สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 116 แปดปีศาจแดนสีเลือด
ในตอนที่ทุกคนกำลังมีอารมณ์พลุ่งพล่านอยู่นั่นเอง ภายในสำนักละอองหมอกที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังยอดเขาคดเคี้ยวนับไม่ถ้วน ที่เบื้องล่างของน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลอย่างรุนแรงบ้าคลั่ง สายน้ำเชี่ยวนั้นเปรอะเปื้อนไปด้วยสีแดงเลือด
น้ำตกแห่งนี้ไหลแรงและทรงพลังยิ่งนัก กระทั่งมนุษย์ผู้ใหญ่หนักหลายร้อยกิโลยังถูกกระแสนำพัดไปได้ในพริบตา การที่สายน้ำเปื้อนสีเลือดเป็นวงกว้างเช่นนี้แสดงว่าต้องมีเลือดไหลลงสู่น้ำจำนวนมากเป็นแน่
แม้ทางเข้าจะอยู่เพียงเบื้องหลังน้ำตกแห่งนั้น แต่มันคล้ายกับซ่อนอีกโลกหนึ่งไว้ด้านใน แม้จะมีใครเดินทางมาจนถึงจุดนี้ก็ยังไม่อาจเดินทางเข้าไปได้
ศิษย์มีฝีมือหลายสิบคนกำลังเฝ้าอยู่หน้าประตูสำนัก หลายสิบปีที่ผ่านมาไร้เรื่องร้ายใด ด้วยไม่มีใครมีความกล้ามากพอจะมีเรื่องกับสำนักละอองหมอก ดังนั้นพวกเขาจึงลดความระแวดระวังลง ไม่คาดคิดว่าจะถูกโจมตีในวันนี้
ตอนนั้นศิษย์กว่าครึ่งถูกสังหารไปแล้ว ระยะเวลาหลายสิบปีที่เฝ้าประตูอย่างเกียจคร้านส่งผลให้ความสามารถในการป้องกันตนถดถอยลงเป็นอย่างมาก
“จุ๊ๆ นี่น่ะหรือคือฝีมือของสำนักแนวหน้า เป็นสามสำนักใหญ่ในคำร่ำลือ? มีแต่พวกไร้ค่าไร้ประโยชน์” น้ำเสียงหนึ่งฟังดูเย่อหยิ่งเป็นยิ่งนักดังขึ้น มองไปแล้ว เห็นเงาร่างคนในชุดคลุมสีโลหิตเจ็ดถึงแปดคน พวกเขามีอายุราวยี่สิบสามสิบปี บนใบหน้าสักลายอสูรร้ายทั้งหลายไว้ทั่ว
คนกลุ่มนี้มีชื่อเสียงอื้อฉาวในยุทธภพมาก ไม่สังกัดอยู่สำนักหรือตระกูลใด แต่ผู้คนจำนวนมากยังต้องเกรงกลัว
ส่วนลวดลายบนใบหน้าก็ไม่ใช่วาดไว้เล่น ๆ แต่พวกเขาเกิดมาพร้อมกับรอยเหล่านั้นแล้ว ว่ากันว่ายามต่อสู้ คนกลุ่มนี้จะสามารถควบคุมอสูรวิญญาณที่สลักเป็นลวดลายบนใบหน้าตนเองได้ มีความสามารถประหลาด เก่งกาจด้านการสังหาร ย่างเท้าไปทิศใดย่อมเกิดเภทภัย ไม่มีใครคาดคิดว่าวันหนึ่งพวกเขาจะเดินทางมายังสำนักละอองหมอก
“ได้ยินว่าสำนักละอองหมอกมีสมบัติล้ำค่าหายากมากมาย อีกทั้งยังมีตำรายุทธ์ระดับสูงอยู่มาก หากพวกเราชิงเอามาได้ก็คงคุ้มค่าไม่น้อย” ชายหนุ่มที่มีรอยสักรูปแมงป่องเอ่ยขึ้นเสียงชั่วร้าย ใบหน้าระบายไปด้วยความโลภ
“ข้าสนใจแม่นางน้อยในสำนักมากกว่า ว่ากันว่าศิษย์หญิงแห่งสำนักละอองหมอกมีรูปโฉมงดงามนัก ทั้งแต่ละนางยังเป็นสาวบริสุทธิ์ไร้มลทิน!” ชายหนุ่มอีกคนที่มีลายสักงูยักษ์บนหน้าเอ่ยเสียงหื่นกระหาย เขาเกิดมาต้องใช้ชีวิตอยู่กับงู ดังนั้นจึงติดลักษณะนิสัยเช่นงูมาด้วย ชอบสถานที่มืดมิดและชื้นแฉะ อีกทั้งยังมีความต้องการทางเพศที่รุนแรง
ศิษย์เฝ้าประตูที่ยังหายใจเหลืออยู่เพียงสี่คนเท่านั้น เมื่อได้ยินถ้อยคำต่ำช้าจากอีกฝ่าย ในใจก็พลันมีความโกรธเกรี้ยวพุ่งสูงขึ้น คนที่หุนหันมากหน่อยก็อดพึมพำเสียงขุ่นออกมาไม่ได้ “น่ารังเกียจ ไร้ยางอาย!”
