สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 113 ฝันถึงชาติก่อน
เขามักจะแหวกว่ายอยู่ในห้วงฝัน ด้วยความฝันเหล่านั้นเป็นอดีตที่เขาเฝ้าคะนึงหามาโดยตลอด
เป็นเด็กสาวที่มีนัยน์ตายิ้มคนหนึ่ง นัยน์ตาที่คล้ายกับจะสามารถเอาชนะความเศร้าความกังวลทั้งหลายได้
และนางก็จะเอ่ยเสียงหวานเรียกเขาออกมาว่า “เสี่ยวเยี่ย”
แม้นางจะถูกสั่งห้ามไม่ให้สนิทสนมกับเขาที่มีฐานะต่ำต้อย ในค่ำคืนคิมหันต์ฤดูยามที่ทุกคนหลับใหล ประตูเรือนของเขาจะถูกผลักเปิดออกเงียบ ๆ เสมอ
จากนั้นร่างเพรียวของเด็กสาวผู้หนึ่งก็จะแอบเข้ามาด้านใน กระโจนขึ้นมาบนเตียงเขาอย่างฉับพลัน ยามที่มือเย็นเฉียบสองข้างซุกเข้ามาให้ผ้าห่มอุ่น เขาก็จะตื่น ส่วนนางก็ทำเพียงจ้องเขาด้วยนัยน์ตางามใสซื่อ ท่าทางบอบบางน่าสงสารนัก
แล้วนางก็จะเอ่ยเสียงน่ารักออกมาเบา ๆ “เสี่ยวเยี่ย ข้าหนาว”
เขาไม่อยากให้นางถูกลงโทษเพราะเขา ดังนั้นจึงมีท่าทีเย็นชาเหินห่างกับนางตลอด คอยย้ำเตือนนางเสมอว่าบุรุษและสตรีไม่ควรใกล้ชิดกันเกินไปเพื่อไม่ให้เกิดคำครหาได้
ในตอนนั้น พวกเขาเพิ่งจะมีอายุได้สิบสองสิบสามปี เป็นช่วงวัยกำลังซนนัก เขามักจะเป็นผู้ใหญ่และมีความมั่นคงทางจิตใจมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ที่มีอายุเท่ากัน ส่วนนางเป็นเด็กสาวร่าเริงซุกซน เป็นเหมือนองค์หญิงตัวน้อยก็มิปาน
ในฐานะที่นางเป็นผู้สืบทอดสายเลือดตรงจากตระกูล ทั้งยังมีความสามารถ ความเฉลียวฉลาด และความเข้าใจสูงส่ง ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสและผู้ใหญ่จึงชื่นชอบนางเป็นอย่างมาก ปฏิบัติกับนางราวกับเป็นองค์หญิงน้อย
แต่องค์หญิงน้อยผู้นี้แตกต่างจากใครอื่น นางสดใสร่าเริง แต่กลับไร้สหายสนิท คนที่นางใกล้ชิดด้วยมากที่สุดคือคนที่นางเจอท่ามกลางวันหิมะโปรยและพากลับมาเท่านั้น แล้วนางชื่นชอบเขามากเพียงไหนน่ะหรือl? นางไม่เพียงมอบชื่อให้เขา แต่ยังมอบแซ่เดียวกันกับนางให้เขาใช้อีกด้วย
เรื่องเช่นนั้นนับเป็นเกียรติอันสูงส่งมากเท่าไร? ผู้คนต่างกล่าวว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ ชาติก่อนทำคุณงามความดีไปมากเท่าไรจึงมีโชคดีเช่นนี้ สามารถเป็นที่ชื่นชอบขององค์หญิงน้อยได้
มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นนางที่เป็นฝ่ายทำตัวติดกับเขาตลอด
ตั้งแต่เกิดมานางก็ไร้บิดามารดา
ได้ยินมาว่าบิดาของนางถูกหักหลังขณะออกทำภารกิจ สุดท้ายก็ถูกลอบสังหาร เขาเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อเปิดทางหนีให้คนอื่น ๆ สุดท้ายก็สิ้นใจตายเพราะบาดแผลสาหัสเกินไป
มารดาของนางใกล้คลอดเต็มที เมื่อได้ยินข่าวก็สลบไป และเพราะความโศกเศร้าเป็นเหตุ นางจึงตลอดก่อนเวลา อาจเพราะความเศร้าในใจที่ต้องสูญเสียคนรักจึงต้องเจ็บปวดทรมานจากการคลอดยาวนานทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ คลอดเด็กคนหนึ่งออกมาจนได้ นางหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงใด สิ้นใจไปในที่สุด
ดังนั้นผู้ที่เลี้ยงดูนางมาจึงเป็นท่านปู่
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แม้นางจะมีอดีตที่ขื่นขม แต่กลับเติบโตมาอย่างร่าเริงแจ่มใสนัก ตอนนางเกิดออกมานางไม่ได้ร้องไห้ หากแต่เป็นหัวเราะ เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน เป็นเด็กทารกที่ลืมตาดูโลกแล้วก็เผยเสียงหัวเราะให้ผู้อื่นได้ยิน
เขาเคยถามนางว่าเหตุใดจึงยิ้มแย้มอยู่ตลอด ไม่เหนื่อยบ้างหรือ?
