สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 117 เสียงเพรียกจากเศษซากวิญญาณ
คนอื่น ๆ ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากแต่หัวคิ้วของหัวหน้าศิษย์กลับขมวดแน่น ไม่คลายลงแม้แต่น้อย
การประลองของสำนักต่าง ๆ ทุกครั้งจะจัดแข่งกันภายใน ไม่เคยเปิดให้คนนอกเข้าร่วมมาก่อน แต่เพื่อปกป้องชีวิตของสหายศิษย์คนอื่น ๆ เขาจึงไร้ทางเลือก ต้องกล่าวไปเช่นนั้น
แปดปีศาจแดนสีเลือด แค่คนเดียวยังสามารถรับมือกับพวกเขาทั้งหมดได้ ทั้งยังจับแขวนห้อยไว้ได้อีก
เมื่อเห็นว่าหัวหน้ามีสีหน้ากังวลยิ่ง ศิษย์ด้านข้างจึงถามขึ้น “ศิษย์พี่ ท่านก็ไล่คนพวกนั้นไปได้แล้วไม่ใช่หรือไร? ท่านยังต้องกังวลเรื่องใดอีก?”
“เจ้าคิดว่าพวกเขาไปแล้วเรื่องจะจบหรือ?” ชายหนุ่มเอ่ย พร้อมส่ายหน้าและถอนใจยาว “ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดกลุ่มคนประหลาดเหล่านั้นถึงกับดั้นด้นเดินทางมาไกลขนาดนี้ แต่ละคนก็มีพลังสูงส่งไม่น้อย ข้าเกรงว่างานประลองคงมีแต่ปัญหาไม่จบสิ้น สำนักละอองหมองเป็นสำนักระดับต้นในดินแดน หากพ่ายแพ้แก่คนกลุ่มเล็ก ๆ เช่นนี้จนข่าวแพร่ออกไป เรายังจะมีหน้ายืนอยู่ในแดนอีกหรือ!?”
สหายศิษย์คนอื่น ๆ คงจะประเมินสถานการณ์เพียงตรงหน้า ไม่ได้คิดถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดในอนาคต
การประลองครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการประลองภายในกับเหล่าศิษย์ด้วยกันอีกต่อไป แต่ครั้งนี้พวกเขาต้องร่วมแรงกันต้านศัตรูที่มาจากภายนอก
ดูท่าพวกเขาคงจะต้องเชิญพวกห้าอันดับแรกกลับมารั้งอยู่ที่สำนักเสียแล้ว…..
—————————————
ยามราตรีโรยตัว แมลงไม่ทราบนามส่งเสียงร้องแผ่วเบาขณะที่ซ่อนกายอยู่ในความมืด เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับค่ำคืนอันเปลี่ยวเหงา
ท่ามกลางทางเดินคดเคี้ยวรอบศาลาหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ เสียงน้ำหยดดังขึ้นให้ได้ยินเป็นระยะ ลมกลางคืนพัดผ่านผิวน้ำสงบนิ่ง บุปผางามไร้ชื่อเบ่งบานอย่างเงียบเชียบ แผ่กลีบดอกงดงามอวดโฉมตนไม่อายใคร
“ช่วยด้วย….. เจ็บยิ่งนัก…..”
ดูเหมือนจะเป็นเสียงร้องไห้แผ่วเบาของสตรีคนหนึ่ง น้ำเสียงนั้นร้องขึ้นเสียงเบาหวิว ทั้งยังเค้นออกมาด้วยความเจ็บปวด
โหลวจวินเหยาเพิ่งจะหลับไปได้ไม่นานยามได้ยินเสียงนี้เข้า เขาค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ นัยน์ตากระจ่างใสยิ่ง
มาจากที่ใด?
ดูเหมือนจะเป็นเสียงที่ดังมาจากที่ห่างไกลนัก ดังนั้นเมื่อดังมาถึงหูเขาจึงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
หรือเขาจะฝัน?
ไม่…..
