเปล่า นับเป็นภาพที่น่าประหลาดใจนัก
ไป๋จือเยี่ยนอดรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าหนูไป๋หลี่จีหรานนั่นซ่อนความชอบส่วนตนอันใดไว้กัน? เหตุใดจึงมาเปิดโรงเตี๊ยมในสถานที่เช่นนี้ได้ กลางดึกเช่นนี้น่าขนลุกยิ่งนัก ไม่กลัวจะนำพาภูตผีมาหรือไร?”
ชายชุดคลุมเทาอ้าปากหาวด้วยท่าทางเกียจคร้านเต็มที่ ดูท่าทางง่วงนอนยิ่งนัก “เจ้าพูดถูก แถบนี้มีผีเร่ร่อนอยู่มากมาย มีบางตัวเพิ่งจะเข้าไปในนั้นด้วย!”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ไป๋จือเยี่ยนมีสีหน้าสะพรึงกลัว “เข้าไปกี่ตัว?”
ไป๋จือเยี่ยนไม่มีดวงตาเห็นสิ่งประหลาดเช่นนั้น แต่ชายชุดคลุมเทาเกิดมาพร้อมกับดวงตาหยินหยาง ทำให้สามารถเห็นสิ่งที่ตาเปล่าไม่อาจเห็นได้ เขาโบกมือผ่านใบหน้าตนคราหนึ่ง คลื่นพลังพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าก่อเกิดเป็นภาพหนึ่ง
เขาเงยหน้ามอง เห็นผีร้ายหลายตัวเกาะอยู่บนร่างผู้คน ท่าเดินแปลกตา แขนขาลากลู่ลงแทบลากพื้น ใบหน้าดูชั่วร้ายต่ำช้า
บางครั้งก็เห็นคนที่มาผู้เดียวบางคนถูกลากไปยังมุมหนึ่ง พลันถูกหักคอและสิ้นใจตายในที่สุด จากนั้นมันก็กัดคอแล้วดูดเลือดเขาอย่างบ้าคลั่ง ร่างนั้นเหือดแห้งลงในพลัน กลายเป็นศพแห้งศพหนึ่ง จากนั้นก็จะถูกกิน แม้แต่กระดูกมันก็หยิบขึ้นมาเคี้ยวจนละเอียดด้วยความหิวโหย
ที่น่าตกใจคือมันเป็นผีที่สิงร่างมนุษย์ ภาพที่เห็นคือมนุษย์ผู้หนึ่งกำลังกินเนื้อมนุษย์อีกคนหนึ่ง คนด้านในเห็นภาพเช่นนี้แล้วก็พากันแตกตื่นหวาดกลัว ได้แต่คิดว่าคนที่โจมตีคนด้วยกันเองคงเสียสติไปแล้วก็เป็นได้ มีผู้คนวิ่งหนีกรีดร้องแตกกระเจิงออกมาทุกทิศทาง ต่างพากันผลักคนอื่น ๆ ให้พ้นทางตน
คนหลายคนถูกผลักจนล้มลงกับพื้น ถูกเท้านับไม่ถ้วนย่ำเหยียบลงบนร่าง ไม่มีใครใส่ใจว่าตนเหยียบลงไปบนสิ่งใด มีเพียงแต่ตั้งหน้าตั้งตาหนีอย่างไม่คิดชีวิต ไม่คิดจะช่วยดึงคนที่ถูกเหยียบขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย หลายคนถูกเหยียบจนตาย สุดท้ายกลายเป็นอาหารของผีพวกนั้นไป
ภาพฉากนี้เผยให้เห็นสันดานอันต่ำช้าของมนุษย์ ให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ หากตนเองสามารถรอดชีวิตได้ คนอื่นที่ขวางทางย่อมต้องถูกสังหาร ตนเองจะได้มีเวลาเอาชีวิตรอดเพิ่มขึ้นอีกสักนิด
เหตุการณ์เบื้องหน้ากลายเป็นโกลาหล นัยน์ตาโหลวจวินเหยาทะมึนลงในพลัน “ไปตามหาจิ้งจอกน้อยเสีย”
ได้ยินดังนั้นภาพเบื้องหน้าชายชุดคลุมเทาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สับเปลี่ยนไปเรื่อยจนกระทั่งพบเข้ากับภาพน่าขวัญผวาฉากหนึ่ง
