สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 109 ชายชราลึกลับ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้คนที่ข้ามฝั่งไปสำเร็จแล้วถึงกับเปลี่ยนสีหน้า
สีเลือดบนใบหน้าชิงอวี่พลันเหือดหาย นางเผลอไผลไปเพียงชั่วขณะ แต่กลับเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายโจมตี เกือบจะถูกกัดคอเข้าแล้ว
นางคว้าโหลวจวินเหยาที่อยู่ด้านหลังแล้วรีบพาเขาเดินข้ามฝั่ง จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองมือเขา เห็นว่าผิวยังดูนุ่มลื่น ข้อต่อแต่ละนิ้วงดงามไร้ที่ติ
“ท่านได้แตะต้องตัววิญญาณนั่นหรือไม่?” ชิงอวี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ไม่” โหลวจวินเหยาตอบ
“ไม่แตะหรือ?” ชิงอวี่ถามต่อ ดูไม่เชื่อคำเขาเท่าไร “แล้วโดนกัดหรือไม่? เมื่อครู่เขาหมายจะกัดข้าจึงทุ่มสุดกำลัง”
ถามจบนางก็ไม่รอคำตอบ ยื่นมือไปจับคลำทั่วทั้งแขนเขาโดยละเอียดในทันที เมื่อไม่พบบาดแผลจึงรู้สึกโล่งใจ
เฮ้อ โชคดีไป หากถูกกัดเข้าโดยไม่รู้ตัวคงร้ายแรงนัก
เขาลงมือช่วยเหลือนาง ดังนั้นจะปล่อยให้เขาบาดเจ็บไม่ได้
นางคุ้นเคยกับการทำอะไรตรงไปตรงมา ดังนั้นเรื่องบุรุษเล็กน้อยจึงไม่อาจสั่นคลอนจิตใจนางได้ ไม่คิดมีท่าทีขวยเขินคล้ายสตรีภายนอกผู้อื่น แต่อย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านางก็เป็นสตรีผู้หนึ่ง ดังนั้นการกระทำเมื่อครู่ไม่เพียงทำให้คนสามคนที่มองอยู่เบิ่งตาโตเป็นไข่ห่าน กระทั่งตัวโหลวจวินเหยายังชะงักไป
จิ้งจอกน้อยผู้นี้แต่งกายเป็นเด็กหนุ่มจนเคยชิน กระทั่งการกระทำต่าง ๆ ก็เหมือนกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปแล้ว มือน้อยของนางลูบคลำทั้งมือทั้งแขนเขาทั่วเช่นนี้แทบทำเขาคลั่งอยู่แล้ว
ครั้งเมื่อยังอยู่บนแดนเมฆาสวรรค์ ทุกคนต่างรู้ดีว่าโหลวจวินนั้นรักความสะอาดยิ่ง
ชุดที่เคยสวมแล้วครั้งหนึ่งจะไม่นำมาใช้ซ้ำสอง ทั้งยังไม่อนุญาตให้ใครเขาห้องเขาง่าย ๆ โดยอ้างว่าจะทำให้บรรยากาศภายในแปดเปื้อนและส่งผลถึงอารมณ์เขาได้
อีกทั้งเขายังไม่ชอบให้คนอื่นแตะเนื้อต้องตัว เดิมทีก็เป็นเพียงความไม่ชอบเท่านั้น แต่หลังจากที่ถูกสาปด้วยหนอนกู่หยินหยางเพลิงเยือกแข็งก็ไม่มีใครเข้าใกล้เขาได้อีก เว้นเสียแต่จะเบื่อชีวิตและอยากลิ้มลองความตายก็เท่านั้น
หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาไม่อาจมีใครเข้าใกล้เขาได้ในระยะสามเมตร ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องแตะต้องตัวเขาได้เลย
แต่เบื้องหน้าพวกเขาตอนนี้….. แม่นางน้อยผู้นี้เพิ่งจะลูบคลำเขาไปทั่วใช่ไหมนั่น?
