สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 120 ความลับภายในสำนักละอองหมอก
ขณะนั้นการประลองเริ่มเห็นผลแล้ว และนอกจากศิษย์สายหลักหนึ่งร้อยคนแล้ว ศิษย์สายรองจากเดิมที่มีมากถึงสามร้อยคนเหลือเพียงครึ่งเท่านั้น
นัยน์ตาหงส์ยาวแฉลบขึ้นของชิงอวี่ดูครุ่นคิด “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าพวกเขาแข่งขันกันรวดเร็วเกินไปสักหน่อย มีเรื่องรีบร้อนอะไรกันหรือ?”
เห็นใบหน้าสับสนของนางแล้ว ชิงเป่ยก็เอนหน้าเข้ามากระซิบเสียงเบา “การประลองใหญ่ครั้งนี้เป็นเพียงการจัดฉากเท่านั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงคือการกำจัดศิษย์ที่อยู่ในสำนักมานานเกินควรและมีพลังเพียงธรรมดาเท่านั้นให้ออกไปเสีย เพราะอย่างไรสำนักละอองหมอกก็เป็นอันดับหนึ่งในสามสำนักใหญ่ หากถูกศิษย์เหล่านี้ทำให้ตกต่ำลงจะกระทบถึงชื่อเสียงทั้งสำนักได้ ทำให้สำนักไร้สิ้นสุดหรือหุบเขาไร้กังวลชิงเอาอันดับไปได้ แม้สำนักละอองหมอกจะมีจำนวนคนมากกว่าอีกสองสำนัก แต่หนึ่งในสามส่วนนั้นไม่ถึงระดับมาตรฐานด้วยซ้ำ”
ชิงอวี่หัวเราะเสียงดังออกมา “ว่ากันว่าการประลองเข้าสำนักละอองหมอกเข้มงวดมากไม่ใช่หรือ? แล้วคนเหล่านั้นผ่านเข้าไปได้อย่างไร?”
น้ำเสียงนางไม่ปิดรอยค่อนขอด หากเป็นเช่นนั้นจริง นางก็คงไม่ขอเข้าสำนักแห่งนี้ดีกว่า สำนักที่เต็มไปด้วยเหลือบไรนางไม่สนใจจะเข้าแม้แต่น้อย
ยามเมื่อนางเอ่ยเช่นนั้นออกมา ชิงเป่ยก็หันมองนางด้วยความประหลาดใจ จากนั้นพลันนึกได้ว่านางมาจากโลกอื่น ไม่แปลกที่นางจะไม่เข้าใจเรื่องต่าง ๆ ในแดนมุกหยกอย่างถ่องแท้นัก
“เจ้าสำนักคนก่อนของสำนักละอองหมอกถูกลอบสังหารเมื่อสิบกว่าปีก่อน ท่านเจ้าสำนักคนปัจจุบันรับช่วงต่อสำนักตั้งแต่อายุได้เพียงสามสิบ อีกทั้งกลุ่มคนที่คอยสร้างบรรยากาศไม่สู้ดีในสำนักตั้งแต่สมัยท่านเจ้าสำนักคนก่อนยังอยู่ในสำนัก เป็นกลุ่มคนโลภมากและเจ้าเล่ห์ พวกเขาจะดึงคนเข้ามาโดยไม่สนความสามารถขอเพียงให้ตนได้รับประโยชน์ก็พอ” ชิงเป่ยเอ่ยเสียงเบานัก แต่เคราะห์ร้ายที่มีคนด้านข้างผู้หนึ่งไม่ไกลจากเขานักที่มีประสาทการรับเสียงที่ดียิ่งเช่นกัน
เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงผู้หนึ่งที่ดูมีอายุราวยี่สิบกว่าปี สวมชุดคลุมสีหมึกตัวยาว ยืนกอดดาบอยู่ไม่ไกล ผ้าผูกผมสีเดียวกับชุดผูกผมขึ้นสูง ใบหน้าหล่อเหลาน่ามอง คิ้วคล้ายดาบตรงดูโดดเด่น รอยยิ้มขี้เล่นประดับอยู่บนริมฝีปาก ยิ่งดูน่ามองกว่าเก่า
แม้จะยืนหลบอยู่ท่ามกลางฝูงชน แต่ก็ยังทำให้คนอื่นมองมาทางเขาด้วยความสงสัยไม่ได้
