สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 126 หนี
บทที่ 126 หนี
หยุดพูดถึงเรื่องในดินแดนระดับล่างสักเล็กน้อย ดูท่าจะมีเรื่องบางอย่างกำลังร้อนระอุอยู่บนแดนเมฆาสวรรค์อย่างลับ ๆ ขึ้นอีกครา
นับตั้งแต่เจ้าแคว้นฟื้นจากความตาย กลายเป็นแข็งแกร่งกว่าเก่า แคว้นมารก็แข็งแกร่งขึ้นมาก ขุมอำนาจใดก็ไม่กล้ามาล่วงเกินอีกต่อไป กระทั่งสมาพันธ์นักล่าที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับแคว้นมารมาโดยตลอดก็ยังเงียบหายไปอยู่บ้าง ด้วยได้ยินข่าวลือว่าเจ้าแคว้นมารเป็นคนแค้นฝั่งหุ่น หากใครกล้าทำให้เขาขุ่นเคืองใจ คงไม่อาจจินตนาการถึงผลลัพธ์ได้
หลายเดือนที่ผ่านมา แคว้นมารทำเพียงขยายอิทธิพลออกไป ยังไม่ได้วางแผนล้างแค้นสักนิด คนภายนอกกล่าวกันว่าท่านจอมมารไม่คิดล้างแค้นผู้ที่ล่วงเกินเป็นเพราะเผยความเมตตา แต่กลับไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วท่านจอมมารนั้นออกจากแคว้นมารไปนานแล้ว ไม่ได้อยู่กระทั่งบนแดนเมฆาสวรรค์
“จะทำอย่างไรดี? ไม่ต้องแจ้งนายท่านตอนนี้หรือ? นายท่านใส่ใจคนผู้นั้นมาโดยตลอดนะ?”
สวินลั่วเผยสีหน้าเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย สองสามวันที่ผ่านมาเขาไม่สบายใจนัก ส่งผลให้เกิดถุงใต้ตาสีดำเป็นวงใหญ่
ในห้องโถงใหญ่คือคนกลุ่มเดิม เม่ยจี ปีศาจน้อย และชายสวมชุดคล้ายบัณฑิต
เม่ยจีส่ายหัวเล็กน้อย “เราควร….. ลองออกตามหาดูก่อน หากนายท่านรู้เรื่องนี้เข้า จนอาจจะระเบิดอารมณ์ได้ ข้าหวังว่าเราจะสามารถแก้ไขปัญหา….. ก่อนนายท่านจะรู้เรื่องนี้”
“แต่ก็ผ่านมาเจ็ดแปดวันแล้ว ยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย ข้าไม่กล้าหวังว่าจะได้ข่าวดีแล้ว” สวินลั่วเอ่ยเสียงเศร้า ก้มหน้าลงต่ำ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะมีชีวิตชีวาพลันสูญเสียพลังชีวิต ไม่รู้ว่าเป็นเพราะที่นอนไม่หลับมาหลายวันหรือเป็นเพราะความกลัวกันแน่
เพราะอย่างไรเขาก็นึกภาพออกว่าหากนายท่านรู้เรื่องนี้เข้าจะโกรธเกรี้ยวถึงเพียงไหน และอาจมองว่าตนไม่ได้ทำหน้าที่ของตนดีพอ พวกเขาอยู่กันมากมายแต่กลับปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้
ชายคล้ายบัณฑิตนั่งขมวดคิ้วไม่เอ่ยปาก ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
ส่วนชายหนุ่มที่รูปลักษณ์คล้ายกับเทพเซียน มีชื่อเล่นว่าปีศาจน้อย นั่งตัวตรง นัยน์ตาสีแดงใสกระจ่างบริสุทธิ์ แต่กลับมองแล้วอ่านความใดไม่ออก
ริมฝีปากสีชมพูเผยอออกเล็กน้อย ก่อนน้ำเสียงน่าฟังเรียบเรื่อยจะเอ่ยออกมา “รอดูอีกสักสองสามวัน หากยังไร้ผลก็ยังไม่สายเกินกว่าจะรายงานนายท่าน”
ปีศาจน้อยมักรับหน้าที่เป็นมันสมองของกลุ่ม ดังนั้นคำพูดคำจาจึงน่าเชื่อถือ ได้ยินแล้วคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้เอ่ยค้านอะไร
แต่เป็นเพราะช่วงนี้พวกเขาเคลื่อนไหวบ่อยครั้ง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าจะปิดเรื่องนี้ไว้ได้อีกนานเท่าไร
——————————–
อีกด้านหนึ่ง ที่อารามจันทร์กระจ่าง ผู้คนคุกเข่าอยู่ทั่วพื้น ตัวสั่นงันงก ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ภายใต้ชั้นผ้าม่านที่ดูลึกลับชวนฝัน เงาดำของหญิงสาวกำลังเอนร่างอยู่บนที่นั่งนุ่ม แม้จะไม่อาจเห็นใบหน้าของนาง แต่ก็มองออกไม่ยากว่านางเป็นโฉมงามคนหนึ่ง
น้ำเสียงนุ่มละมุนพลันดังทะลุผ่านม่านออกมา “ข้าผู้นี้ไม่ลงมือสังหารคนตามใจอยาก ข้าเพียงให้พวกเจ้าบอกมาว่าใครที่แอบเข้าไปยังห้องป้ายวิญญาณ ไม่เช่นนั้น…..”