สีหน้านางแข็งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาหวิวออกมา “เหนื่อย แต่จะทำอย่างไรได้? คนอื่น ๆ ยังมีท่านพ่อท่านแม่คอยปกป้อง แต่ข้ามีแต่ต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น”
“หากข้าไม่แกร่ง ไม่โดดเด่นเหนือคนอื่น ๆ แล้ว ข้าก็ไม่อาจดึงความสนใจจากใครได้ เด็กหญิงกำพร้าที่ไร้ที่พึ่งพิง ในตระกูลใหญ่ที่เต็มไปด้วยเล่ห์กลลวงทั้งหลาย หากไม่แข็งแกร่งล่ะก็ แม้แต่กระดูกข้าก็คงไม่เหลือแล้วกระมัง”
นางเจ็บปวดเป็น ร้องไห้เป็น แต่ถึงนางจะทำเช่นนั้นไปก็ไม่มีใครเห็นใจสงสารนาง
ดังนั้นต่อหน้าชายที่ภายในใจมีความคิดชั่วร้าย ต่อหน้าชิงเทียนหลินที่ในใจมีความทะเยอทะยานไม่สิ้นสุด เพียงเขาทำดีกับนางให้มากสักหน่อยก็สามารถทำให้นางลดความระวังภัยลงได้ อีกทั้งชิงเทียนหลินเป็นพี่ชายของนางที่คอยเอาใจใส่และเอาใจนางทุกประการ ทำให้นางไม่คิดระแวดระวังยามอยู่กับเขาแม้แต่นิด
สุดท้ายเมื่อนางได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของชิงเทียนหลิน นางก็เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ กลายเป็นคนไม่แยแสกับสิ่งใด ก่อนหน้านี้นางมักจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอยู่เสมอ ตอนนี้กลับกลายเป็นสวมหน้ากากไว้บนหน้าตลอด ทำให้ไม่อาจล่วงรู้ถึงอารมณ์ที่แท้จริงของนางได้
นับจากนั้นมา นางก็ทั้งเย็นชาและดุร้าย ทั้งไร้อารมณ์และไร้ความเมตตา จิตใจแข็งแกร่งขึ้นจนไม่อาจไว้ใจผู้ใดได้อีก
ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับชิงเยี่ยหลีเองก็พลอยเหินห่างไปด้วยเช่นดัน ราวกับนางไม่อยากเชื่อใจใครอีก เกรงว่าจะเป็นตนเองที่เป็นฝ่ายเจ็บปวดอีกครา
แต่เรื่องนั้นเขาไม่ใส่ใจ ครั้งนี้จะเป็นเขาที่คอยอยู่ปกป้องเคียงข้างนาง ไม่ให้ใครมาทำร้ายนางได้
จากนั้นภาพตรงหน้าก็ผันเปลี่ยน จากเด็กสาวอายุราวสิบขวบกลายเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์เย้ายวน นางหันกายมาช้า ๆ ส่งยิ้มบางให้เขา หากแต่ที่มุมปากกลับมีเลือดสายหนึ่งหลั่งไหลออกมา ทำให้ภาพที่เขามองเห็นเต็มไปด้วยสีแดงฉาน