แล้วเหตุใดนายท่านจึงไม่โกรธคนควันออกหูเล่า? แต่กลับมีสีหน้า….. ออกจะทำอะไรไม่ถูกอยู่เล็กน้อย
เหลือเชื่อเกินไปแล้ว
มู่ไหลสังเกตมานานแล้วว่าชายหนุ่มที่อยู่กับชิงอวี่นั้น มีกลิ่นอายทรงพลังยิ่งนัก สามารถสัมผัสได้เลยว่าพลังบำเพ็ญของเขาสูงส่งถึงเพียงไหน อีกทั้งยังใบหน้าไร้ที่ติที่ราวกับได้เทพเซียนมาแกะสลักไว้ นัยน์ตาสีม่วงที่ทั้งดูลึกลับเกินหยั่ง
นางเหลือบมองเขาจากที่ไกลได้แวบหนึ่งก็ละสายตากลับมา เป็นเพราะนัยน์ตาสีม่วงคู่นั้นดูชั่วร้ายเกินไป ยังไม่ทันได้มองสำรวจเท่าไรก็เกือบจะถูกนัยน์ตาคู่นั้นกลืนกินวิญญาณเข้าไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นนัยน์ตาคู่ที่อันตรายไม่น้อย
เมื่อคิดว่าชิงอวี่รู้จักกับชายหนุ่มที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งคู่รู้จักกันสมัยที่นางเผลอเดินทางไปยังแดนธาราขาว?
ครั้งนี้นับว่าการคาดเดาของมู่ไหลถูกต้องอยู่ไม่น้อย ทั้งสองคนรู้จักกันบนแดนแดนธาราขาวจริง ๆ แม้จะเป็นการพบกันที่ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนักก็ตาม
หลังจากผ่านเขตแดนของวิญญาณเพลิงโลหิตมาได้ ชายหนุ่มชุดเทาก็ยังคงเดินนำหน้าสำรวจทางต่อไป พวกเขาพบวิญญาณเร่ร่อนหลากหลายตน อีกทั้งยังพบภูตผีอีกมาก แต่พวกมันไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย เป็นเขาที่จัดการพวกมันเสียสิ้นแล้วเดินทางต่อไป
ไป๋จือเยี่ยนเคยกล่าวไว้ว่าคนผู้นี้ปกติเกียจคร้านสันหลังยาวไปสักหน่อย แต่ในยามคับขันก็พึ่งพาได้ เขามีนัยน์ตาที่สามารถมองเห็นเหล่าวิญญาณและภูตผี ดังนั้นพวกมันที่คิดลอบโจมตีจากภายในความมืดจึงไม่อาจมีโอกาสลงมือได้
“ที่มาในครั้งนี้เพื่อช่วยนางงั้นหรือ?”
โหลวจวินเหยาและชิงอวี่ยังคงเดินรั้งท้าย ยังคงพูดคุยกันเป็นระยะ ๆ
“ถูกต้อง ท่านพ่อของไหลไหลเป็น นักปรุงยาขั้นทองคำ ถูกพลังตีกลับเนื่องจากถูกลอบโจมตี สร้างความเสียหายแก่แก่นพลังชีวิตไม่น้อย ดังนั้นตอนนี้พวกข้าจึงต้องจับตัววิญญาณน้อยที่มีความสามารถในการกักเก็บรวบรวมแก่นพลังชีวิตเพื่อช่วยให้ท่านพ่อของนางฟื้นฟูร่างกาย ไม่เช่นนั้นพลังบำเพ็ญของเขาจะสลายไป และสุดท้ายเขาอาจสิ้นใจในที่สุด”
โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็เม้มปาก “เจ้านี่ใจดีกับคนทุกคนเลยกระมัง”
“ท่านพูดผิดแล้ว” ชิงอวี่หันกลับมาคลี่ยิ้มให้เขา นัยน์ตาเรียวยาวของนางส่องประกายระยับ “ข้าทำเช่นนี้กับคนที่ข้าใส่ใจเท่านั้น กับคนที่ข้าไม่มีความเกี่ยวข้องแล้ว เว้นเสียแต่ว่าข้าจะใช้ประโยชน์จากพวกเขาได้ แม้จะมานอนตายอยู่ตรงหน้าข้าก็อาจไม่ชายตามองด้วยซ้ำ”
ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบัน คนอย่างนางก็ไม่อาจเรียกว่าคนดีได้
ในตัวนางยังมีความเมตตาอยู่บ้าง แต่อย่างแรกคือในความเมตตานั้นต้องไม่เป็นผลร้ายแก่นางเอง
เมื่อชาติก่อน มีคนเคยกล่าวว่านางเป็นคนใจหินและใจดำ ทั้งไร้ความเมตตาและเลือดเย็น แต่กลับแสดงออกว่าตนใส่ใจผู้อื่นยิ่งนัก ใช้รอยยิ้มเปลือกนอกหลอกลวงคนมานักต่อนัก