เขาสงบจิตใจตนเองแล้วหลับตาลง ตั้งใจนอนฟังเสียงนั้นไปเงียบ ๆ หากแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นอีก เป็นตอนที่เขาคิดว่าตนคงคิดไปเองและกำลังจะยอมแพ้จึงได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง
“ข้าเจ็บปวดยิ่งนัก….. ช่วยข้า….. จวินเอ๋อร์….. ช่วยด้วย…..”
นัยน์ตาโหลวจวินเหยาพลันแข็งค้างไป ร่างสูงลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที
เสียงนี้….. กำลังเรียกหาเขา!
เป็นใครกัน…..
เขาสูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่ยังเล็ก ยามจำความได้ก็คิดวางแผนเรื่องแก้แค้นไว้นานแล้ว จากนั้นเขาก็ก่อตั้งแคว้นมารที่ทุกคนต่างเกรงกลัวและให้ความเคารพยำเกรงขึ้น ผู้คนต่างเรียกขานเขาว่าท่านจอมมารผู้ยิ่งใหญ่
นอกจากไป๋จือเยี่ยนที่เรียกเขาด้วยชื่อจริง เพราะเติบโตมาด้วยกันแล้ว ไม่มีใครในแคว้นมารกล้าเอ่ยนามของเขาโดยตรงมาก่อน ยิ่งเรียกเขาด้วยคำที่สนิทสนมเช่นนั้นยิ่งไม่มี
หากไม่ใช่ท่านแม่ เช่นนั้นก็คงจะเป็นได้เพียงคนผู้นั้น
สตรีจิตใจงามที่แสนอ่อนโยนที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม คนที่รักเขาดั่งลูกในไส้ตนเอง
สตรีที่มอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้เขาที่เกือบจะถูกมารครอบงำหลังจากฆ่าล้างแค้นตระกูลที่สังหารท่านพ่อและท่านแม่จนหยาดเลือดนองไปทั่ว นัยน์ตานางไร้แววหวาดกลัวหรือความรังเกียจใด มีเพียงความรู้สึกเจ็บปวดเพื่อเขาเท่านั้น
นับเป็นความอบอุ่นเสี้ยวเดียวที่เขาได้สัมผัสท่ามกลางโลกอันเย็นชาโหดร้ายที่เขาใช้ชีวิตอยู่ หากแต่นางก็ได้สิ้นสลายไปตลอดกาล วิญญาณแตกสลายไปตั้งแต่เมื่อหลายปีที่แล้ว
หลายปีมานี้เขาเดินทางข้ามผ่านมาหลายดินแดนเพื่อรวบรวมเศษเสี้ยววิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วของนางเพื่อชุบชีวิตให้นาง
เมื่อครู่….. ต้องเป็นเสียงนางเรียกเขาแน่!
โหลวจวินเหยาหลุบตาลงต่ำ ความง่วงเหงาสลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง ดินแดนระดับต่ำเช่นนี้มีเศษวิญญาณของนางอยู่ หมายความว่านาง….. คงจะเคยมาที่นี่เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่เป็นแน่!