ชายหนุ่มพลันเก็บรอยยิ้ม นัยน์ตาสีดำสนิทพลันตวัดไปจ้องศิษย์ผู้นั้น เอ่ยน้ำเสียงสงบนิ่งไร้อารมณ์ออกมา “เจ้าว่าอีกทีสิ?”
ศิษย์เฝ้าประตูเงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างไม่ทันรู้สึกตัว พบว่านัยน์ตาอีกฝ่ายแปลกตานัก ลูกตาดำเป็นแนวตั้งลงมาคล้ายนัยน์ตางู ในตอนที่กำลังตกใจอยู่นั้นก็พลันเปล่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นกุมดวงตาไว้ เลือดสดสีแดงค่อย ๆ ไหลออกมาจากง่ามนิ้ว
จนกระทั่งเขาหมดเรี่ยวแรง ทิ้งมือทั้งสองข้างลง คนอื่น ๆ จึงเห็นว่ามีงูตัวจิ๋วสองตัวทะลวงออกมาจากดวงตาของเขา มันดึงลูกตาจนหลุดออกจากเบ้า
ไม่นานหลังจากนั้น รูจมูก รูหู กระทั่งปากก็มีงูตัวจิ๋วเลื้อยออกมา ร่างทั้งร่างของเขาพลันบวมเป่งขึ้นราวกับถูกสูบลม ก่อนจะเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นเมื่อเป่งจนถึงขีดสุด เลือดและชิ้นเนื้อกระเด็นไปทั่ว ส่วนในกองเลือดกองเนื้อที่เหลืออยู่ก็เห็นงูจำนวนมากกำลังเลื้อยพันกันไปมา
ศิษย์สามคนที่เหลือเห็นภาพนั้นแล้วก็อาเจียนออกมาทันที
เป็นภาพที่ชวนอาเจียนและน่าขนลุกไปพร้อม ๆ กัน
ชายผู้นั้นน่ากลัวอย่างน่าประหลาด เขาไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดเลย เพียงแต่เอ่ยถามเสียงเรียบและตวัดสายตามองสหายศิษย์เท่านั้น พริบตาต่อมาก็เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแล้ว
เมื่อเห็นว่าศิษย์เฝ้าประตูคนอื่น ๆ ยืนตัวสั่นคล้ายใบไม้ถูกลมแรงแล้ว ชายลายสักรูปงูก็หัวเราะออกมาแล้วเดินเข้าไปใกล้คนเหล่านั้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หากแต่สีหน้าดูอ่อนโยน “ทำไมทำเช่นนี้เล่า? พวกเจ้าเปิดทางเข้าให้ข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า ว่าอย่างไร?”
เขาเผยท่าทีเป็นมิตรออกมาราวกับเรื่องน่าขวัญผวาเมื่อครู่ไม่ใช่ฝีมือของเขา และแม้อีกฝ่ายบอกว่าจะยอมไว้ชีวิต จะมีใครรู้ได้ว่าเขาพูดความจริงหรือไม่
ชายที่อารมณ์ไม่มั่นคงเช่นนี้…..