นอกจากจะหน้าตาดีแล้ว กลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างยังมั่นคงดั่งหินผา ดาบในวงแขนเองก็ดูไม่ธรรมดา เพียงแต่เก่าไปหน่อยเท่านั้น มองเผิน ๆ ไม่น่าสนใจ แต่กระทั่งตอนมันอยู่ในฝักผู้คนก็ยังสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของมันได้ เป็นแรงกดดันชนิดหนึ่งที่ดุดันมาก ชนิดที่เหล่าคนมีพลังบำเพ็ญขั้นต่ำไม่อาจเข้าใกล้ได้
ดังนั้นพื้นที่รอบ ๆ ชายหนุ่มจึงไร้ผู้คนและไม่ค่อยเบียดเสียดเท่าจุดอื่น
แต่น่าแปลกที่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว กลับมีชายหนุ่มร่างบางสองคนยืนอยู่ ท่าทางไม่เป็นอันใด อีกทั้งยังซุบซิบเรื่องภายในสำนักละอองหมอกกันอย่างสนุกปาก
รอยโค้งที่ริมฝีปากเขายิ่งลึกขึ้น น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ เจ้าหนูนั่นรู้เรื่องลับภายในสำนักละอองหมอกได้อย่างไร? เรื่องเช่นนี้ศิษย์สายหลักหลาย ๆ คนยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วเจ้าเด็กคนนี้ไปได้ยินมาจากที่ใดกัน
ที่อีกด้านหนึ่ง ชิงเป่ยยังคงเอ่ยไม่หยุดปาก ไม่ทันสังเกตเห็นว่าไม่ไกลออกไปยังมีชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ยืนฟังคำของเขาอย่างตั้งใจ
“ว่ากันว่าท่านเจ้าสำนักคนปัจจุบันเป็นเสือหน้ายิ้ม ลงมือไร้เมตตา ฆ่าคนเลือดไม่กระเซ็น เป็นหลานห่าง ๆ ของท่านเจ้าสำนักคนก่อน หลังจากท่านลุงเสีย สำนักก็กระจัดกระจายเกิดความโกลาหลภายใน เกือบจะถูกอีกสองสำนักใหญ่กลืนไป แต่เด็กที่มีอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดกลับสามารถฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลาย ผลักอำนาจของสองสำนักใหญ่ออกไป อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งเจ้าสำนักมา ในสำนักละอองหมอกไม่มีใครไม่นับถือเขา ด้วยใครที่มีใจคิดไม่ซื่อจะถูกเขากำจัดด้วยวิธีน่าขวัญผวายิ่ง”
ชิงอวี่ได้ยินเขาแล้วใบหน้าก็เกิดความประหลาดใจ นัยน์ตาส่องประกายมองใบหน้าเด็กหนุ่มขึ้นลง คล้ายกับจะเห็นดอกไม้บาน
เด็กหนุ่มพลันเขินอายขึ้นมา “เหตุใดท่านจึงมองข้าเช่นนั้น?”
ชิงอวี่ส่ายหัวจุ๊ปาก “ข้าเพียงสงสัยว่ามีเรื่องที่เจ้าไม่รู้บ้างไหม เจ้าเล่าเรื่องเก่าแก่ที่เกิดขึ้นมานานกว่าสิบปีได้เช่นนี้ ตอนที่เรื่องเกิดคงมีอายุสองสามขวบเองกระมัง!”
หรือว่าเด็กคนนี้จะเกี่ยวข้องกับองค์กรลับลับหลังผู้อื่น เชี่ยวชาญด้านการค้นหาความลับในสำนักและตระกูลทั้งหลายในยุทธภพกัน?
ชิงเป่ยได้ยินดังนั้นก็เกาหัวท่าทางเขินอาย จากนั้นเบาเสียงลงกว่าเก่า “ข้าไม่ได้ออกไปเสาะหาข้อมูลหรอก แต่น่าแปลกที่เมื่อข้าคิดแล้ว ข้อมูลก็พากันปรากฏขึ้นในหัว…..”
