สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 124 ดึงดาบออกเจ้าชนะ
บทที่ 124 ดึงดาบออกเจ้าชนะ
นั่นทำให้ศิษย์ทั้งหลายไม่ชอบซู่หลีม่อขึ้นมาในทันที
พวกเขาทั้งสงสัยใครรู้และนับถือยอดฝีมือ 5 อันดับแรกมาก ไม่คิดว่าคนผู้นี้จะไร้หัวใจ มองดูศิษย์ร่วมสำนักคนอื่น ๆ ตายได้ลงคอ โดยไม่แม้แต่จะยื่นมือเข้าช่วย ทำให้ภายในใจพวกเขารู้สึกผิดหวังไม่น้อย
เมื่อหลายสายตาจ้องเขาจนให้ความรู้สึกแปลก ๆ เช่นนั้น ซู่หลีม่อก็มุมปากกระตุก เอ่ยเสียงติดจะเยาะเย้ยออกมา “เจ้าล้อเล่นหรือ! หากนายท่านผู้นี้ไม่ได้ลงมือช่วยเหลืออะไรจริง คิดว่าขยะไร้ค่าเหล่านี้จะยังมีชีวิตรอดหรือ?”
ลั่วหลานจือเลิกคิ้วประหลาดใจยามได้ยิน จะบอกว่าช่วยเหลืออย่างลับ ๆ อยู่กระนั้นหรือ?
“เกียจคร้านสงบสุขมาเนิ่นนานก็ต้องถูกหินขัดคมบ้าง ไม่เช่นนั้นต่อไปไม่ว่าสุนัขหรือแมวตัวใดคงกล้ามาท้าทายถึงหน้าประตูสำนัก ถึงตอนนั้นนายท่านผู้นี้คงไม่อยากเอ่ยว่ามาจากสำนักเดียวกันกับพวกขยะ เช่นนั้นมันน่าละอายเกินไป”
ลั่วหลานจือ “…..” อย่างน้อยเอ่ยอันใดก็ให้รู้จักกาลเทศะบ้างได้หรือไม่?
พริบตานั้น ผู้อาวุโสจินที่ปกติอารมณ์ร้อนดั่งไฟกลับไม่โกรธเคือง ได้แต่ขมวดคิ้วแน่นแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าพูดถูก ศิษย์สำนักละอองหมอกใช้ชีวิตสงบสุขเกินไป ศิษย์สายรองที่รอดชีวิตในวันนี้จะได้เลื่อนขั้นเป็นศิษย์สายหลัก ศิษย์สายหลักเดิมทั้งหลายได้รับอนุญาตให้เข้าหอประตูสวรรค์เป็นเวลาหนึ่งวัน”
หอประตูสวรรค์เป็นสถานที่สำคัญในสำนักละอองหมอก เก็บบันทึกเรื่องประหลาดบนดินแดนไว้มากมาย อีกทั้งยังสามารถพบความลับต่าง ๆ ที่คนภายนอกไม่อาจล่วงรู้ได้ที่นี่ ในนั้นยังมีพลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์ ทวีคูณกว่าพื้นที่ภายนอก ทั้งยังมีวิชาลึกลับพิสดารเก็บรักษาไว้ หากเลือกมาฝึกสักวิชา ใช้เวลาเพียงสามถึงห้าวันในนั้นจะเห็นผลอันไม่คาดคิด
ไม่คิดว่าเพื่อฝึกปรือเหล่าศิษย์แล้ว ทางสำนักจะเมตตาถึงเพียงนี้
แปดปีศาจแดนสีเลือดที่ซ่อนตัวอยู่ไม่อาจรั้งตัวในความมืดได้อีกต่อไป สุดท้ายก็เผยตัว ทุกคนตัวสูงใหญ่ สวมใส่ชุดแดงทั้งตัว บนใบหน้ามีลวดลายแปลกตาประดับ