บ้างกล่าวว่าคนเช่นนั้นนับเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด
แววตาเด็กสาวมักจะยิ้มอยู่เสมอ แต่รอยยิ้มนั่นก็คล้ายกับเป็นม่านบาง ๆ ที่ปิดบังไม่ให้ผู้คนมองความรู้สึกที่แท้จริงของนางออกเพียงเท่านั้น คล้ายกับการเผยรอยยิ้มเป็นมิตรไว้ตลอด แต่ลึก ๆ ในใจมีความโหดร้ายซุกซ่อนอยู่
โหลวจวินเหยาเห็นรอยยิ้มของนางแล้วก็ชะงักไปในพลัน
เด็กสาวอายุเท่านาง ไม่ว่าจะเป็นบนแดนเมฆาสวรรค์หรือแดนระดับต่ำกว่าแดนอื่น ๆ มักจะน่ารักขี้อาย หลาย ๆ คนยังใสซื่อและไร้มารยาใด บ้างก็เจ้ากี้เจ้าการและเย่อหยิ่ง บ้างก็มีท่าทางอวดเก่ง มีอยู่มากมายหลายประเภทนัก
แต่ดูท่าจะมีเพียงนางที่คล้ายกับเป็นต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่อย่างโดดเดี่ยว ทั้งพิเศษและมีเอกลักษณ์อยู่ในตนเอง
นางเป็นเด็กสาวที่มีหน้าตางดงามไร้ที่ติ หากแต่ยามแต่งกายเป็นชายก็ไม่ดูแปลกประหลาด กิริยาท่าทางเข้าหาง่ายดูใจกว้างคล้ายชายหนุ่มทั่วไป มีฝีมือสูงส่ง แต่กลับเลือกปิดบังมันไว้และทำตัวเงียบเชียบจนผู้คนเผลอมองข้ามนางไป
ดูแล้วนางมีหลายหน้านัก ทุกใบหน้าของนางทั้งดูร่าเริงและผ่อนคลายยิ่งนัก นางไม่ใช่คนอ่อนแอ ทั้งยังมีจิตใจแข็งแกร่งกว่าบุรุษใดอีกมาก นางเห็นค่าของความสัมพันธ์ฉันมิตรและคุณธรรมเป็นอย่างมาก และไม่คิดจะฉวยโอกาสกับผู้อื่น กลับกันยังกลัวการติดค้างหนี้บุญคุณผู้อื่นมาก เกรงว่านางจะไม่อาจตอบแทนได้ ดังนั้นนางจึงคอยติดตามใช้หนี้บุญคุณต่าง ๆ อย่างเหมาะสมอยู่เสมอ
แม้จะกล่าวได้ว่านางเป็นแม่นางหัวไวคนหนึ่ง แต่มีแค่นั้นเรื่องเดียวก็สามารถทำให้นางจากหัวไวกลายเป็นคนโง่ได้
ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด สตรีมักถูกมองว่าอ่อนแอกว่าบุรุษอยู่เรื่อยไป ต้องมีบุรุษคอยปกป้องจึงจะมีชีวิตรอดต่อไปได้เท่านั้น
แต่กับเด็กสาวผู้นี้ โหลวจวินเหยาไม่เคยเห็นจุดอ่อนของนางมาก่อน ตั้งแต่คราแรกที่พบกัน เขาก็สัมผัสได้ว่านางมีอนาคตไกลยิ่งกว่านั้นนัก
ดังนั้นเขาจึงรั้งอยู่ในแดนมุกหยกไม่ยอมกลับแดนตน ด้วยต้องการจัดการธุระส่วนตัว และเป็นเพราะเขาประหลาดใจกับความสามารถของเด็กสาวผู้นี้อีกด้วย เขารู้ดีว่าหากต้องการเอาชนะใจนางย่อมต้องใช้ไหวพริบไม่ใช่กำลัง ไม่เช่นนั้นผลจะออกมาเป็นตรงกันข้าม
สีหน้าโหลวจวินเหยาดูลึกล้ำขึ้น ริมฝีปากยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มหนึ่ง “เช่นนั้นก็ดี ในใต้กล้านี้ คนมีเมตตามักอายุไม่ยืน”
ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้น ประหลาดใจกับคำตอบของอีกฝ่ายเล็กน้อย ทันใดนั้นนัยน์ตานางก็ส่องประกายซุกซนออกมา “จากที่ท่านพูด ข้าเข้าใจว่าสาเหตุที่คนบนแดนเมฆาสวรรค์มีอายุยืนยาวหลายร้อยปีหรือกระทั้งหลายพันปีเป็นเพราะพวกท่านต่างก็มีจิตใจชั่วร้าย ทำตัวไร้ยางอาย แบบนั้นใช่หรือไม่?”
โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ต่อมาก็หัวเราะเสียงเบา “จะว่าเช่นนั้นก็ได้”
ชิงอวี่พลันบิดสีหน้าเป็นดูถูก เดินนำหน้าเขาไปไกลแล้วเอ่ยออกมาเสียงเบาว่า “น่ากลัวแท้ ต่อจากนี้ข้าอยู่ให้ห่างจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นวันหนึ่งอาจจะติดกับท่านเอา”
“…..” จิ้งจอกน้อยผู้นี้บางครั้งก็ยั่วโมโหคนเก่งเหลือเกิน
ในขณะที่คนทั้งสองกำลังเย้าแหย่กันอยู่นั่นเอง ก็พลันได้ยินเสียงดังขึ้นจากเบื้องหน้า เป็นน้ำเสียงที่ดูแก่ชราอยู่ไม่น้อยดังมาจากที่ไกล “พวกท่านเดินทางมาไกล ขออภัยที่มาต้อนรับช้า แต่สถานที่นี้คือที่อยู่ของเผ่าวิญญาณ ไม่เหมาะให้สิ่งมีชีวิตรั้งอยู่นานนัก”
“หยุดเล่นตลกแล้วเผยตัวออกมาได้แล้ว” ชายหนุ่มชุดเทาพ่นลมออกจากจมูกคราหนึ่งก่อนกล่าวเสียงหยัน เขากวาดสายตามองซ้ายขวา ประหลาดใจนักที่ไม่พบเจ้าของเสียงชรานั่น
ไป๋จือเยี่ยนหันมองทางเขาคล้ายกับสงสัยว่าเกิดอันใดขึ้น ชายหนุ่มชุดเทาเพียงแต่ส่ายหน้า ยังคงความประหลาดใจไว้ไม่คลาย
“ชายชราเช่นข้าคุ้มกันที่นี่มาเป็นเวลามากกว่าสี่สิบปี เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนเช่นพวกท่าน ขออภัยที่ข้าไร้มารยาท” เขาเอ่ยออกมาช้า ๆ เป็นชายชราผู้หนึ่งสวมชุดเก่าขาดรุ่งริ่งค่อย ๆ เผยกายออกมา
เขาคือคนแคระตัวเตี้ยมากคนหนึ่ง สูงเท่ากับครึ่งหนึ่งของมนุษย์ที่โตเต็มวัยแล้ว หากไม่ใช่เพราะทั้งผมและหนวดเป็นสีขาวโพลน มองผ่าน ๆ ก็คงคิดว่าเป็นเด็กคนหนึ่ง รอบกายเขามีหมอกดำจาง ๆ ล่องลอยอยู่ แผ่กลิ่นอายน่าขวัญผวาออกมา
“ท่านคือท่านหมอผีที่เฝ้าที่นี่อยู่งั้นหรือ?” ไป๋จือเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านจับคนของเราไปเพื่ออะไร?” แม้คนแคระจะตัวเตี้ยและดูไม่โดดเด่นมากมายนัก แต่ก็มีกลิ่นอายทรงพลัง คล้ายกับเป็นหมอผีมากฝีมือผู้หนึ่ง
ได้ยินดังนั้นชายชราก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า เพียงแต่เลื่อนสายตามามองยังชิงอวี่ “จับหรือ? ไม่ใช่เช่นนั้นเลย ข้าเพียงพยายามจะช่วยเหลือแม่ตุ๊กตาน้อยทั้งสองก็เท่านั้น”
เขามองการปลอมตัวของพวกนางออกในแวบเดียว นับว่ามีสายตาเฉียบคมไม่น้อยเลย
