สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 122 การลอบโจมตีอันน่ารังเกียจ
นัยน์ตาหรงอี้พลันประกายวาบ ใบหน้าเคร่งขรึม “ผู้อาวุโสจิน ท่านรีบมาดูเขาเร็ว!”
ผู้อาวุโสจินเป็นนักปรุงยาในสิบสองผู้อาวุโส อีกทั้งยังเป็นอาจารย์สอนหลอมยาในสำนัก
เมื่อได้ยินแล้วเขาจึงรุดหน้าเข้าไปทันที ผนึกจุดพลังหลักบนร่างเหลียนฉ่าวเจี๋ยเพื่อยับยั้งเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด แต่เลือดหยุดไหลไปเพียงไม่กี่อึดใจ หน้าอกของเหลียนฉ่าวเจี๋ยก็เริ่มบวมขึ้น ราวกับสูบอากาศเอาไว้ภายใน คล้ายกับว่าจะตายเพราะร่างระเบิดในอีกไม่ช้า
หรงอี้เบิกตากว้าง สภาพเหลียนฉ่าวเจี๋ยในตอนนี้เหมือนกับตอนศิษย์เฝ้าประตูสำนักผู้นั้นตายไม่มีผิด เขาไม่คิดว่าแปดปีศาจแดนสีเลือดจะชั่วร้ายถึงขนาดกำชีวิตศิษย์สายหลักสองคนที่ทรงพลังไม่น้อยไว้ในมือกระทั่งตอนที่ยังไม่เผยตัวเช่นนี้ได้!
“จับเขาเอาหัวลง”
พริบตานั้น น้ำเสียงหนึ่งก็กระซิบอยู่ที่ข้างหู แม้จะแผ่วเบาแต่ก็ได้ยินชัดเจน
หรงอี้ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะทำตามที่เสียงนั้นสั่ง จับข้อเท้าเหลียนฉ่าวเจี๋ยไว้ให้ตัวอีกฝ่ายห้อยหัวลง น้ำเสียงนั้นดังขึ้นอีกครา “สามชุ่นใต้อก ใช้พลังวิญญาณซัดเข้าไปให้สุดแรง”
หรงอี้อดขมวดคิ้วไม่ได้ ด้วยพลังบำเพ็ญของเขาเหลียนฉ่าวเจี๋ยงไม่อาจฝืนได้ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ หากซัดเข้าเต็มกำลังคงทำให้อวัยวะภายในฉีกขาดเป็นแน่
เสียงนี้คิดจะช่วยเหลือหรือทำให้เรื่องราวแย่ลงกันแน่?
“หากช้ากว่านี้เซียนทองคำแห่งแดนสวรรค์ชั้นฟ้าก็ไม่อาจช่วยเขาได้”
หรงอี้ได้ยินแล้วจึงไม่ลังเลอีก นัยน์ตาฉายแววเฉียบคม เขารวบรวมพลังวิญญาณไว้ในฝ่ามือแล้วกระแทกฝ่ามือเข้าตรงจุด
“หรงอี้! หยุด!”
“หรงอี้! เจ้าทำอะไรของเจ้า?”
ผู้อาวุโสจินอู่เป็นใบ้ไปในที่สุด เมื่อเห็นดังนั้นก็รีบเอื้อมมือไปหมายจะหยุดหรงอี้ ทว่าหรงอี้เคลื่อนไหวรวดเร็วเขาไม่อาจห้ามได้ทัน ได้แต่มองฝ่ามือที่ถูกส่งออกไป พลังฝ่ามือนั้นเพียงพอทำให้ร่างเหลียนฉ่าวเจี๋ยแหลกได้ด้วยซ้ำ
หากแต่พริบตาต่อมา ทุกคนกลับต้องตกตะลึงจนไม่อาจกะพริบตา
“อะไรน่ะ?”
