สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 125 เด็กหนุ่มยอดนิยม
บทที่ 125 เด็กหนุ่มยอดนิยม
แปดปีศาจแดนสีเลือดมาก่อกวน และพ่ายแพ้จากไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเห็นพี่ใหญ่ตนกระทำเรื่องขี้ขลาดเช่นนั้น หลายคนจึงรู้สึกไม่พอใจนัก
มีอย่างที่ไหน ให้พวกเขาวิ่งหนีหางจุกก้นเช่นนี้? นับเป็นเรื่องเสื่อมเสียยิ่งนัก!
“พี่ใหญ่ ข้าทนไม่ไหวแล้ว ท่านบอกเหตุผลที่ยอมก้มหัวให้พวกขยะเหล่านั้นมาได้หรือไม่? เราสังหารมันทิ้งหมดได้เลยด้วยซ้ำ!” ชายหน้าลายงูอารมณ์ร้อน ในที่สุดก็อดทนโพล่งถามขึ้นมาไม่ไหว
คนอื่น ๆ ก็อยากถามพี่ใหญ่ตนเช่นกัน พี่ใหญ่ของพวกเขามีสายตากว้างไกล ฝีมือเกินหยั่งถึง คิดว่าคงต้องมีเหตุผลแน่ ดังนั้นจึงไม่กล้าเอ่ยถามขึ้นมา
ได้ยินแล้วชายผู้เป็นผู้นำก็มีสีหน้าทะมึนลง “พวกเจ้าคิดว่าตอนที่เขาบอกว่าหากดาบออกจากฝักแล้ว พวกเราคงไม่อาจรับผลไหวเป็นเพียงเรื่องตลกหรือ?”
“แล้วมิใช่หรือ?” ชายหน้าลายงูถามกลับด้วยใบหน้าไม่ใส่ใจ “แม้ดาบนั่นจะแปลก ๆ แต่ก็เป็นเพียงดาบเล่มหนึ่งเท่านั้น! ด้วยพลังบำเพ็ญของพวกเราแล้วไม่พอจะต้านทานดาบสักเล่มหนึ่งเลยหรือ?”
“มีตำนานเล่าขานมาเมื่อหลายปีก่อน เมื่อครั้งที่สวรรค์แยกพื้นดินแตกสลาย มีดาบอันเลื่องชื่อนามว่า หุบเหวมืด ได้ถือกำเนิดขึ้น ยามมันอยู่ในฝักดาบก็ดูคล้ายดาบธรรมดาทั่วไป ดูเก่าคร่ำครึ ไม่โดดเด่นสะดุดตา แต่เมื่อมันออกจากฝักดาบก็จะเผยความสามารถที่แท้จริง ต้องสังเวยเลือดคนนับหมื่นเพื่อให้มันพึงพอใจ กวาดล้างสังหารคนที่ยืนขวางทางมันจนสิ้นซาก เป็นดาบของปีศาจโบราณ นอกจากเจ้าของแล้วก็ไม่อาจมีใครดึงมันออกจากฝักได้อีก”
ได้ยินดังนั้นหลาย ๆ คนก็มีสีหน้าประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่า….. ดาบของเจ้าเด็กนั่นคือดาบหุบเหวมืด? แต่เขาดูมีอายุเพียงยี่สิบนิด ๆ จะมีดาบเช่นนั้นได้อย่างไร!?”