ทว่ากฎสำนักละอองหมอกกล่าวไว้ว่าหากผู้ใดเผยทางเข้าสำนักให้คนนอก จะได้พบกับจุดจบไม่งามนัก ดังนั้นคนที่เหลือจึงทำใจแข็ง แม้จะเสี่ยงชีวิตแต่ก็ไม่ยอมเผยข้อมูล เป็นตอนนั้นเองที่เบื้องหน้าศิษย์ที่เหลือพลันปรากฏแสงสว่าง ก่อนที่คนทั้งสามจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผู้ที่มาแทนที่คือศิษย์สายหลักราวยี่สิบสามสิบคนในชุดสำนักสีขาว ฝีมือของพวกเขาย่อมเหนือกว่าศิษย์เฝ้าประตูมาก
ผู้ที่ยืนอยู่หน้าสุดดูท่าจะเป็นหัวหน้า และเมื่อเขาเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าก็ทะมึนลง จากนั้นหันมองเหล่าชายหนุ่มในชุดคลุมแดงก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างตกใจ “หรือพวกท่านจะเป็น….. แปดปีศาจแดนสีเลือด?”
“คนฉลาดมาแล้วหรือนี่” ชายลายสักงูผิวปากเสียงต่ำแล้วเอ่ยเยาะขึ้น “แต่ไม่ว่าพวกเจ้าจะมากันสักกี่คนก็มีแต่มาหาที่ตายทั้งสิ้น ทำตัวดี ๆ แล้วเปิดทางเข้าเสียเถอะ ข้ากับพี่น้องจะได้เข้าไปสนุกข้างใน และพวกเจ้าก็จะไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น พวกเราจำเป็นจะต้องยกดาบฟาดฟันกันด้วยหรือ? จะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไรกัน?”
กระทั่งน้ำเสียงเขายังเจือด้วยความเสียใจ คล้ายกับว่าตนไม่คิดอยากโจมตีอีกฝ่ายทำให้เกิดเรื่องหมองใจต่อกัน ทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านหลังอดหัวเราะเสียงแหบห้าวออกมาไม่ได้
คนผู้นี้อายุน้อยที่สุดในกลุ่มคนทั้งแปด เก่งกาจด้านฝีปากและชอบทำเช่นนี้นัก อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในคนที่มีไหวพริบมากที่สุดคนหนึ่ง
หัวหน้ากลุ่มศิษย์วงในรู้ดีว่าศัตรูตรงหน้าไม่ธรรมดา แต่ละคนรับมือยากเกินไป หากบุกโจมตีเข้าไปคงนับเป็นการกระทำที่โง่เขลา จำเป็นต้องเอาชนะด้วยสติปัญญา ดังนั้นจึงยกมือขึ้นทำท่าครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าไม่คิดว่าสำนักละอองหมอกเคยมีเรื่องบาดหมางกับพวกท่านมาก่อน อีกทั้งพวกท่านยังเดินทางมาไกลจากแดนโลหิต ห่างออกไปนับพันลี้ เหตุใดพวกท่านจึงเดินทางมาถึงที่นี่ ทั้งยังสังหารศิษย์สำนักละอองหมอกด้วย?”
แดนโลหิตตั้งอยู่ ณ สุดเขตแดนตะวันออก เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย มีอันตรายอยู่ทุกที่ ว่ากันว่าความยากไร้ในดินแดนหล่อหลอมให้ผู้คนที่นั่นมีนิสัยน่าสะพรึงกลัว อาจเรียกได้ว่าไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์ แต่เป็นเพียงกลุ่มโจรชั่วเลวทรามที่ทำตั้งแต่เรื่องอย่างเช่น ลอบวางเพลิง สังหารคน ปล้นชิงทรัพย์ ลักพาตัว และทำเรื่องชั่วได้ทุกอย่าง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงโจรชั่วชอบใช้กำลัง กลับกัน บางคนฉลาดล้ำเลิศ จิตใจได้รับการฝึกฝนจากสภาพความเป็นอยู่จนแข็งแกร่ง ทำให้มีวิชาไม่ธรรมดามากมายติดตัว
ผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนั้นแล้วรอดชีวิตมาได้มักจะเป็นคนที่น่ากลัวไม่น้อย