ในเมื่อตอนนี้ไม่มีความรู้สึกง่วงแล้ว เขาจึงไม่ยอมปล่อยให้คนอื่นได้หลับอย่างสงบสุข เขาไม่ใส่ใจว่ากลางดึกเช่นนี้คนอื่นย่อมต้องการการพักผ่อน เดินไปปลุกคนอื่น ๆ ให้ตื่นจากฝันหวานในทันใด
สำหรับไป๋จือเยี่ยนก็ไม่ได้แย่เท่าไรนัก เขาเพียงหาวหวอดใหญ่ออกมา หน้าตาดูอ่อนล้าเล็กน้อย หากแต่ไม่นานก็ดูตื่นเต็มตามากขึ้น
แต่สำหรับชายหนุ่มชุดเทาที่วันหนึ่งต้องนอนหลับสิบชั่วยาม แม้จะถูกปลุกจนตื่นแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมลืมตา ร่างเขานั่งตัวตรง หากแต่หัวนั้นคล้ายไก่จิกข้าวที่ตกกับพื้น ผงกขึ้นลงไม่หยุด จนกระทั่งเผลอเอาคางกระแทกกับโต๊ะจึงตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ
“มีอะไร? มีเรื่องอะไร? เกิดอะไรขึ้น? มีมือสังหารลอบเข้ามาหรือ?” ชายหนุ่มชุดเทาเพ่งสายตาดูโดยรอบด้วยความระแวดระวัง
ไป๋จือเยี่ยนยกมือขึ้นถูใบหน้าหล่อเหลาของตนก่อนเอ่ยเสียงง่วงขึ้น “หากมีมือสังหาร เจ้าก็คงตายไปร้อยครั้งแล้ว”
“เช่นนั้นมีเรื่องใดสำคัญ?” ชายหนุ่มชุดเทาเอ่ยถามด้วยใบหน้าขรึม “นายท่าน สั่งมาได้เลยไม่ว่าสิ่งใด”
นัยน์ตาสีม่วงล้ำลึกของโหลวจวินเหยาดูลึกล้ำขึ้น “เรื่องนี้มีแต่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้”
เมื่ออีกฝ่ายพลันมอบภารกิจอันใหญ่หลวงให้เช่นนี้ ชายหนุ่มชุดเทาก็รู้สึกตื้นตันกับความใส่ใจที่นายท่านมีให้เขายิ่งนัก
นับตั้งแต่วันที่ได้มีโอกาสรับใช้ข้างกายนายท่าน เขาก็รู้สึกมาโดยตลอดว่าตนไม่ได้เป็นประโยชน์มากเท่าไรนัก ภารกิจที่เคยได้รับก็มีเพียงภารกิจปกป้องแม่นางน้อยเท่านั้น ซึ่งก็เป็นภารกิจที่ทำลายขวัญกำลังใจเขาเป็นอย่างมาก
ครั้งนี้เมื่อเห็นนายท่านจ้องมองเขาด้วยสายตาจริงจังเช่นนี้ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองอย่างมีความหวัง
“ข้าอยากให้เจ้าตามหาเศษวิญญาณในแดนมุกหยก เจ้าเกิดมาพร้อมดวงตาหยินหยางที่สามารถเห็นวิญญาณจากปรโลกได้ อีกทั้งยังมีประสาทสัมผัสแรงกล้าที่สามารถจับสัมผัสการมีอยู่ของพวกเขาเหล่านั้นได้ ดังนั้นสำหรับเจ้าภารกิจนี้คงไม่นับว่ายากเย็นนัก” โหลวจวินเหยาเอ่ยช้า ๆ
ชายหนุ่มชุดเทาได้ยินแล้วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “เศษวิญญาณหรือ?”
แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดนายท่านจึงอยากให้เขาออกตามหาเศษวิญญาณ แต่ก็ยังถามออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง “เศษวิญญาณนี้…. เป็นของคนที่ยังอยู่หรือตายไปแล้ว”
โหลวจวินเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนตอบเสียงเบา “นางตายไปหลายสิบปีแล้ว”
ชายหนุ่มชุดเทาประหลาดใจ “หลายปีแล้วงั้นหรือ? เช่นนั้นคงตามหาได้ยากนัก!”
ยามเมื่อวิญญาณหลุดออกจากร่างเนื้อและไม่ได้ไปในที่ที่สมควรไป ร่างวิญญาณของเขาจะยิ่งอ่อนพลังลงหากยังรั้งอยู่บนโลกมนุษย์ สำหรับคนที่ตายไปนานหลายสิบปีแล้วนั้น….. วิญญาณของนางยังไม่หายไปอีกหรือ?
ไม่น่าเชื่อเลยจริง ๆ
ไป๋จือเยี่ยนมีสีหน้าที่ไม่อาจอ่านออก ทันใดนั้นเหมือนเขาจะนึกบางอย่างขึ้นได้
โหลวจวินเหยาเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ามืดมิด เสียงของนางคล้ายกับจะยังวนเวียนอยู่ในหู “ข้าสัมผัสได้ว่าเศษวิญญาณของนางอยู่ไม่ไกลจากหอเมฆาเคลื่อนนัก”
“เช่นนั้นก็ลดขอบเขตการตามหาในแคว้นชิงหลานลงได้มาก”
ชายหนุ่มชุดเทาพยักหน้าก่อนลุกขึ้นยืน เทียบกับยามปกติที่มักจะเกียจคร้านสันหลังยาวอยู่ตลอดแล้ว เขาในตอนนี้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา นัยน์ตาแทบจะลุกเป็นไฟ “ข้าจะออกเดินทางตอนนี้เลย นายท่านช่วยบอกลักษณะเฉพาะเกี่ยวกับเศษวิญญาณตนนั้นได้หรือไม่ เป็นสตรีใช่หรือไม่?”