ยังพูดไม่จบประโยคชิงอวี่ก็ยกมือปิดปากเขาไว้ เอ่ยเสียงผ่านกระแสจิตแทน “เจ้าเด็กโง่! ที่นี่มีแต่จอมยุทธ์พลังสูงส่ง แล้วจ้ายังกล้าพ่นคำเหล่านั้นออกมาไม่ระวังปากอีก หากมีใครได้ยินเข้าคงได้จับเจ้าไปผ่าสมองแยกดูว่ามีสิ่งใดอยู่ในนั้นกันแน่!”
ชิงเป่ยขนลุกซู่ทั่วร่างเมื่อเห็นสีหน้าดุดันของชิงอวี่ จากนั้นจึงกะพริบตาคราหนึ่งอย่างไร้เดียงสาเพื่อตอบนางว่าเขาเข้าใจแล้ว และจะไม่พูดเรื่องเช่นนี้โดยไม่ระวังอีก
ชิงอวี่จึงปล่อยมือ หลายปีมานี้นางไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้มีความสามารถแปลกประหลาด อยากรู้สิ่งใด แค่คิดก็มีข้อมูลเข้ามาในหัวโดยไม่ต้องเปลืองแรง เช่นนี้….. คล้ายกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ระดับสุดยอดเลยกระมัง!
บนลานประลอง การประลองของศิษย์สายหลักเริ่มขึ้นแล้ว การประลองของศิษย์ยี่สิบอันดับแรกยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้น เป็นการประลอง 40 ครั้งแรกแบบคัดออกก่อน ใครชนะจึงจะได้อยู่ต่อ
ศิษย์สายรองทั้งหมดที่พ่ายแพ้และถูกคัดออกได้ถูกส่งไปยังบึงโคลนทั้งยังลบความทรงจำเรียบร้อยแล้ว ถูกไล่ออกจากสำนักละอองหมอกนับแต่นี้ไป หลาย ๆ คนเป็นเหลือบไรที่มีมาตั้งแต่สมัยท่านเจ้าสำนักคนก่อน มีความสามารถเพียงปานกลาง ที่ถูกไล่ออกไปเป็นเพราะไม่สามารถพัฒนาฝีมือได้อีกต่อไป
จำนวนศิษย์ในสำนักละอองหมอกเมื่อหลายปีก่อนมีมากกว่าพันคน แต่เมื่อท่านเจ้าสำนักคนปัจจุบันขึ้นมาจัดการต่อ จำนวนมีแต่จะลดลงเรื่อย ๆ รักษาไว้เฉพาะผู้มีฝีมือเท่านั้น
“หรงอี้ พวกแปดปีศาจแดนสีเลือดไม่มาแล้วหรือ? นี่ก็เกือบจะพ้นยามซื่อ(1)แล้ว ใกล้จะถึงเที่ยงวันเต็มที”
คนที่เอ่ยขึ้นคืออันดับที่ 12 จินเจ๋อเฮ่า บุตรชายของหนึ่งในสิบสองผู้อาวุโส และแม้บิดาของเขาจะไม่ถูกกับหรงอี้นัก แต่เขาก็สนิทสนมกับอีกฝ่ายไม่น้อย
จินเจ๋อเฮ่ามีนิสัยใจกว้างร่าเริง คิดอยู่เสมอว่าแม้หรงอี้จะมีอันดับต่ำกว่าตน แต่ก็ลึกเกินหยั่ง คิดทำการสิ่งใดฉับไว สติปัญญาเฉียบแหลมกว่าใครหลายคน ดังนั้นจึงนับถือหรงอี้มากจนกระทั่งคล้ายกับจะเป็นการยกย่องบูชาไป
หรงอี้ยืนอยู่ที่ขอบสนามประลอง สายตาสอดส่องโดยรอบ เมื่อถูกขัดสมาธิจึงขมวดคิ้วแน่นก่อนเอ่ยเสียงทุ้มขึ้น “อย่าได้วางใจ ไม่แน่ว่าตอนเราเผลอ แปดปีศาจแดนสีเลือดก็อาจจะแทรกเข้ามาในหมู่คนแล้วก็เป็นได้”
จินเจ๋อเฮ่า กะพริบตาประหลาดใจ “พวกเขาจะทำเช่นนั้นจริงหรือ? ว่ากันว่าแปดปีศาจแดนสีเลือดเย่อหยิ่งมากไม่ใช่หรือไร? เหตุใดจึงยังเงียบเชียบเก็บตัว มาแล้วไม่ส่งเสียงบ้างเล่า?”