เป็นเพราะคนเหล่านั้นถูกกดดันให้ต้องแข็งแกร่งอย่างไร้เมตตา ดังนั้นผู้ที่ดำเนินรอยตามการบำเพ็ญตนตามปกติจึงไม่อาจเทียบกำลังของพวกเขาได้
และสิ่งที่ผู้คนร่ำลือกันถึงเรื่องดินแดนสุดเขตตะวันออกนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เป็นดินแดนไร้กฎหมายหรือเป็นผืนดินแห้งแล้งไม่อาจปลูกพืชใดให้งอกงาม แต่เป็นแปดปีศาจแดนสีเลือดที่มีชื่อเสียงโด่งดังต่างหาก
ว่ากันว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นครึ่งอสูร เกิดจากมนุษย์และอสูรร่วมกัน ดังนั้นไม่เพียงจะมีความฉลาดเฉกเช่นมนุษย์ ยังมีพละกำลังเช่นอสูรด้วย การตอบสนองว่องไว มีวิชาเอาตัวรอดมากมาย เกือบจะเป็นดั่งนักรบไร้พ่ายก็มิปาน
ดินแดนสุดเขตตะวันออกยังขึ้นชื่อเรื่องที่มีน้ำอัศจรรย์จากพืชชนิดหนึ่ง หากดื่มมันติดต่อกันเป็นเวลานานจะสามารถทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น สามารถรักษาบาดแผลได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
เล่าลือกันว่าแปดปีศาจแดนสีเลือดนั้นไม่กลัวคมดาบคมหอก เป็นอมตะ และไม่อาจมีอาวุธใดเฉือนผ่านผิวหนังพวกเขาได้ ลวดลายบนใบหน้าก็คืออสูรคู่ชีวิต สามารถเรียกออกมาใช้งานตามคำสั่งได้
คนที่สามารถเข้ามาในสำนักละอองหมอกย่อมต้องไม่ใช่คนธรรมดา แล้วจะมีหรือที่พวกเขาจะไม่เคยได้ยินชื่อแปดปีศาจแดนสีเลือดมาก่อน?
ดังนั้นเมื่อหัวหน้าเอ่ยออกมาเช่นนั้น แต่ละคนก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาในพลัน อีกฝ่ายเป็นแปดปีศาจแดนสีเลือด แล้วพวกเขาจะรอดชีวิตไปหรือไม่?
วันนี้พวกเขาคงจะโชคร้ายนัก!
ว่ากันว่าคนจากดินแดนสุดเขตตะวันออกอันโหดร้ายทารุณ แต่แปดปีศาจแดนสีเลือดนั้นโหดร้ายยิ่งกว่า แต่หากไม่มองลวดลายน่ากลัวที่กระจายอยู่เต็มใบหน้าแล้ว ก็ยังนับว่ามีหน้าตาหล่อเหลาอยู่บ้าง
เมื่อเห็นศิษย์สำนักละอองหมอกมีท่าทางสุภาพเช่นนี้ก็ทำให้ชายทั้งแปดคนพอใจอยู่เล็กน้อย ชายลายสักงูเอ่ยอธิบายขึ้น “ว่ากันว่าสำนักละอองหมอกเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนมุกหยก อยู่เหนือกว่าสำนักและตระกูลอื่นใด ดังนั้นพวกข้าที่มาจากแดนเถื่อนจึงคิดอยากมาเปิดหูเปิดตา สัมผัสว่าสำนักจะแข็งแกร่งถึงเพียงไหน ข้ากับพี่น้องท่องยุทธภพมาแล้วหลายปี ไม่เคยพบผู้ที่มีฝีมือทัดเทียมมาก่อน ดังนั้นจึงได้เดินทางมาขอคำชี้แนะถึงที่นี่สักคำสองคำ”
คำเหล่านี้ย่อมเป็นชายลายสักงูเอ่ยขึ้น เขามักมีวิธีเอ่ยคำเช่นนี้ ยามเลียนแบบคำพูดของเหล่าบัณฑิตก็ทำได้อย่างไร้ที่ติ ฟังดูมีความรู้ยิ่งนัก
เมื่อได้ยินว่าชายหนุ่มแทนตนว่าเป็นคนจากแดนเถื่อน มาที่นี่เพื่อมาขอคำชี้แนะแล้ว ชายหนุ่มก็ดูมีท่าทางแตกต่างจากท่าทีดุร้ายอย่างทุกทีมาก ช่างดูเป็นภาพที่น่าขันสิ้นดี ส่งผลให้คนอื่น ๆ ที่มองอยู่อดหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้
เจ้าคนผู้นี้เจ้าเล่ห์เกินไปจริง ๆ