“นางมาจากแดนเมฆาสวรรค์ วิญญาณแตกสลายหายไปเพราะอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง เศษวิญญาณของนางกระจัดกระจายไปหลายแดน ข้าตามหาร่องรอยของเศษวิญญาณนางมาหลายปีแต่ก็ไร้ผล แต่เมื่อสักหนึ่งเค่อก่อนหน้านี้ข้าสัมผัสได้ว่านางกำลังร้องขอความช่วยเหลือ”
“ลึกลับซับซ้อนเช่นนั้นเลยหรือ?” ชายหนุ่มชุดเทาเอ่ยถามขึ้น
เป็นตอนนั้นเองที่ไป๋จือเยี่ยนพลันเอ่ยเสียงเบาขึ้น “เศษวิญญาณที่เจ้ากำลังตามหา….. หรือจะเป็นอาหลาน?”
เขารู้จักโหลวจวินเหยามานาน ย่อมรู้ว่าคนผู้นี้มีญาติผู้ใหญ่ที่เคารพอยู่คนหนึ่ง เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เขาใส่ใจ คนที่มักทำสิ่งใดตามใจตนผู้นี้ ยามอยู่ต่อหน้าอาหลานก็จะรับฟังคำนางอยู่บ้าง
น่าเสียดายที่สาวงามต้องพบเจอกับชะตาน่าเศร้าและจากไปในตอนที่ยังไม่สมควร
“ถูกต้อง เป็นนาง” น้ำเสียงโหลวจวินเหยาลึกล้ำ คล้ายกับมีอารมณ์เศร้าหมองเจืออยู่
แม้เขาจะออกตามหาร่องรอยของนางมาตลอด แต่เขาก็ไม่ได้ครุ่นคิดถึงคนผู้นั้นนานแล้ว
แต่เมื่อก่อนหน้านี้ที่จิตใจเขายังไม่ทันได้กระจ่างดี เขากลับพบอดีตที่ไม่อาจลืมเลือนเมื่อครานั้น ดวงหน้าของนางที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความงดงามตอนนี้ดูซีดเซียว สีหน้ามีแต่ความเศร้าใจสิ้นหวัง เขาไม่อาจนึกรู้ได้ว่านางเจ็บปวดทรมานถึงเพียงไหนที่ทำให้สตรีแกร่งที่เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีตนเองหมดท่า และดูอ่อนแอบอบบางถึงเพียงนั้น
เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่โหลวจวินเหยาไม่อาจยอมรับได้ สิ่งที่เขาเห็นในตัวอาหลานคือแสงสว่างอันอบอุ่นที่เขานับถือ และศักดิ์ศรีไม่อาจมีใครเทียบได้ ผู้ที่ยอมหักไม่ยอมงอตามใจผู้อื่น
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร เขาจะต้องช่วยนางความทรมานที่นางประสบอยู่ให้ได้
เรื่องนี้ กระทั่งไป๋จือเยี่ยนที่สนิทสนมกับเขาที่สุดยังรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เขารู้เพียงว่าในแคว้นมารมีสถานที่ต้องห้ามที่ตั้งอยู่มานานหลายปี เป็นสถานที่ที่ห้ามใครเข้าไป มีเพียงท่านจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ที่จะสามารถก้าวเข้าไปได้ มีทหารคุ้มกันหนาแน่น กระทั่งแมลงสักตัวยังไม่อาจหลุดรอดเข้าไปได้
แม้โหลวจวินเหยาจะทำตัวตามสบายและโยนงานการให้ลูกน้องอยู่ตลอด แต่เขาจะคอยเดินทางไปเยี่ยมสถานที่ต้องห้ามนั่นอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่ไปก็จะอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายชั่วยาม มันดูลึกลับยิ่งนักจนหลาย ๆ คนเกือบจะต้านความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ได้ อยากจะเข้าไปดูว่ามีความลับสำคัญอันใดซุกซ่อนไว้กันแน่