กรงเล็บดำที่ทั้งแห้งเหี่ยวคล้ายซากศพผุดขึ้นมาจากพื้น จากนั้นคว้าร่างสีขาวไว้ มือเหล่านั้นคว้าข้อเท้าของเด็กสาวผู้หนึ่งที่แต่งกายเป็นชายหนุ่ม ทำท่าราวกับจะดึงนางลงไปด้านล่าง
ข้าง ๆ นางคือเด็กสาวหน้าตาเย็นชาในชุดดำที่กำลังคว้ามือเด็กสาวชุดขาวไว้แล้วดึงนางขึ้นมา แต่พริบตาต่อมาก็มีกรงเล็บแหลมคมมากมายผุดขึ้นมาคว้าร่างนางไว้เช่นกัน ดึงน่องของนางจมลงพื้นไป
โหลวจวินเหยาสีหน้าทะมึนลง ร่างเขาหายไปในพริบตา
อีกสองคนรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้เร่งด่วนเพียงไร ดังนั้นจึงรีบพุ่งตัวตามไปเช่นกัน
สถานการณ์ที่แปรเปลี่ยนฉับพลันเช่นนี้ทำเอาพวกเขาไม่ทันตั้งตัว
ชิงอวี่พบว่าตนไม่อาจสลัดกรงเล็บดำประหลาดเหล่านี้ให้พ้นกายได้ ด้วยร่างทั้งร่างของนางเริ่มรู้สึกแข็งเกร็งทันทีที่มือเหล่านั้นคว้าถูกข้อเท้านาง ไม่อาจขัดขืนได้แม้แต่นิด ราวกำกับมีบางอย่างผนึกกำลังในร่างไว้
“ไหลไหล ข้าขยับไม่ได้…..” ชิงอวี่เอ่ยขึ้น ใบหน้ายิ้มขื่น
“ข้าก็เช่นกัน” มู่ไหลพยายามกัดฟันพูดออกมา “ดูท่าเราจะมั่นใจได้แล้วว่าอุโมงค์วิญญาณอยู่ด้านล่างนี่จริง ๆ”
“ข้าชื่นชมเจ้าจริง ๆ ที่ตกอยู่ในสภาพนี้แล้วยังคิดถึงปัญหาตนอย่างสงบได้เช่นนี้” ร่างของชิงอวี่พลันถูกดึงลงไปอีกนิดแม้จะพยายามยื้อไว้ถึงเพียงไหน ตอนนี้ตัวนางครึ่งหนึ่งถูกดึงลงไปแล้ว
“ข้าก็ชื่นชมเจ้าเช่นกันที่สถานการณ์เช่นนี้ยังปล่อยมุกตลกได้”
มู่ไหลโต้กลับ แต่นัยน์ตานางหม่นแสงลงเล็กน้อย นางยังคงกุมมือชิงอวี่ไว้แน่น “ขอโทษด้วย ครั้งนี้ดูท่าข้าจะทำให้เจ้าต้องได้รับอันตรายแล้ว”
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า? ใครใช้ให้เจ้าเป็นสหายหนึ่งเดียวของข้าเล่า?”
กรงเล็บดำที่ผุดขึ้นจากใต้พิภพคล้ายกับจะมีกำลังมากขึ้น มู่ไหลถูกดึงร่างจมหายลงไปในพริบตา
ตอนนี้ชิงอวี่เหลือเพียงหัวไหล่และสองมือที่ยังอยู่เหนือพื้นดิน ในตอนที่นางกำลังจะถูกดึงลงไปนั่นเอง นางพลันได้ยินเสียงประตู ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าอย่างเร่งรีบ มือนางที่ยังคงอยู่ด้านบนเพียงส่วนเดียวถูกจับไว้แน่น แล้วคนผู้นั้นก็ถูกดึงลงสู่ห้วงแห่งความมืดมิดไปพร้อมกันกับนาง
สถานการณ์ปั่นป่วนเป็นยิ่งนัก ที่ใต้กินมีทั้งเศษดินเศษหินแตกกระจายที่ร่วงหล่นลงมาพร้อมกันกับนาง นางกำลังร่วงลงไปด้วยความเร็วที่มั่นใจว่าเศษหินต่าง ๆ คงบาดใบหน้านางจนเสียโฉมเป็นแน่
ชิงอวี่รู้สึกคล้ายสติตนกำลังหลุดลอยไป แต่ก็ยังไม่อยากถูกทำให้เสียโฉม นางยกแขนขึ้นป้องหัวตนเอง ทันใดนั้นพลันรู้สึกว่าตนถูกโอบร่างไว้แล้วกดลงบนอกของคนผู้หนึ่ง น้ำเสียงนุ่มลึกพลันเอ่ยขึ้นที่ข้างหู “ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไร”
เป็นใครกัน…..