ก่อนร่างของนางจะล้มลงกับพื้น เขาก็คว้าร่างนางไว้ในอ้อมกอด ตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ เขาไม่เคยรู้สึกเกรงกลัวเช่นนี้มาก่อน รอยยิ้มบางของนางเมื่อครู่คล้ายกับจะเป็นยิ้มลาจากกันครั้งสุดท้าย
“ข้าเหนื่อยเหลือเกิน…..” น้ำเสียงนางเบาหวิวราวกับสายลมที่พัดผ่านพามันห่างไกลออกไป แต่ในใจเขากลับได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน
“อย่าพูดอีกเลย ข้าจะไปหาคนมาช่วยเจ้า เจ้าไม่ต้องกลัว เจ้าจะต้องไม่เป็นไร…..” เขาไม่รู้ว่าในตอนนั้นเขาเอ่ยคำหลากคำเช่นนั้นออกไปได้อย่างไร เป็นครั้งแรกที่ชายพูดน้อยอย่างเขามีแววตาแตกตื่นถึงเพียงนั้น
นิ้วเรียวยาวปาดเลือดที่ไหลออกจากมุมปากนางไม่หยุด แต่ยิ่งปาดออกมันก็ยิ่งไหลออกมา ทั่วทั้งมือเขาชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ทั้งเสื้อผ้าบนตัวก็เปรอะโลหิตไปทั่วเช่นกัน
“บัดซบ! เหตุใดจึงไม่หยุดไหล!? เพราะเหตุใด…..” นัยน์ตาตื่นตระหนกของชายหนุ่มแดงก่ำ เขาทำอะไรไม่ถูก “หยุดไหลสักทีเถอะ ข้าขอ ข้าต้องทำอย่างไรจึงจะช่วยเจ้าได้…..”
“เสี่ยวเยี่ย…..” นิ้วเยียบเย็นของนางแตะที่ใบหน้าด้านข้าง ดูคล้ายกับจะเสียใจอยู่เล็กน้อย “เด็กโง่ เจ้าร้องไห้ทำไมกัน? เป็นบุรุษย่อมไม่เสียน้ำตากับสิ่งใดโดยง่าย”
น้ำตาอุ่นร้อนหยดหนึ่งหยดลงบนคอระหง
แต่นางไม่คิดว่าเขาสูญเสียความเยือกเย็นที่เคยมีเพราะนางไปได้ กระทั่งเสียน้ำตาเพื่อนางเช่นนี้
ไม่คิดว่าชายหนุ่มที่ยิ้มไม่เป็นจะยังร้องไห้เป็น
“เสี่ยวเยี่ย ข้าพลันรู้สึกเสียใจที่นำเจ้ากลับมา” นางเอ่ยแล้วจ้องลึกไปในดวงตาเขา สิ้นคำนาง ใบหน้าชายหนุ่มก็ชะงักค้างไป
“หากไม่พาเจ้ากลับมา ตอนนี้เจ้าอาจจะใช้ชีวิตไร้กังวลไปแล้ว นับตั้งแต่ที่เจ้าติดตามข้างกายข้า เจ้าก็ต้องทนทุกข์มาโดยตลอด หลังจากข้าตายไป ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะทำอะไรเจ้าบ้าง ข้าอดห่วงเจ้าไม่ได้…..”
เขาพลันคำรามออกมาคล้ายอสูรที่ถูกกักขังในกรง “เจ้าจะต้องไม่ตาย! เจ้าจะตายไม่ได้!”
“แม้จะอยู่ในนรกข้าก็จะตามเจ้าไป! ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ข้าจะตามหาเจ้าจนเจอ!” เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนแน่นราวกับกำลังจะสิ้นสติไป “เจ้าบอกว่าเจ้าจะไม่มีวันทอดทิ้งข้า โกหก! คนโกหก!”