“ข้าแตะมันด้วยมือตนเอง ข้ามั่นใจว่าไม่ผิดแน่” เขาหรี่ตาลง “แม้จะอยู่ในฝักแต่ก็ทรงพลังนัก หากมันเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ข้าไม่อาจคิดได้ว่ามันจะน่ากลัวถึงเพียงไหน ต่อให้พวกเรารวมพลังกันก็ไม่อาจต้านมันได้ อีกทั้งนอกจากเด็กคนนั้นกับดาบแล้วก็ยังมีจอมยุทธ์ฝีมือดีอีกหลายคนที่ฝีมือทัดเทียมเรา หากพวกเราปะทะกับเขาจริงก็คงมีแต่สูญเสีย”
“แต่ยอมแพ้ไปเช่นนั้นนับว่าเสียหน้านัก” ชายหน้าลายงูยังคงเอ่ยเสียงไม่พอใจ
“คนเราต้องรับมือเรื่องไม่น่าอภิรมย์ด้วยความใจเย็น สักวันจะเป็นโอกาสของเราเอง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจนเกินไป” ชายใบหน้าลายมังกรเอ่ยเสียงเบา ก่อนที่มุมปากจะยกเป็นยิ้มหนึ่ง
เมื่อแปดปีศาจแดนสีเลือดออกจากป่าโคลนสาบสูญไปแล้ว ศิษย์สำนักละอองหมอกส่งเสียงโห่ร้องออกมา ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะสามารถหลีกหนีเภทภัยในวันนี้ไปได้ นับเป็นโชคดีจริง ๆ
หากไม่ได้ซู่หลีม่อก็คงเอาชีวิตไม่รอดไปแล้ว ทุกคนจึงมองเขาราวกับเทพเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า สายตาเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ แม้อีกฝ่ายจะเจ้าอารมณ์ทั้งยังเย่อหยิ่งนัก แต่ก็ไม่อาจขัดสายตาแห่งความนับถือบูชาจากศิษย์ทั้งหลายได้เลย
เหล่าคนที่คิดมาดูการแสดงทั้งหลายที่รอดชีวิตมาได้ ต่างประกาศว่าพวกตนจะเข้าร่วมการประลองเข้าสำนักละอองหมอก หากมีคนมากฝีมืออยู่ในสำนักเช่นนี้ แค่ได้อยู่สำนักเดียวกับเขาก็เอาไปโอ้อวดได้มากแล้ว!
“อืม น่าสนใจ” ชิงอวี่เลิกคิ้วมองเด็กหนุ่มที่ยืนทำหน้าตื่นเต้นข้าง ๆ “ดูท่าจะไม่ได้มาเสียเปล่า”
“ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นซู่หลีม่อแห่งสำนักละอองหมอกที่ชนะกว่าสามร้อยการประลอง แต่เขาดูยังหนุ่มมากเลยไม่ใช่หรือ?” ชิงเป่ยเอ่ย ดูเสียใจเล็ก ๆ
ชิงอวี่หัวเราะ “เขาอายุมากกว่าเจ้าตั้งหลายปี เจ้าเองก็ฝีมือไม่ต่ำต้อยนี่? เหตุใดจึงต้องอิจฉาเขาด้วย?” พูดแล้วนางก็กวาดสายตามองประเมินกลุ่มคนที่กำลังสนทนากันอยู่ นัยน์ตานางพลันเป็นประกาย “เรื่องเกิดขึ้นในสำนักละอองหมอกวันนี้ ข้าว่าในสำนักคงมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ ความยากในการประลองเข้าสำนักคงมากขึ้น คงมีคนผ่านเข้าไปได้ไม่มากเป็นแน่”
ศิษย์หลายคนล้มตาย อีกหลายคนถูกไล่ออกจากสำนักไป ในสำนักจึงเหลือศิษย์น้อยกว่าสามร้อยคน คนที่เหลือคือผู้โดดเด่นเหนือใคร การประลองเข้าสำนักในครั้งนี้นับว่าต้องมีความโดดเด่นอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นคงผ่านไปไม่ได้
ชิงเป่ยหน้าเครียดขรึมในพลัน นัยน์ตาฉายแววระแวง “ข้าผ่านไปได้แน่”
ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ประหลาดใจที่เด็กหนุ่มตั้งใจอยากเข้าสำนักละอองหมอกถึงเพียงนี้ ก่อนจะเผยยิ้มปลอบประโลมให้ นับตั้งแต่ที่นางได้เห็นสีหน้าเสียใจ และนัยน์ตาอดทนอดกลั้นของเด็กหนุ่มเมื่อครั้งอยู่ในกองไฟ นางก็รู้แล้วนี่นาว่าเด็กคนนี้ต่อไปคงไม่ธรรมดาเป็นแน่?
อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสจินกำลังเอ่ยถ้อยคำเทศนาด้วยคำบาดหูแต่ก็ฟังดูอบอุ่นใจ “ในเมื่อกลับมาแล้ว เช่นนั้นก็จับตาดูการประลองเข้าสำนักที่จะถึงให้ดี ข้ามั่นใจว่าเจ้ามีสายตาเฉียบแหลม เลือกคนมีความสามารถได้”
ซู่หลีม่อเบิกตากว้างยามได้ยิน “เหตุใดข้าต้องคอยดู? ไม่ใช่ว่ามีผู้อาวุโสและเหล่าอาจารย์คอยดูก็พอแล้วหรือ?”
“หากไม่มีศิษย์พี่ใน 5 อันดับอยู่ด้วย เจ้าเด็กพวกนั้นจะรู้สึกกดดันได้อย่างไร? คงได้คิดว่าเข้าสำนักละอองหมอกมันง่ายนัก” ผู้อาวุโสจินอธิบาย
ซู่หลีม่อหลุดเสียงหัวเราะ “พรืด” เสียงดัง “ผู้อาวุโส ท่านคิดว่าจะพบเด็กที่มีความสามารถเช่นข้าผู้นี้ได้หรือ? ท่านเล่นตลกแล้ว อีกอย่างหากข้าไปจริงก็คงได้แต่ทำให้พวกเขากลัวจนวิ่งหนีไปหมดกระมัง”
จากนั้นก็เหลือบมองไปยังลั่วหลานจือที่ดูอ่อนโยน “เขาก็อยู่ด้วยนี่? ทั้งอันดับสูงกว่าข้า อีกทั้งยังน่ากลัวข่มขวัญกว่าข้าด้วย ปล่อยให้คนมีความสามารถมากกว่าทำงานเถอะ!”
พูดจบก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกบางอย่างออก กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยใบหน้าฉงนเล็กน้อย “ไปไหนกันแล้วเนี่ย?”
เขาเพิ่งจะผูกมิตรกับทั้งสองคน แต่พวกเขากลับจากไปไม่ลา เช่นนี้ไม่เกินไปหน่อยหรือ!?
“เจ้ามองหาอะไร?” ผู้อาวุโสจินถามขึ้นเมื่อได้เห็นสีหน้าฉงนที่หาได้ยากของอีกฝ่าย
ซู่หลีม่อขมวดคิ้ว “ข้าทำความรู้สึกกับเจ้าเด็กสองคนไว้ ดูท่าจะมีฝีมือไม่น้อย หนึ่งในนั้นยังมีสายตาเฉียบคมนัก…..”
เขามองไปยังเหลียนฉ่าวเจี๋ยที่นอนใกล้ตายอยู่บนพื้น “บอกได้ทันทีว่าเขาขาดตกบกพร่องที่สิ่งใด แม้แต่จินเจ๋อเฮ่าตอนถูกคนอื่นควบคุม จินเจ๋อเฮ่าตอนนั้นก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี”
หรงอี้ที่เงียบมานานได้ยินแล้วจึงเอ่ยปาก “คนที่ศิษย์พี่พูดถึง ใช่เด็กหนุ่มที่มีใบหน้างดงามหรือไม่?”
“หือ? เจ้ารู้ได้อย่างไร??” ซู่หลีม่อถามสีหน้าประหลาดใจ เด็กคนนั้นหน้าตางดงามกว่าสตรีทั้งหลายเสียอีก
ผู้อาวุโสจินเอ่ยขึ้นในที่สุด “เจ้าพูดถึงคุณชายน้อยนี่เอง เมื่อครู่เขาช่วยพยุงอาการเหลียนฉ่าวเจี๋ยไว้ ไม่เช่นนั้นคงได้ตกตาย ร่างระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปแล้ว”
“อึก…..”