เหลียนฉ่าวเจี๋ยถูกจับห้อยกลับหัว เลือดไหลย้อนกลับ ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวม่วง หลังจากถูกหรงอี้ซัดพลังใส่ก็ยังไม่สิ้นใจจากการที่จุดพลังและอวัยวะภายในระเบิด แต่กลับอ้าปากอาเจียนเอาก้อนกลมโชกเลือดออกมาแทน
ศิษย์สำนักละอองหมอกยังมีอายุน้อย ไม่รู้จักว่ามันคืออะไร แต่ก็ยังมีคนที่เห็นโลกมามาก รู้ได้ว่ามันคือสิ่งไหน เสียงโหวกเหวกโวยวายจากกลุ่มคนดังขึ้นในพลัน
“แมงมุมโลหิตเดือดจากแดนตะวันออก” ชายชุดคลุมดำค่อย ๆ เอ่ยคำออกมา
“ช่วงเวลาที่มันจะแอบเข้าร่างได้ง่ายที่สุดมักเป็นช่วงที่คนผู้นั้นเรียกพลังวิญญาณ พวกมันถูกจับให้กินสัตว์มีพิษร้ายแรงมายาวนานหลายปี พิษของมันร้ายแรงจนสามารถทำให้เลือดในร่างผู้ใหญ่แข็งตัวได้ในเวลาหนึ่งถ้วยชา ทำให้ตายจากการที่เส้นพลังและเส้นเลือดสะบั้น”
“ท่านรู้เรื่องต่าง ๆ ดีไม่น้อย” ชิงเป่ยเลิกคิ้วมองชายหนุ่ม
“ไม่หรอก ท่องอยู่ในยุทธจักรมานานหลายปี ข้าก็พอรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มาบ้าง น้องชายต่างหากที่รู้เรื่องไม่น้อย ความลับในสำนักละอองหมอกเรื่องนั้น กระทั่งศิษย์สายหลักก็ยังไม่รู้” ชายชุดคลุมดำเอ่ยแล้วเผยยิ้มเห็นฟัน ดูนัยน์ตาเจือแววฉลาดเจ้าเล่ห์ ดูน่ามองไม่น้อย
ชิงเป่ยขมวดคิ้วถาม “ท่านเป็นใครกันแน่?”
ชายชุดคลุมดำกำลังจะเอ่ยคำ หากแต่ได้ยินเสียงร้องผวาจากหมู่คนขึ้นมาเสียก่อน “ทุกคนดู! บนนั้น!”
“วิ่งเร็ว!”
ท้องฟ้าที่ยังเป็นสีน้ำเงินสดใสอยู่เมื่อครู่พลันมืดทะมึนลงคล้ายกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังกระพือปีกบินอยู่ในหมอกหนาเบื้องบนจากที่ไกล ๆ จุดสีดำเล็ก ๆ เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
เจ้าพวกนั้นเคลื่อนไหวเร็วมาก พริบตาเดียวก็มาตรงหน้าแล้ว สิ่งมีชีวิตนั้นมีฟันคม หน้าตาชั่วร้ายยิ่ง ตัวใหญ่และมีปีกแข็งที่กางแล้วยาวกว่าหนึ่งเมตร เมื่อมันเหินลงมาก็ก่อให้เกิดเงาดำบดบังท้องฟ้าจนแทบมืดสนิท
“เป็นค้างคาวดูดเลือด!”
ชิงอวี่หรี่ตาลง ระวังตนทันที “เสี่ยวเป่ย อย่าให้มันแตะโดนตัวเจ้า”
“เข้าใจแล้ว” ชิงเป่ยพยักหน้าตอบ
ชายชุดคลุมดำเดินเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าตื่นเต้น “เจ้าจะลงมือแล้วหรือ? ข้ารู้ว่าเจ้ามีดีกว่าที่เจ้าแสดงออก…..”