ใบหน้าชายหนุ่มลายงูนั้นดำทะมึนคล้ายกำลังโกรธจัด แต่พริบตาต่อมาก็เผยเสียงหัวเราะชั่วร้าย เอ่ยเสียงอดกลั้นออกมา “ข้าเคยว่าไว้ว่าสำนักละอองหมอกก็แค่เหล่าขยะไร้ค่ามารวมตัวกัน ไม่คิดว่าจะยังมีคนมีฝีมืออยู่บ้าง”
“ย่อมไม่แปลก สุดเขตตะวันออกแร้นแค้นล้าหลังเช่นนั้น ข้าจึงไม่แคลงใจว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่รู้จักโลกภายนอกบ้าง” ซู่หลีม่อยกมือขึ้นกอดอก น้ำเสียงจิกกัดหากแต่ไร้อารมณ์ยิ่ง
หึ ปากดีงั้นหรือ? นายท่านผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัว
“พรื่ดดด~”
ไม่รู้ว่าใครที่กลั้นขำไม่อยู่ เสียงหัวเราะจึงเริ่มดังตามขึ้นมา
ลั่วหลานจือส่ายหน้าสิ้นหวัง คนผู้นี้เย่อหยิ่งเกินทน แต่ก็ปิดข้อบกพร่องได้ดี แม้จะไม่ใส่ใจศิษย์ทั้งหลายในสำนักมาก แต่หากพวกเขาถูกรังแก คนผู้นี้ก็ไม่นั่งเฉย ๆ แล้วทำมองเมิน
จะว่าไปแล้วก็ดูน่ารักแบบประหลาด ๆ เช่นกัน
ชายหนุ่มใบหน้าลายงูจำเขาได้ เป็นนักดาบมากฝีมือที่เขาเห็นเมื่อก่อนหน้านี้เอง นัยน์ตาเขาพลันมีประกายเต้นระริก “พูดโอ้อวดแล้วได้อะไรเล่า? เจ้ากับข้าไม่มาประลองกันเสียหน่อย? ข้าอยากจะรู้นักว่าดาบของเจ้าจะคมได้เท่าฝีปากหรือไม่”
ซู่หลีม่อเลิกคิ้วท่าทางขบขัน “เจ้าคิดว่าเจ้าโดดเด่นพอจะลิ้มลองรสดาบข้าหรือ? นายท่านผู้นี้แบกดาบมานับสิบปี มันออกจากฝักเพียงสองครั้งเท่านั้น เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้ามีค่าพอจะให้มันปรากฏตัวเป็นครั้งที่สาม?”
“ก็แค่ดาบเก่าใกล้พังเล่มหนึ่ง เจ้าคุยโวเสียยังกับมันร้ายกาจนัก” ชายใบหน้าลายงูเอ่ย ดูไม่เชื่อคำอีกฝ่าย ไม่คิดว่าดาบนั้นเป็นอะไร ดาบเล่มนั้นเพียงดูแปลกตาเล็กน้อย เก่านิดหน่อย แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดผิดแผกจากดาบปกติ
ซู่หลีม่อหลุดหัวเราะออกมา “ดาบเก่าใกล้พัง? เช่นนั้นเจ้าลองดูดีหรือไม่? หากวันนี้เจ้าสามารถดึงมันออกมาได้ จะลงมือเช่นไรกับพวกเราก็แล้วแต่ใจเจ้า เจ้าว่าอย่างไร?”
“อะไรนะ?” ทุกคนร้องขึ้นด้วยความตกตะลึง
คะนองปากเอ่ยออกไปเช่นนี้ไม่เลินเล่อไปหน่อยหรือ? รู้หรือไม่ว่ามีอะไรเป็นเดิมพัน!?
เขามั่นใจว่าแปดปีศาจแดนสีเลือดจะไม่สามารถดึงดาบเขาออกมาได้ถึงเพียงนั้นเลยหรือไร?