“สัญญากับข้าว่าเจ้า….. จะใช้ชีวิตให้ดี”
“ข้าไม่ต้องการ!”
เบื้องหลังผ้าม่านหลากหลายชั้นชายหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง ผิวพรรณงดงามโผล่พ้นชายเสื้อที่หลุดลุ่ย
บนเตียง นัยน์ตาสีเขียวเข้มที่คล้ายกับนัยน์ตาสัตว์ร้ายยังคงไม่แจ่มชัดนักเนื่องจากเพิ่งตื่นนอน เมื่อเมฆหมอกในนัยน์ตาพลันเลือนหาย นัยน์ตาคู่นั้นก็เปล่งความเยียบเย็นที่เสียดแทงลึกถึงกระดูกดำ
ตั้งแต่ที่เขาพบชิงอวี่ ฝันร้ายเหล่านี้ก็ไม่ตามมาหลอกหลอนเขาอีก หากแต่วันนี้…..
อีกทั้งมันยังเป็นความฝันเดิม หรือจะเป็นลางบอกเหตุบางอย่าง?
เท้าทั้งสองข้างเปลือยเปล่า เขาสวมเพียงชุดคลุมด้านในตัวบางสีดำเท่านั้น เขาก้าวเท้าลงสัมผัสพื้นเย็นเฉียบ เรือนผมสีเงินตัดกับชุดคลุมสีดำอย่างสิ้นเชิง ดูเป็นภาพงดงามราวภาพวาด
นัยน์ตาไร้อารมณ์ของเขาจดจ้องไปที่ต้นไม้สูงด้านนอก ใบมากมายถูกลดพัดปลิดปลิวออกจากกิ่ง ออกสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว
ฤดูนี้เองที่เขาจะได้กลับไปพบเด็กน้อยของเขาอีกครา ต่อไปนี้จะไม่แยกจากกันอีก
หากแต่ความฝันที่มาโดยฉับพลันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นอีกครา กำลังจะมีเรื่องอันใดที่เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของเสี่ยวอวี่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?
ภาพใบไม้ร่วงหล่นก็คล้ายกับคนชราใกล้ฝั่ง เหลือชีวิตให้ใช้อีกไม่นาน ใบไม้ที่ร่วงหล่นกลับคืนสู่ผืนดิน รอเกิดใหม่ในปีถัดไป
นัยน์ตาอสูรสีเขียวเข้มพลันส่องประกายวาบ กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างพลันก่อเกิดเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ใบไม้ที่กำลังร่วงหล่นยังไม่ทันร่วงสู่พื้นก็พลันถูกบรรยากาศหนาวเย็นกัดกินจนแข็งตัวในพริบตา แสงอาทิตย์ส่องกระทบมัน ก่อเกิดเป็นประกายหลากสี นับเป็นภาพงดงามจับตา
พริบตาต่อมา พวกมันก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ กลายเป็นเศษน้ำแข็งฝอยที่ลอยหายไปในอากาศ
ชีวิตใหม่…..
เขาจะไม่ยอมให้คนผู้นั้นได้มีโอกาสมีชีวิตใหม่เด็ดขาด
ที่อีกด้านหนึ่ง…..