“ทุกครั้งที่ยามราตรีมาถึง วิญญาณร้ายจะคืบคลานขึ้นมาจากเบื้องล่าง ขึ้นมาฆ่าสังหารผู้คน พวกท่านคงได้เห็นภาพนั้นแล้ว และหากข้าไม่นำตัวแม่นางทั้งสองออกมาแล้วละก็ เกรงว่าพวกนางอาจจะเป็นอันตรายได้”
“เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงอยากช่วยพวกเรา?” ชิงอวี่ถามด้วยความสงสัย
โรงเตี๊ยมหลังมรณามีคนอยู่ตั้งมาก แล้วทำไมชายชราจึงช่วยเหลือเพียงพวกนาง? เป็นจุดที่น่าสงสัยยิ่งนัก
ชายชราพลันคลี่ยิ้มใจดีออกมา “เพราะในสถานที่นั้น คนอื่น ๆ คือคนที่ตายไปแล้วทั้งสิ้น”
เป็นคนที่ตายไปแล้วทั้งหมดเลยหรือ…..?
คำที่เอ่ยออกมาเสียงเรียบเรื่อยเช่นนั้นกลับทำหุ้คนทุกคนชะงักค้างไป
ว่าอย่างไรนะ?
หมายความว่าคนทุกคนในโรงเตี๊ยมหลังมรณาไม่ใช่คนเป็นหรือ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!?
ชายชราเห็นสีหน้ากังขาของทุกคนแล้วจึงเอ่ยขึ้น “แม้จะยังคงรูปลักษณ์เฉกเช่นมนุษย์เอาไว้ได้ แต่คนเหล่านั้นก็กลายเป็นคนที่ใกล้จะสิ้นลมในอีกไม่ช้า เป็นเพราะโรงเตี๊ยมหลังมรณานั้นสร้างขึ้นมาบนสถานที่ที่เคยเป็นหลุมฝังศพขนาดใหญ่เมื่อหลายปีก่อนหน้า เบื้องล่างมีร่างและซากศพนับไม่ถ้วนถูกกลบฝัง เดิมทีไม่ควรจะส่งผลอันใด แต่ด้วยผู้คนในโรงเตี๊ยมหลังมรณาสร้างความโกลาหลมากเกินควร กลิ่นอายชั่วร้ายที่สะสมมาเป็นเวลานานจึงถูกดูดเข้าซากศพเบื้องล่าง ก่อให้เกิดเป็นวิญญาณชั่วร้ายขึ้นมา แย่งชิงกันดูดซับไอชั่วร้ายจากความโลภและโลกีย์ทั้งหลายเพื่อตนจะได้แข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นผู้คนที่อยู่ที่นั่นเป็นเพียงร่างไร้จิตใจที่ฝังตนอยู่ในสรวงสวรรค์ในสายตาตนก็เพียงเท่านั้น”
บรรยากาศเงียบขรึมขึ้นในพลัน
มิน่าผู้คนที่นั่นจึงดูแปลกประหลาดนัก สีหน้าผิดปกติ เป็นเพราะสูญสิ้นจิตใจไปแล้วนั่นเอง
ไป๋จือเยี่ยนส่ายหน้าถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าเด็กนั่นมีหัวด้านการค้าไม่น้อย แต่กลับไร้จริยธรรมและคุณธรรมไปมาก ครั้งนี้ทำร้ายผู้คนไปมากมาย กลับไปข้าต้องจัดการให้เขาปิดตัวโรงเตี๊ยมเพื่อให้เหล่าวิญญาณทั้งหลายได้พักผ่อนอย่างสงบเสียที จะได้ไม่ขึ้นมาหลอกหลอนผู้คนอีก”
“ผู้อาวุโส ที่ข้าเดินทางมาที่นี่ครั้งนี้เป็นเพราะข้า…..” มู่ไหลคิดจะบอกแรงจูงใจที่ทำให้นางเดินทางมาถึงที่นี่ออกไป แต่ชายชรากลับคลี่ยิ้มแล้วยกมือขึ้นเป็นเครื่องหมายให้นางหยุดพูด จากนั้นมือเหี่ยวย่นก็ค่อย ๆ หยิบยาขนาดเท่าเล็บมือหนึ่งออกมา