หากดึงออกมาได้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาทุกคนต้องเอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นี่หรือ?!
ใบหน้าเหล่าผู้อาวุโสพลันเป็นกังวล ซู่หลีม่อมักทำตนแหกคอกนอกกฎ ทำสิ่งใดไร้เหตุผล เกรงว่าการตัดสินใจของชายหนุ่มอาจทำให้ทั้งสำนักละอองหมอกต้องล่มจมลงด้วย
ลั่วหลานจือยิ้มปลอบใจแล้วเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน “ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล หลีม่อไม่ได้โอ้อวด คนอื่นไม่สามารถดึงดาบของเขาออกจากปลอกดาบได้จริง ๆ”
ดาบเล่มนั้นซุกซ่อนความลับลึกล้ำไว้ภายใน ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถถือครองได้ง่ายๆ
ซู่หลีม่อยื่นดาบให้ชายใบหน้าลายงูที่มองหน้าเขาด้วยสีหน้าดูถูก
ชิงอวี่ยืนมองอยู่ด้านข้างเงียบเชียบไม่โดดเด่น มุมปากเผยอยิ้ม จ้องมองดาบด้วยความสนใจ ดาบทั้งเล่มเป็นสีเทาหม่น คล้ายกับถูกฝังใต้ดินมานานหลายปีและเพิ่งจะถูกขุดขึ้นมา นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ต่างจากดาบธรรมดาอีก
ชายใบหน้าลายงูคิดเพียงว่าซู่หลีม่อเพียงโอ้อวด ได้ยินแล้วจึงรับคำท้า “หากข้าดึงดาบออกมาได้ ไม่เพียงทุกคนต้องตาย แต่เจ้าต้องคุกเข่าโขกหัวทำความเคารพข้าสามครั้งดังๆ ด้วย เจ้าว่าอย่างไร? กล้าพนันหรือไม่?”
“มีอะไรต้องกลัว? หากจ้าทำได้ ไม่เพียงคุกเข่าโขกหัว ข้ายอมเรียกเจ้าว่าท่านปู่เลย!” ซู่หลีม่อไม่เกรงกลัว ดูมั่นใจยิ่งนัก
ชายใบหน้าลายงูยิ้มเยาะก่อนคว้าด้ามดาบไว้ พริบตาที่สัมผัสดาบก็รู้สึกแปลก ๆ แต่ก่อนจะทันได้ตอบสนองก็ได้ยินเสียงซู่หลีม่อดังขึ้น “จับให้มั่นเล่า”
อะไรนะ?
จังหวะที่ชายใบหน้าลายงูจับตาม ซู่หลีม่อก็ยิ้มส่อความนัย เขาพลันปล่อยมือจากดาบราวกับจะมอบมันให้ชายใบหน้าลายงู
ในตอนที่ทุกคนยังมึนงงอยู่นั้นเอง พวกเขาก็เห็นชายหน้าลายงูสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนร่างทั้งร่างจะทรุดฮวบลงกับพื้นแล้วร้องเสียงโอดโอย
“พี่แปด เกิดอะไรขึ้น?” ชายลายสักแมงป่องร้องเสียงตกใจแล้วรีบวิ่งเข้าไปช่วยสหายตนทันที
จนมาถึงตัวชายใบหน้าลายงูจึงพบว่าอีกฝ่ายหน้าขาวซีดนัก บนหน้าผากมีเหงื่อเย็นผุขึ้นประปราย มือข้างที่จับดาบถูกตัวดาบทับนิ่งสนิทอยู่กับพื้น ก่อนจะเค้นคำพูดออกจากฟันที่กัดแน่น “ดาบนี่….. หนักนัก!”
ชายลายสักแมงป่องขมวดคิ้ว แล้วลองยกดาบดู แต่น่าแปลกที่มันไม่ขยับแม้แต่น้อย
“ไอ้หนู! เจ้าหลอกพวกข้า!”