ก่อนจะทันพูดจบประโยค ของมีคมบางอย่างก็ปลิวผ่านใบหน้า ก่อนที่เสียงกรีดร้องจะดังขึ้นที่ด้านหลัง เขาหันไปพบว่ามีค้างคาวตัวใหญ่ตัวหนึ่งกลิ้งอยู่แทบเท้า ยังอยู่ในท่าโฉบลงมาไม่คลาย เมื่อครู่เกือบจะถูกมันฝังเขี้ยวลงบนหลังแล้ว
ร่างเขาพลันแข็งค้าง เห็นว่านัยน์ตาสีแดงทั้งสองข้างมีเข็มบาง ๆ ปักอยู่ จากนั้นเปลวเพลิงก็ลุกโชติช่วงขึ้นเผาร่างมันจนสลายหายไปสิ้น
“วิชาอะไรกัน? สุดยอดมาก!”
ชิงอวี่เหลือบมองเขาหน้านิ่ง “หากท่านยังฟุ้งซ่านต่อไปข้าจะไม่ช่วยท่านแล้ว”
“…..” ใจร้ายจริง
ฝูงค้างคาวจำนวนมากโฉบลงมาโจมตี ศิษย์จำนวนไม่น้อยที่ไม่ทันตั้งตัว ถูกพวกมันกัดจนตาย
ที่อีกด้าน หรงอี้และผู้อาวุโสจินเองก็ต่อสู้ชุลมุนไม่อาจปลีกตัวไปได้ มีศิษย์สายหลักราวสี่คนกำลังปกป้องอยู่ อาการเหลียนฉ่าวเจี๋ยไม่ดีนัก แม้จะพยายามกดเส้นเลือดที่ใกล้สะบั้นไว้ แต่ก็ทำได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
“แปดปีศาจแดนสีเลือดชั่วร้ายเกินไปแล้ว! ใช้วิธีลอบโจมตีเช่นนี้!” หรงอี้กัดฟันพูด นัยน์ตามองไปรอบกาย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่ตรงไหน พวกเขาอยู่ที่แจ้ง พวกมันอยู่ในที่ลับ เช่นนี้เสียเปรียบนัก
หลังจากใช้เหตุผลแล้วอีกฝ่ายยอมถอยไปแต่โดยดี เขาจึงคิดว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายก็คงจะพอมีคุณธรรมหลงเหลืออยู่บ้าง เขาประมาทเกินไป! เขาลืมชื่อเสียงของแปดปีศาจแดนสีเลือดไปได้อย่างไร!?
แม้จะมีคนมาก แต่ค้างคาวดูดเลือดก็มีจำนวนมากเกินไป อีกทั้งยังสังหารยาก ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงเริ่มอ่อนแรง นอกจากศิษย์สายหลักที่พอจะช่วยเหลือตนเองได้ ศิษย์สายรองคนอื่น ๆ ไม่บาดเจ็บก็ล้มตายไปบ้างแล้ว
“จิ๊ ๆ น่าเบื่อจริง….. สำนักละอองหมอกที่ยิ่งใหญ่มีดีเพียงเท่านี้เองหรือ? แค่อาหารเรียกน้ำย่อยแต่กลับรับมือไม่ได้เสียแล้ว ไม่สมกับชื่อเสียงเอาเสียเลย ข้ายังไม่ทันยกมือข้างหนึ่งด้วยซ้ำ!”
ไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาซุกซ่อนตัวอยู่ที่ใด จึงไม่อาจมีใครหาพบได้
คนที่พูดขึ้นเมื่อครู่ทั้งสูงทั้งผอม เอนหลังพิงต้นไม้อย่างเกียจคร้าน นัยน์ตาคู่ประหลาดที่คล้ายกับตางูดูเบื่อหน่ายยิ่ง
ชายอีกคนที่มีลายรูปนกไม่รู้ชนิดบนหน้าหรี่ตาลงพูดเสียงเบา “แต่ในหมู่คนพวกนั้นก็ยังมีพวกที่แข็งแกร่งอยู่”
“อยู่ที่ไหนกัน?” ชายตางูถามขึ้น
เมื่อมองตามนิ้วที่ชี้ออกไปก็พบกับชายชุดคลุมดำเป็นคนแรก
เงาร่างของคนผู้นั้นกระโดดหลบค้างคาวดูดเลือดโดยง่าย สังหารมันไม่หยุดมือ ท่าทางไม่เหน็ดเหนื่อย ดาบเก่าในมือขวายังไม่ชักออกจากฝักด้วยซ้ำ
เพียงหนึ่งฝ่ามือก็สามารถหักปีกค้างคาวได้หลายตัว ตวัดดาบที่ยังอยู่ในปลอกคราหนึ่งก็ผลักค้างคาวนับไม่ถ้วนให้กระเด็นออกไปได้ พวกมันไม่อาจทำอันตรายเขาได้เลย แม้แต่ชายเสื้อก็ไม่ได้แตะ
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มไม่ได้ออกแรงมากมายเลย
ชายตางูนัยน์ตาพลันเป็นประกาย คนผู้นี้เป็นนักดาบฝีมือดีไม่ผิดแน่ หากไม่เห็นดาบออกจากฝักก็คงน่าเสียดาย อีกประเดี๋ยวเขาต้องทดสอบกำลังอีกฝ่ายดูสักหน่อย
ไม่ห่างจากชายชุดคลุมดำ เด็กหนุ่มร่างบางในชุดขาวยิ่งน่าสนใจกว่า
ค้างคาวดูดเลือดพวกนั้น….. ไม่เข้าโจมตีเขาหรือ?
เป็นภาพแปลกตานัก เมื่อพวกค้างคาวเข้าใกล้เด็กคนนั้น พวกมันก็พากันบินออกไปเอง คล้ายกับเกรงกลัวอะไรบางอย่าง
หากแต่ “เด็กหนุ่ม” กลับไม่ตกใจกับภาพเช่นนั้นเลย เมื่อพวกมันเข้าใกล้เขาในระยะหนึ่งเมตร เข็มทองที่ปลายนิ้วของ “เขา” ก็จะถูกซัดออกไปอย่างรวดเร็ว ค้างคาวดูดเลือดที่ถูกเข็มจะเกิดเพลิงเผาไหม้ร่าง กลายเป็นฝุ่นเถ้าภายในไม่กี่อึดใจ
“นั่นมันคาถาอะไรกัน?” ชายตางูเบิกตากว้าง ดูตื่นเต้นกว่าตอนที่ได้เห็นชายชุดคลุมดำคนก่อนหน้าเสียอีก
ที่ด้านหลัง ชายที่บนหน้ามีแมลงดอกไม้เป็นลวดลายอยู่เต็มลูบคางตน ก่อนเอ่ยเสียงมั่นใจ “คงจะเป็นนักปรุงยาระดับสูง แต่….. รู้จักวิธีสู้กับค้างคาวดูดเลือดเสียด้วย เข็มทองเหล่านั้นมีพิษที่ร้ายแรงกว่าพิษในร่างค้างคาวดูดเลือดอยู่ เมื่อพิษทั้งสองปะทะกันจึงเกิดการเผาไหม้ มีฝีมือไม่น้อยเลย!”
“เจ้าเด็กนี่ฝีมือดีขั้นนั้นเชียวหรือ?” คนอื่น ๆ ถามขึ้น
พวกเขาต่างคนต่างมีฝีมือสูงส่ง ท่องยุทธภพมานานปี ไม่เคยพบคนที่สามารถรับมือพวกตนได้เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นจึงยิ่งหยิ่งผยองพองขน นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบคนที่สามารถรับมือกับพลังแปลกประหลาดของพวกเขาได้เช่นนี้
ได้ยินแล้วชายใบหน้าลายแมลงดอกไม้จึงเอ่ย “แล้วข้าโกหกพวกเจ้าไปเพื่ออะไร? อย่าลืมว่าข้าเองก็เป็นนักปรุงยา”
อืม แท้จริงแล้วคล้ายหมอชั่วร้ายที่เชี่ยวชาญด้านพิษเสียมากกว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกี่ยวพันกับนักปรุงยาใช่หรือไม่เล่า!?