“คนกลุ่มนั้นคาดเดายากทั้งยังเป็นพวกนอกรีต ไม่แน่อาจกำลังจับตามองการประลองอยู่เงียบ ๆ เพื่อตรวจดูว่ามีบางอย่างผิดปกติหรือไม่ก็เป็นได้” หรงอี้ตอบเสียงเบา
จินเจ๋อเฮ่าพยักหน้าเข้าใจ “หรงอี้ เช่นนี้เป็นไปได้มาก น้อยครั้งที่การคาดเดาของเจ้าจะคลาดเคลื่อน” คำกล่าวเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเชื่อใจอีกฝ่ายมากมายถึงเพียงไหน!
ฝูงชนที่ยืนอื้ออึงกันในตอนแรกเริ่มบางตาลงไม่น้อยเมื่อศิษย์สำนักละอองหมอกถูกคัดออกไป นอกจากคนยี่สิบอันดับแรกแล้ว ศิษย์สายหลักหนึ่งร้อยอันดับแรกเหลืออยู่ไม่ถึงสามสิบคน ศิษย์สายรองก็เหลืออยู่ราวร้อยคนเท่านั้น
ในฝูงชนมีจอมยุทธ์ที่เข้ามาชมการประลองอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังมีผู้มากฝีมืออยู่เช่นกัน ส่วนมากยอมลำบากลำบนมาถึงที่นี่เพราะต้องการชมความสนุก เพราะหากศิษย์ทั้งหลายถูกกำจัดลงที่นี่ละก็ ชื่อเสียงของสำนักละอองหมอกก็คงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี
คนที่ตอนแรกเดินทางมาพร้อมกับความคาดหวังเริ่มรู้สึกเบื่อหน่าย บ้างเริ่มสงสัยว่านี่หรือคือสำนักใหญ่ในดินแดน ราวกับเด็กเล่นกันก็มิปาน!
บนที่นั่งด้านหน้า ใบหน้าของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายต่างไร้อารมณ์ ด้วยการประลองก่อนหน้านี้ ส่วนมากเป็นพวกมีความสามารถระดับธรรมดา เกาะกินอยู่ที่สำนักละอองหมอกมานานเกินควร อย่างไรก็ต้องถูกไล่ออกไป ดังนั้นแม้คนจะออกไปมากมาย แต่ผู้อาวุโสก็ไม่มีปฏิกิริยาใดมากนัก
จนกระทั่งการประลองของศิษย์สายหลักเริ่มต้นขึ้น จินเจ๋อเฮ่าจับฉลากได้เป็นคนแรกที่ขึ้นประลอง โชคร้ายนักที่คู่ต่อสู้ของเขาคือเหลียนฉ่าวเจี๋ยที่มีอันดับสูงกว่า
อันดับ 10 ปะทะอันดับ 20 เช่นนี้แล้วก็เห็นผลกันชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ? เขาคงได้ถูกตีจนเจ็บหนักอยู่ฝ่ายเดียวแล้วกระมัง
จินเจ๋อเฮ่าส่งยิ้มขืนให้หรงอี้ จากนั้นก้าวขึ้นไปบนลานประลอง ยอมรับชะตากรรมตน ก่อนจะหันมองเหลียนฉ่าวเจี๋ยที่ดูสบายอารมณ์ยิ่ง การประลองภายในเห็นเพียงใครแพ้หรือชนะ ความเป็นพี่น้องหรือมิตรสหายไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้นแม้ทั้งสองจะไร้ความบาดหมางต่อกัน แต่เหลียนฉ่าวเจี๋ยก็ลงมือไร้เมตตา