ซู่หลีม่อเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าใสซื่อ “ข้าจะหลอกได้อย่างไร? ตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือว่าพวกเจ้าแค่ดึงดาบออกมาได้เป็นพอ? แล้วแปดปีศาจแดนสีเลือดอันเลื่องชื่อจะไม่อาจแม้จะถือดาบเล่มหนึ่งได้อย่างไรกัน?”
ทุกคนพากันมองหน้ากันนิ่ง ดูแล้วดาบนี่คงไม่ธรรมดาอย่างที่ตาเห็นเป็นแน่! กระทั่งพวกปีศาจยังไม่อาจถือมันไว้ได้
พี่ใหญ่ของแปดปีศาจแดนสีเลือดคือชายที่มีลายมังกรดำอยู่บนหน้า คล้ายกับจะเป็นคนที่มั่นคงสำรวมตัวที่สุดในหมู่พวกมัน อีกทั้งเขายังมีพลังที่ล้ำลึก
เขาเดินเข้ามาช้า ๆ รวมแรงไว้ที่แขน ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วยกดาบขึ้น
“หากข้าเป็นคนดึงดาบจะยังนับหรือไม่?”
เมื่อครู่เป็นชายใบหน้าลายงูที่เป็นคนท้าเดิมพัน ไม่ใช่เขา ดังนั้นเขาจึงถามก่อน
ใจทุกคนราวกับถูกบีบทันที
ซู่หลีม่อหน้าไม่เปลี่ยน เงยหน้าขึ้นตอบ “ย่อมนับ”
ได้ยินแล้วอีกฝ่ายจึงมีสีหน้าทะมึนลง ใช้มือหนึ่งถือดาบก่อนจะใช้มืออีกข้างจับด้ามดาบแล้วดึงออกอย่างแรง
ไร้ปฏิกิริยาใด
เขายังคงมึนงงอยู่เล็กน้อย ก่อนจะดึงออกมาสุดแรงอีกครา ราวกับฝักดาบเชื่อมกับด้ามจับ ไม่ขยับแม้แต่น้อย
เป็นไปได้อย่างไร?
ผู้อาวุโสสำนักละอองหมอกต่างมีใบหน้าครุ่นคิด
ซู่หลีม่อกล่าวว่าดาบเล่มนี้ออกจากฝักเพียงสองครั้งในสิบปีที่ผ่านมา พวกเขายังจำช่วงที่สำนักละอองหมอกเกิดการผลัดเปลี่ยนหัวหน้าสำนักได้ดี
ท่านเจ้าสำนักคนก่อนถูกลอบสังหาร คนหลายฝ่ายต่างจ้องตำแหน่งตาเป็นมัน เจ้าสำนักคนใหม่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระแสอำนาจหลายกระแส ก็ไม่อาจทำสิ่งใดด้วยตัวคนเดียวได้มาก ซู่หลีม่อเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์เมื่อตอนนั้น ใช้ดาบหน้าตาไม่โดดเด่นเล่มนี้ล้างสำนักละอองหมอกจนเต็มไปด้วยเลือด ทำให้คนหลายคนตกอยู่ในความหวาดกลัวแทบเสียสติ
ชายหนุ่มที่เพิ่งจะอายุได้ไม่เท่าไร กลับน่าเกรงขามกว่าวิญญาณจากนรก ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ทำท่าเย่อหยิ่งเช่นนี้ได้ทุกประการ
เมื่อแปดปีศาจแดนสีเลือด เห็นว่ากระทั่งพี่ใหญ่ยังไม่อาจดึงดาบออกมาได้หนึ่งในนั้นก็พ่นลมหายใจเย้ยหยันออกมา “ไม่ใช่ว่าดาบเล่มนี้เป็นเพียงดาบที่ไม่อาจดึงออกได้ตั้งแต่แรกแล้วหรอกหรือ?”