เสียงร้องเบา ๆ ดังขึ้นในพลัน
พวกเขาจึงหันไปมอง พบว่าเหลียนฉ่าวเจี๋ยลืมตาขึ้นแล้ว แม้ใบหน้าจะยังซีดขาว แต่บาดแผลก็ไม่สาหัสอีกต่อไป
“เกิด…..” ผู้อาวุโสจินมีสีหน้าตกตะลึง “ฟื้นแล้วหรือ?”
หรงอี้ “ยาคงออกฤทธิ์กระมัง ดูท่าว่า…..”
เขาหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองผู้อาวุโสจินที่มีสีหน้าตื่นตะลึง “เด็กคนนั้นจะเป็นนักปรุงยาจริง ๆ ทั้งยังระดับสูงไม่น้อย”
บุตรชายของผู้อาวุโสจิน จินเจ๋อเฮ่า ไม่คิดสนใจเรื่องปรุงยาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงไร้วิชาการปรุงยาติดตัว ไม่อาจสานต่อความรู้ของบิดาตนได้
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ในภาควิชานักปรุงยา ผู้อาวุโสจินมีศิษย์หลายสิบคนที่เก่งกาจด้านการแพทย์ โดยเฉพาะศิษย์คนโตสุด ถานหลินรั่ว ที่เป็นนักปรุงยาระดับทองคำชั้นหนึ่ง ปีนี้เพิ่งจะมีอายุได้ยี่สิบเท่านั้น
เด็กหนุ่มชุดขาวดูท่าจะมีอายุเพียงสิบสี่สิบห้า แต่กลับมีระดับนักปรุงยาสูงกว่าถานหลินรั่วนัก นับเป็นตัวอย่างอันดีของเด็กรุ่นใหม่มากความสามารถ
หลังจากชะงักไประยะหนึ่ง ผู้อาวุโสจินก็หลุดออกจากภวังค์ สีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดี “ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะเข้าร่วมการประลองเข้าสำนักละอองหมอกในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าหรือไม่ แต่หากเขามา ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์หรือด้วยกล ข้าจะลากเขามาเข้าภาควิชานักปรุงยาของข้าให้ได้”
ซู่หลีม่อหัวเราะ “ผู้อาวุโสจิน ท่านอย่าเพิ่งคิดอันใดเร็วไป ข้าเห็นว่าเด็กคนนั้นมีฝีมือ พลังบำเพ็ญไม่ต่ำต้อย เดินไปทางไหนย่อมส่องประกายความโดดเด่น เตะตาอาจารย์ท่านอื่น ๆ อีกเป็นแน่”
“ชายชราผู้นี้หมายมั่นปั้นมือแล้วว่าจะรับเด็กคนนั้นเข้าสำนักให้ได้ เด็กที่มีความสามารถเช่นนั้นย่อมต้องมาอยู่ภาควิชานักปรุงยาเพื่อให้พัฒนาฝีมือได้ดีกว่าเดิม” ผู้อาวุโสจินเอ่ยเสียงมุ่งมั่น “ในเมื่อเรื่องวันนี้จบลงแล้ว กลับสำนักละอองหมอกแล้วไปทำรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเถอะ ได้เวลาเตรียมการประลองเข้าสำนักแล้วด้วย”
จากนั้นคนอื่น ๆ จึงแยกย้ายกันไป เยี่ยนหนิงลั่วเดินรั้งท้าย ขมวดคิ้วมุ่น ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไร
“หนิงลั่ว เป็นอะไรไป? เจ็บแผลหรือ?” เจียงอี้หานถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นรอยแผลแดงสองเส้นอยู่บนแขนอีกฝ่าย
เยี่ยนหนิงลั่วส่ายหน้า ก่อนจะตอบเสียงเรียบในอีกกว่าอึดใจ “จู่ ๆ จำนวนศิษย์ลดลงมากเช่นนี้ หลังรับคนเข้าสำนักใหม่คงจะมีการประลองขึ้นอีกครั้ง การประลองรอบที่สองนี่ล่ะคือการประลองของจริง”