กลุ่มศิษย์สำนักละอองหมอกต่างพากันไร้คำจะกล่าว คิดกับตนเองว่าหากไม่ได้เห็นอีกฝ่ายสังหารเพื่อนศิษย์ไปอย่างโหดร้ายด้วยตาตนเองก็คงจะเชื่อคำอีกฝ่ายไปแล้ว แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ กลุ่มชายชุดคลุมแดงคงจะมาที่นี่เพื่อท้าประลองเป็นแน่
เมื่อหัวหน้าศิษย์ได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พินิจพิเคราะห์อยู่ภายในครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นแบมือปะทะกำปั้น “พวกท่านช่วยรับฟังข้าสักหน่อยได้หรือไม่? อีกสามวันจะถึงการประลองภายในของสำนักละอองหมอก ศิษย์สำนักทุกคนจะทำการประลองกันเพื่อทำการคัดออก เฟ้นหาศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด 100 อันดับแรก ในเมื่อพวกท่านตั้งใจอยากแลกเปลี่ยนวิชาความรู้ของสำนักเรา เหตุใดไม่กลับมาในอีกสามวันให้หลัง ไม่เพียงจะได้ชมการประลองอันน่าตื่นเต้น แต่ยังสามารถท้าประลองศิษย์ฝีมือโดดเด่นและแลกวิชากันได้ด้วย เช่นนั้นไม่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายมากกว่าหรือ?”
ศิษย์ผู้นี้พูดจาหว่านล้อมเก่งกาจ ไม่เกลี้ยกล่อมหนักเกินไปและไม่ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ยามเผชิญหน้ากับศัตรูเช่นนี้ หากแต่ยังคงจิตใจกระจ่างเฉียบขาด เอ่ยวาจาสำรวมออกมาอย่างใจเย็น สภาวะอารมณ์มั่นคงเช่นนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ
ท่าทางของเขายังทำให้แปดปีศาจแดนสีเลือดมองเขาดีขึ้นไม่น้อย
“คำพูดของเจ้ามีอำนาจตัดสินใจมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ? ไม่ใช่ว่าสำนักละอองหมอกห้ามคนนอกย่างกรายเข้าไปงั้นหรือ?” ชายลายสักรูปงูเอ่ยด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“แขกผู้มีเกียรติเช่นพวกท่านอาจไม่รู้ แต่การประลองภายในไม่ได้จัดในสำนัก ดังนั้นพวกท่านไม่จำเป็นต้องกังขา หากพวกท่านเต็มใจเชื่อคำข้า อีกสามวันค่อยกลับมา กลับไปข้าจะนำคำไปบอกกับท่านเจ้าสำนักอย่างแน่นอน แปดปีศาจแดนสีเลือดเป็นจอมยุทธ์แข็งแกร่งที่ไม่ได้พบเห็นกันบ่อยนัก ข้าคิดว่าท่านเจ้าสำนักย่อมยินดีต้อนรับพวกท่านเป็นแน่” เขาหยุดเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “อย่างไรการได้รับเกียรติเป็นแขกของสำนักก็ย่อมดีกว่าการใช้กำลังบุกฝ่าเข้ามาไม่ใช่หรือ? ข้าเชื่อว่าพวกท่านต้องเห็นดีเห็นงามกับข้อเสนอของข้า”
แปดปีศาจแดนสีเลือดมองหน้ากัน ดูท่าจะเห็นด้วย
“เจ้านี่กล้าหาญไม่น้อย เช่นนั้นพี่น้องของข้ากับตัวข้าจะเชื่อคำพูดเจ้าสักครั้ง เจ้ากลับไปบอกเจ้าสำนักดังเช่นที่เจ้าเอ่ยกับข้าทุกคำ พวกข้าจะกลับมาเป็นแขกของเจ้าในอีกสามวันให้หลัง” ชายลายสักรูปงูเอ่ยพร้อมนัยน์ตายิ้ม จากนั้นก็หายตัวไปพร้อมกันคนอื่น ๆ ในพริบตา
ศิษย์ทั้งหลายยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก โชคดีที่อันตรายได้ผ่านพ้นไปแล้ว
“ศิษย์พี่ โชคดีที่ท่านอยู่ที่นี่ด้วย ไม่เช่นนั้นพวกข้าคงได้แต่ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แล้ว!”