ซู่หลีม่อหัวเราะเยาะแล้วดึงดาบตนกลับ เบนสายตาไปมองคนที่เอ่ยขึ้นเมื่อครู่ “ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นก็ได้ แต่เกรงว่าเจ้าคงไม่อาจรับผลที่ตามมายามดาบออกจากฝักไหว เกิดเรื่องแล้วอย่าโทษว่านายท่านผู้นี้รังแกเจ้าก็แล้วกัน”
“เจ้า!” เขาโกรธจัดจนเกือบจะออกกระบวนท่าใส่ซู่หลีม่อ แต่ถูกชายลายสลักรูปมังกรรั้งไว้
เขามองดาบเล่มเก่าเกรอะกรังนิ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา “คู่ต่อสู้อันมากความสามารถของเรามีพลังบำเพ็ญลึกล้ำ ต่อหน้าเขาเราย่อมด้อยพลังกว่า สำนักละอองหมอกนับเป็นสำนักที่เยี่ยมยุทธ์ที่สุดในดินแดน สมชื่อเสียงเรียงนามแล้ว”
เมื่อคำพูดที่คล้ายกับเป็นการเอ่ยยอมแพ้ดังขึ้น ไม่เพียงแต่คนในแปดปีศาจตกใจ แต่คนสำนักละอองหมอกเองก็ยังชะงักไปเช่นกัน
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
พวกเขาตัดใจคิดสู้จนตัวตาย แต่ปีศาจพวกนี้กลับยอมแพ้ไปเองเสียอย่างนั้น
“พี่ใหญ่! ท่านพูดอะไร!? นี่มันเรื่องน่าขันอะไรกัน!? พวกเรายังสังหารขยะพวกนี้ไม่หมดเลยนะ!” ชายใบหน้าลายงูร้องเสียงดังขึ้นด้วยความไม่อยากเชื่อ พี่ใหญ่ที่เขาชื่นชมมาโดยตลอดเป็นคนที่ทรงพลังถึงเพียงนั้น เขาจะทำเรื่องขี้ขลาดอ่อนแอได้อย่างไรกัน? เช่นนี้เป็นเหมือนสาดน้ำเย็นดูถูกดูแคลนพวกเขาทั้งกลุ่มไม่มีผิด!
“หุบปาก” ชายที่เป็นพี่ใหญ่เอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปยังซู่หลีม่อที่มีใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ “แม้พวกเราจะล่วงเกินสำนักละอองหมอกไปในครั้งนี้ แต่ก็นับว่าช่วยสำนักพวกเจ้ากวาดล้างศิษย์ที่ไร้ความสามารถอย่างแท้จริงออกไป ดังนั้นจึงนับว่าไร้สิ่งใดติดค้างต่อกัน จบเรื่องราวลงที่ตรงนี้ได้กระมัง?”
ทุกคนยิ่งสับสนหนักกว่าเก่า ยังไม่ทันได้ลงมือกับอีกฝ่าย แปดปีศาจแดนสีเลือดก็วิ่งหนีไปเสียดื้ออย่างนี้หรือ? แค่ดึงดาบซู่หลีม่อออกมาไม่ได้มันน่ากลัวถึงเพียงนั้นเลย? แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่รู้ถึงความนัยลึกล้ำแน่นอน
ซู่หลีม่อจึงกลายเป็นผู้มีสิทธิ์ในการตัดสิน สำนักละอองหมอกไปโดยปริยาย เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าเขากลับไม่แสดงความประหลาดใจออกมาแม้แต่น้อย ราวกับเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้แล้วทุกประการ “ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ แต่พวกเจ้าทุกคนต้องตกลงตามนี้ นับจากนี้ต่อไปหากเจ้าพบศิษย์สำนักละอองหมอกต้องไม่เข้าใกล้และอย่าล่วงเกินพวกเขา”
“พวกข้าจะทำตามคำขอ”