“นี่คือยารวมแก่นพลังที่ปรุงจากแก่นวิญญาณของเผ่าวิญญาณ ข้าว่าคงเป็นประโยชน์กับเจ้า”
มู่ไหลจ้องเขาด้วยนัยน์ตาเบิกกว้าง นางรับยาเม็ดนั้นมาด้วยความระมัดระวัง จากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจ “ขอบพระคุณผู้อาวุโส”
“ไม่จำเป็นหรอก เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก พวกเจ้าทั้งหมดรีบจากไปเสียดีกว่า!”
“ดูเหมือนท่านจะไม่อยากให้เรารั้งรออยู่ที่นี่นานนัก” โหลวจวินเหยาเอ่ย ริมฝีปากคลี่ยิ้มขบขัน นัยน์ตาสีม่วงจับจ้องที่ร่างเตี้ยของชายชราอย่างล้ำลึก
“คนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน เพราะอาจถูกกลิ่นอายวิญญาณทำให้แปดเปื้อนจนล้มป่วยได้ อีกทั้งอาการป่วยเช่นนั้นยังไร้ยารักษา” ชายชราอธิบาย
“ท่านจะบอกว่าท่านตายแล้วงั้นหรือ?” โหลวจวินเหยาเอ่ยถามต่อ
“หมอผีทุกคนก็เป็นคนที่ตายไปแล้วทั้งนั้น ไม่เช่นนั้นจะควบคุมวิญญาณร้ายนับพันได้อย่างไร”
ชายชราถอนหายใจยาวก่อนจะหมุนตัวกลับไป หมอกมืดที่ลอยคลุ้งอยู่รอบกายเขาก็ลอยตามเขาไปด้วย เมื่อมองดูดี ๆ แล้ว เบื้องล่างชุดคลุมเนื้อหยาบนั่นไร้ซึ่งขา ตั้งแต่ที่เขาปรากฏกายเขาก็ลอยตัวอยู่เช่นนั้นตลอด
ชิงอวี่พลันเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา “ท่านเป็นใคร?”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด นางจึงรู้สึกว่าสายตายามชายชรามองมาทางนางนั้นเต็มไปด้วยความรักและอ่อนโยนเป็นยิ่งนัก ราวกับกำลังมองเห็นผู้อื่นผ่านตัวนาง
“ข้าคือคนที่เต็มไปด้วยความผิดบาปและใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิด” น้ำเสียงชราและร่วงโรยพลันดังแว่วมาจากไกล ๆ กระเพื่อมเป็นคลื่น “แต่ตอนนี้ข้าหมดสิ้นซึ่งความเสียใจใดๆ อีกต่อไป พริบตาเดียวเวลาหลายปีก็ผ่านพ้นไป เสี่ยวชิงของชิงเอ๋อร์ก็เติบโตขึ้นมากแล้ว”
ลูกตาดำชิงอวี่พลันขยายใหญ่ นางรีบเอ่ยถามขึ้น “ท่านว่าอย่างไร? ท่านรู้จักข้าหรือ!?”
ชายชรารู้จักนางเป็นแน่ อีกทั้งยังรู้ด้วยว่านางแซ่ชิง
เสี่ยวชิงของชิงเอ๋อร์…..
นางเป็นเสี่ยวชิง เช่นนั้นชิงเอ๋อร์….. จะต้องเป็นท่านแม่ของนางแน่!