พริบตาที่เขาก้าวขึ้นลานประลอง แสงสีแดงจัดก็แผ่ออกจากร่าง จนกระทั่งผู้ที่อยู่ขอบลานประลองสามารถเห็นเปลวเพลิงเล็ก ๆ เผาไหม้อยู่ที่ผิวกายของเขา เพลิงร้อนระอุไม่ทำร้ายกายเขาแม้แต่น้อย มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่บำเพ็ญธาตุไฟจนถึงขั้นสุด สามารถควบคุมเปลวเพลิงได้
พลังของเหลียนฉ่าวเจี๋ยนั้นเหมือนกับนิสัย ดุร้ายไม่ยอมลงให้ใคร ดุดันเป็นอย่างยิ่ง เขาส่งหมัดคู่ออกไป เปลวเพลิงโหมออกไปพร้อมหมัดเป็นเสือสองตัวกระโจนเข้าใส่จินเจ๋อเฮ่า พวกมันอ้าปากกว้าง กระโจนจ้วงหมายจะฉีกร่างเขาเป็นชิ้น ๆ
จินเจ๋อเฮ่ารีบยกมือขึ้นสร้างเกราะสีน้ำเงินขึ้นมาป้องกันการโจมตีดุดันของเสือทั้งสองตัว แต่กลับถูกพวกมันทำลายจนเกราะแตกละเอียด
“โห! เหลียนฉ่าวเจี๋ยแกร่งมากจริง ๆ! ตอนที่เสือสองตัวกระโจนเข้าไปเมื่อครู่ ข้านึกว่าจินเจ๋อเฮ่าจะถูกพวกมันฉีกเนื้อตายไปแล้ว ดูเหมือนจริงมาก ใครจะคิดว่ามันมาจากพลังของเหลียนฉ่าวเจี๋ย?”
“จินเจ๋อเฮ่าก็ไม่เลว พลังแตกต่างกันเช่นนี้แต่ยังหลบการโจมตีของเหลียนฉ่าวเจี๋ยได้ คงจะมีฝีมืออยู่ไม่น้อยเช่นกัน”
“เป็นอย่างที่คิด การประลองของศิษย์ยี่สิบอันดับแรกน่าสนใจกว่ามาก การประลองก่อนหน้าช่างน่าขบขัน มองแล้วเสียลูกตาจริง ๆ”
“เจ้าพูดได้ถูกต้องยิ่ง!”
เบื้องล่างลานประลองมีเสียงถกเถียงอื้ออึ้งดังขึ้น ชิงอวี่มองภาพบนนั้นด้วยหัวคิ้วขมวด ก่อนจะส่ายหัวช้า ๆ “ช้าเกินไป”
“อะไรช้าเกินไปหรือ? ท่านจะบอกว่าเขาสร้างเกราะขึ้นมาช้าเกินไปงั้นหรือ?” ชิงเป่ยถามขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนาง “พลังบำเพ็ญของทั้งคู่แตกต่างกันมากเกินไป ช้าไปก็ไม่น่าแปลก”
“การโจมตีเมื่อครู่ช้าเกินไป” ชิงอวี่เอ่ย “แม้เขาจะใช้ธาตุไฟได้ดี แต่ยังขาดการควบคุมอุณหภูมิอยู่เล็กน้อย เขามีกำลังสูง แต่ไร้ความยืดหยุ่นยามใช้วิชา เมื่อครู่อีกฝ่ายควรจะหลบไม่ทันและถูกโจมตีจนบาดเจ็บหนักไปแล้ว”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำที่ยืนอยู่ไม่ไกลยืนฟังเด็กทั้งคู่อย่างตั้งใจมานาน เมื่อได้ยินการวิเคราะห์อันหลักแหลมเช่นนี้ นัยน์ตายิ่งส่องประกายวาววับยิ่งขึ้น
ในที่สุดความอยากรู้ก็เอาชนะทุกสิ่งอย่าง อดเอ่ยปากถามขึ้นไม่ได้ “นี่ เจ้าหนู สายตาเจ้าเฉียบคมนัก ดูท่าจะซุกซ่อนฝีมือไว้มากกว่าที่เผยออกมากระมัง”
เชิงอรรถ
ยามซื่อ คือช่วงเวลา 9.00-10.59 นาฬิกา