เป็นเพราะมีเบื้องหลังแปลกประหลาด เมื่อไรที่โหลวจวินเหยาบาดเจ็บก็จะหายได้ยากนัก ดังนั้นคนรอบข้างจึงพยายามดูแลเขาเป็นอย่างดี กระทั่งรอยขีดข่วนเล็กน้อยก็ไม่ให้มี แม้เขาทำท่าจะเผลอชนบางอย่าง ก็จะมีคนพร้อมรับแรงปะทะแทนเขาอยู่ทุกเมื่อ คงพอเห็นภาพได้ว่าคนเหล่านี้นับถือบูชาเขาและไม่ยอมให้ร่างกายอันล้ำค่าของชายหนุ่มมีรอยขีดข่วนแม้เพียงเล็กน้อยมากเพียงไร
หลังขึ้นมาจากใต้พิภพได้ แม้บาดแผลนั้นจะเล็กและได้รับการดูแลจากไป๋จือเยี่ยนแล้ว แต่เขาก็ยังจับไข้สูงทั้งคืน จนกระทั่งกลางวันวันถัดมาไข้จึงจะลดลงบ้าง
ไป๋จือเยี่ยนเห็นดังนั้นก็แตกตื่นเป็นกังวลจนนอนไม่หลับทั้งคืน เกรงว่าอีกฝ่ายจะเป็นอะไรไป ดังนั้นจึงเฝ้าไข้อีกฝ่ายอยู่ตลอดไม่ไปไหน กระทั่งลูกน้องมาเปลี่ยนเวรเฝ้าไข้โหลวจวินเหยาก็ยังไม่ยอมกลับไปนอนห้องตนเอง
ไป๋จือเยี่ยนนั้นกังวลกับอาการโหลวจวินเหยาจนไม่ทันสังเกตเห็นสายตาสับสนและเป็นกังวลของชายหนุ่มชุดเทาที่มองมาแม้แต่น้อย สายตาของชายหนุ่มชุดเทาทำทีท่าเหมือนจะสรุปบางอย่างในใจได้
เจ้าไป๋จือเยี่ยนผู้นี้จะต้องมีใจให้นายท่านเป็นแน่ อีกทั้งยังเป็นความรู้สึกที่ล้ำลึกไม่เบา!
หลังจากไข้ลดลงแล้ว ชายหนุ่มบนเตียงก็ยังดูอ่อนแออยู่มาก ไป๋จือเยี่ยนจึงเอ่ยขึ้นพร้อมใบหน้าตึงเครียด “ฟังข้าให้ดี ต่อไปนี้ไม่ว่าเรื่องใดที่เกี่ยวกับแม่นางน้อย เจ้าห้ามยุ่งเกี่ยวอีก! ได้ยินหรือไม่? นางเคยช่วยชีวิตเจ้า แต่เจ้าช่วยเหลือนางอย่างลับ ๆ ไปกี่ครั้งแล้ว? ข้าคิดว่านางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้ามานอนจับไข้อยู่แบบนี้ แล้วเจ้าคิดว่านางจะรู้สึกผิดต่อเจ้าได้หรือ?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วไม่พอใจเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยเสียงเรียบเรื่อย “ก็แค่ไข้ขึ้น เจ้าจะต้องตื่นตกใจถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
“เจ้าว่าก็แค่ไข้ขึ้นงั้นหรือ?!” นัยน์ตาดอกท้อของไป๋จือเยี่ยนเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธใกล้ปะทุเต็มทน “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าเกือบตายเพราะไข้ขึ้นสูงไปแล้ว? หากไม่ใช่เพราะข้าคอยเฝ้าไข้เจ้าอยู่ตลอด เจ้าคิดว่าไข้จะลดหรือ? เจ้าลืมครั้งที่เผลอทำสิ่งใดบาดนิ้วแล้วสุดท้ายเลือดเจ้าก็ท่วมเรือนไปแล้วหรือไร?! ยังกล้ามาบอกว่าก็แค่ไข้ขึ้นอีก!? รู้หรือไม่ว่าก็แค่ไข้นี่ล่ะที่สังหารเจ้าได้?”
มองก็รู้ได้ว่าชายหนุ่มโกรธจัดถึงเพียงไหน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแดงก่ำไปหมดด้วยความโกรธเกรี้ยว
โหลวจวินเหยาพลันถอนหายใจออกมา มองอีกฝ่ายที่บ่นออกมาติดต่อกันแล้วก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย “คอแห้งหรือไม่?”
“หา?” ไป๋จือเยี่ยนดูชะงักไป
เขากำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่ เกี่ยวอะไรกับคอแห้งกัน?
โหลวจวินเหยาจึงอธิบาย “ข้าเกรงว่าเจ้าพูดมากเกินไปอาจจะเหนื่อยได้ คิดว่าคงต้องดื่มน้ำสักหน่อยก่อนจะพูดมากต่อ”
ไป๋จือเยี่ยน “…..” เขาอยากกระอักเลือดแล้วตายลงที่ตรงนี้เสียเหลือเกิน