คิดได้ดังนั้นแล้วนัยน์ตาเขาก็มีแสงวาดผ่าน “เจ้าเด็กนั่นน่าสนใจ รอพวกเราสังหารคนสำนักละอองหมอกจนสิ้น ข้าจะจับตัวเขากลับมาศึกษาให้ละเอียดเอง”
“ผู้อาวุโสเหยียน ทำอย่างไรดี? เหลียนฉ่าวเจี๋ยอ่อนกำลังลงเรื่อง ๆ แล้ว” ผู้อาวุโสจินขมวดคิ้วแน่น
ผู้อาวุโสเหยียนตอนนี้มานั่งตรวจอาการคนแล้ว หลังจากที่เมื่อครู่จัดการฝูงค้างคาวดูดเลือดไป หลังจากอังมือสัมผัสลมหายใจของเหลียนฉ่าวเจี๋ยแล้วก็เผยใบหน้าโหดเหี้ยมอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“แมงมุมโลหิตเดือดทำลายอวัยวะภายในสาหัสเกินไป ภายในมีเลือดไหลสวนทาง ต้องใช้กำลังของนักปรุงยาระดับสูงสองคนเพื่อช่วยบรรเทาความปั่นป่วนของเส้นพลัง ไม่เช่นนั้น…..”
เขาพูดไม่จบประโยค ด้วยรู้ดีว่านอกจากผู้อาวุโสจินแล้ว จะหานักปรุงยาสักคนในที่นี้ยากนัก ไม่ต้องกล่าวถึงนักปรุงยาระดับสูงสักคนหนึ่งเลย
แต่เขาเคยทำนายชะตาเหลียนฉ่าวเจี๋ยไว้ เห็นชัดเจนว่าชายหนุ่มจะมีชีวิตยืนยาว ยังไม่มาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ในวันนี้
“นี่เป็นยาเสริมเลือด ป้อนเขาไปก่อน!”
เป็นเพราะพวกเขากำลังนั่งยองอยู่กับพื้นจึงเห็นเพียงชายแขนเสื้อสีขาวบริสุทธิ์อยู่ตรงหน้า
ยามเงยหน้าขึ้นก็ไม่อาจเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวได้ชัดเจนนัก ด้วยเป็นภาพย้อนแสง หากแต่ใบหน้าก็ยังดูงดงามจนต้องกลั้นหายใจ โดยเฉพาะนัยน์ตาหงส์ที่แต้มรอยยิ้มคู่นั้น ช่างน่าหลงใหลเสียจริง เป็นความงามระหว่างบุรุษและสตรี ไม่อาจระบุเพศได้
กระทั่งชายชราอย่างผู้อาวุโสจินที่เห็นโลกมามากก็ยังชะงักค้างจ้องมองเด็กหนุ่ม
ชะงักไปครู่หนึ่ง หรงอี้ก็หลุดออกจากภวังค์ แต่เขาสนใจเสียงของเด็กหนุ่มมากกว่า มันทั้งกระจ่างและปลอบประโลมใจ เหมือนกับเสียงที่ส่งมาทางจิตเขาเมื่อก่อนหน้าไม่มีผิด
เขาลุกขึ้นทันใด แบมือปะทะกำปั้นก่อนกล่าว “ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือข้าเมื่อครู่”
ชิงอวี่เห็นอีกฝ่ายฉลาดนักก็ประหลาดใจเล็กน้อย หัวเราะเสียงเบาออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ป้อนยานี่ให้เขา แล้วเส้นพลังในร่างจะไม่พลุ่งพล่านหนักอีกต่อไป”
ผู้อาวุโสจินและผู้อาวุโสเหยียนสับสนไม่น้อย ไม่รู้ว่าคนทั้งสองกำลังเอ่ยอันใดกัน