แต่เจ้าโหลวจวินเหยาคนทรามไม่เพียงสั่งให้มีทหารคุ้มกันสถานที่ต้องห้ามอย่างแน่นหนา ยังปล่อยอสูรวิญญาณร้ายกาจเฝ้าหน้าทางเข้าไว้อีกตัวหนึ่ง มันคงจะได้รับคำสั่งให้สังหารคนที่เข้าไปทุกคนไม่เลือกหน้าเป็นแน่
หากมันปล่อยให้ใครแอบเข้าไปได้ แม้มันจะเป็นยอดอสูรศักดิ์สิทธิ์อันล้ำค่า แต่นายท่านปีศาจผู้นั้นก็คงจะสังหารมันตาไม่กะพริบเป็นแน่ เขามักลงมือเช่นนั้นมาตลอด ใครที่ต่อต้านเขาย่อมพบกับจุดจบอันน่าขวัญผวาทั้งสิ้น
ดังนั้นคนแคว้นมารจึงไม่เกรงกลัวยอดอสูรศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่นิด มีเพียงท่านจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ที่พริบตาหนึ่งยิ้มเมตตาให้เจ้า หากแต่พริบตาต่อมากลับฉีกกระชากร่างคนที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์ทิ้งอย่างไม่ไยดีที่พวกเขาหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
ความคิดน่ากลัวหนึ่งพลันผุดขึ้นในหัวไป๋จือเยี่ยน
ณ สถานที่ต้องห้ามในแคว้นมารนั่น….. หรือว่าจะซ่อนตัวคนเอาไว้!?
—————————–
ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง เด็กสาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและผ่อนลมหายใจยาวออกมา
ภายในนัยน์ตาน่ามองแฉลบขึ้นเล็กน้อยนั้นมีสีทองเหลือบแดงวาบผ่านโดยเร็ว เพิ่มความชั่วร้ายให้นัยน์ตาคู่นั้น ดวงหน้างามยิ่งดูน่าดึงดูดยามนางลืมตาขึ้น คล้ายกับจะสามารถสะกดวิญญาณคนได้
มองคราหนึ่งคนอาจคิดว่านางเป็นปีศาจสาวที่กำลังบำเพ็ญวิชาชั่วร้ายอยู่ก็เป็นได้
“ยินดีด้วยนายหญิง! ท่านทะลวงวิชาฝังวิญญาณเลื่อนมายังขั้นที่เจ็ดแล้ว” เสียงใสของเด็กหนุ่มผมทองค่อย ๆ เอ่ยขึ้น เต็มไปด้วยแววยิ้มและความดีใจ “ดูท่าการตื่นขึ้นของข้าจะเป็นประโยชน์ต่อนายหญิงไม่น้อย ในเวลาไม่ถึงปีนายหญิงสามารถกระโดดข้ามขั้นมาได้ถึงสองขั้น เมื่อครั้งแรกท่านต้องใช้เวลาถึงหกปีเต็มในการทะลวงผ่านห้าขั้นแรก”
เมื่อจิตวิญญาณอาวุธได้รับบาดเจ็บสาหัสก็จะส่งผลต่อเจ้าของร่างได้มากเช่นกัน ด้วยทุกครั้งที่เจ้าของร่างทะลวงผ่านด่านหรือดูดซับพลังจากภายนอกเจ้ามา ครึ่งหนึ่งจะถูกแบ่งไปให้จิตวิญญาณอาวุธ
ชิงอวี่ยื่นแขนออกแบมือมองฝ่ามือตนเอง นางสัมผัสได้ถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ในนั้น แม้ชาติก่อนนางจะทะลวงไปถึงขีดสุดของขั้นแปด แต่กลับไม่เคยรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้มาก่อน