การประลองในวันนี้มีความหมายแฝงอยู่ด้วย
ตอนนี้นางอยู่ที่อันดับ 9 นับเป็นตำแหน่งที่ล่อแหลม อีกทั้งเมื่อได้เห็นฝีมือของคนทั้งสองที่อยู่ใน 5 อันดับแล้ว สองคนนั้นก็เก่งสมคำร่ำลือจริง ๆ
แค่ดาบเล่มเดียว ซู่หลีม่อก็กดดันให้แปดปีศาจแดนสีเลือดล่าถอยไปได้ ลั่วหลานจือเองก็สังหารค้างคาวและงูนับพันตัว ทั้งที่ใช้เพียงเสียงในการโจมตีเท่านั้น ถือว่าเป็นฝีมือเหนือชั้นไม่มีใครเทียบติด
นางมาเรียนรู้อยู่ที่สำนักละอองหมอกตั้งแต่นางอายุ 6 ขวบ เป็นช่วงที่สำนักกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ นางจึงเป็นศิษย์สายรองอยู่สามปี ก่อนจะได้เลื่อนฐานะเป็นศิษย์สายหลัก อันเป็นผลมาจากหยาดเหงื่อแรงกายที่นางใส่ใจมากกว่าใครอื่น
ด้วยบุรุษที่นางหลงรักนั้นโดดเด่นเหนือใคร นางจึงต้องทำตนให้แข็งแกร่งเพียงพอ จึงจะเหมาะสมที่จะยืนเคียงข้างเขาได้
ดังนั้นนางจึงอยากแข็งแกร่งขึ้น จนกระทั่งสามารถผงาดขึ้นมาในสำนักละอองหมอก แต่หลังจากได้เห็นซู่หลีม่อและลั่วหลานจือในวันนี้ ความหยิ่งยโสของนางก็คล้ายกับจะพังทลายลงในพริบตา ความแตกต่างระหว่างนางกับพวกเขามีมากเกินไป
“เจ้ากลัวว่าจะเกิดการเปลี่ยนอันดับแล้วถูกบีบออกไปหรือ?” เสิ่นจิงเลิกคิ้วถาม ดูท่าจะเดาถูกว่านางกำลังกังวลกับสิ่งใด จากนั้นนางจึงเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “เห็นเจ้ากังวลถึงเรื่องนี้ เจ้าไม่รู้หรือไรว่าเจ้าเป็นเพียงสตรีหนึ่งเดียวใน 10 อันดับ?”
นางมั่นใจในตัวเยี่ยนหนิงลั่วมาก การจะโดดเด่นเหนือขึ้นมาจากศิษย์คนอื่น ๆ ในสำนักที่มีอยู่มากมาย ไต่ขึ้นมาจนถึง 10 อันดับแรกย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
เยี่ยนหนิงลั่วไม่เอ่ยคำใด พวกนางย่อมไม่รู้ว่าตัวนางกำลังกังวลสิ่งใดกันแน่
ไม่นาน หลังจากรับศิษย์ใหม่เข้าสำนักแล้ว เหล่าศิษย์ฝีมือดีที่ท่องใต้หล้าอยู่ก็จะพากันกลับมายังสำนัก ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึง 10 อันดับ แค่หมายจะเอื้อมให้ถึง 20 อันดับยังยากนัก หากเป็นเช่นนั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวว่าพวกที่อยู่ 20 อันดับจะรู้สึกไม่มั่นคงเช่นไร ยามเวลานั้นมาถึง แค่ชื่ออยู่ติดอันดับ 100 แรกก็นับว่าดีมากแล้ว
เยี่ยนหนิงลั่วยังคงเดินรั้งท้ายกลุ่มต่อไป ได้ยินผู้อาวุโสจินและคนอื่น ๆ คุยกันเรื่องเด็กหนุ่มผู้งดงามทั้งยังมีวิชาแพทย์สูงส่ง เห็นผู้อาวุโสจินถอนหายใจด้วยความชื่นชมมากเช่นนั้น ดูท่าจะชื่นชมเด็กหนุ่มคนนั้นมาก
นัยน์ตานางทะมึนลง ไม่รู้เพราะเหตุใด แม้นางจะไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร แต่นางกลับรู้สึกถึงความคุ้นเคยผุดขึ้นในใจ