นิ้วเรียวงามดั่งหยกยื่นออกมาจากแขนเสื้อยาว เล็บที่แต้มด้วยสีแดงเพิ่มความเย้ายวนงดงามให้มืองาม พลันยกขึ้นแตะด้านข้างริมฝีปากที่ยกยิ้มเป็นรอยยิ้มยวนใจหนึ่ง “ข้าผู้นี้เพิ่งคิดค้นคำสาปใหม่ขึ้นมาได้ เป็นคำสาปที่มาจากหนอนกู่คำสาปที่ทรงพลังที่สุด กลืนกินพวกเดียวกันนับพันนับหมื่นตัวเพื่อเปลี่ยนตนเองเป็นราชันหนอนกู่คำสาป ข้าบังเอิญ….. สงสัยอยู่พอดีว่ามันจะมีพลังสักเพียงไหนกัน”
“ท่านเจ้าอาราม! ไว้ชีวิตข้าเถอะ! หากไร้คำสั่งจากท่าน ข้าน้อยไม่กล้าแม้แต่จะเหยียบย่างเข้าห้องป้ายวิญญาณ ขอท่านเจ้าอารามโปรดตรวจสอบให้ถ้วนถี่!” ที่ด้านล่างแท่นสูง สตรีในชุดคลุมดำ ดูท่าทางอายุยังน้อยเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าก้มต่ำ
“งั้นหรือ? เช่นนั้นแปลว่าไม่มีใครเข้าไปหรือ?”
นางหัวเราะเสียงแผ่วเบาก่อนลุกขึ้น นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเฉียบคม น้ำเสียงชั่วร้าย “ข้าผู้นี้มีความอดทนจำกัด ก่อนข้าจะโกรธ คนที่เข้าไปโดยไร้คำสั่งจากข้า ให้ออกมายอมรับผิดเสียจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าทุกคนที่ทำหน้าที่เฝ้ายามล้มเหลวเช่นนี้จงตายไปให้สิ้น!”
“ท่านเจ้าอาราม…..”
“ข้าไม่อยากฟังคำแก้ตัวแล้ว! พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าในนั้นมีคนสำคัญมากคนหนึ่งถูกกักขังอยู่?” หญิงสาวเอ่ยขัดคนที่กำลังคิดจะอธิบาย
“ทั่วทั้งอารามจันทร์กระจ่าง นอกจากข้าที่สามารถยับยั้งนางไว้ได้แล้ว พวกเจ้าเข้าไป หากพลาดเพียงนิดก็มีแต่จะเปิดทางให้นางหาทางใช้ประโยชน์ ตอนนี้นางหลบหนีออกไปแล้ว เมื่อไรที่นางรวมร่างวิญญาณของนางจนครบ ฟื้นคืนพลังบำเพ็ญในร่างเมื่อครั้งยังมีฝีมือเก่งกล้า อารามจันทร์กระจ่างย่อมต้องประสบเภทภัยเป็นแน่!”
นางพูดจบแล้ว คนที่คุกเข่ากันอยู่ด้านล่างก็ต่างมีสีหน้าแตกตื่นตกใจ
พวกเขาต่างคิดว่าท่านเจ้าอารามเดือดดาลถึงเพียงนี้ เป็นเพราะมีคนเข้าไปในห้องป้ายวิญญาณโดยไร้คำสั่ง ไม่คิดเลยว่าที่นั่นจะมีความลับซุกซ่อนอยู่ ไม่แปลกเลยที่พวกเขาถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้ห้องนั้น ใครที่ขัดคำสั่งจะถูกสังหาร
ในตอนที่บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นกดดันสุดขีด ร่างสวมชุดคลุมสีขาวท่ามกลางเหล่าคนที่คุกเข่าก็พลันลุกขึ้นยืน
ด้วยนางสวมผ้าคลุมศีรษะ จึงไม่อาจเห็นหน้านางได้อย่างชัดเจน เป็นตอนที่นางเงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นใบหน้างามได้เด่นชัด นัยน์ตางามกระจ่าง ดูยังเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง ดูน่ารักน่าหลงใหลไม่น้อย
ทุกคนต่างสับสนกับการกระทำของนาง หากแต่นางกลับหัวเราะขึ้นมาก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบที่ไม่เหมาะกับอายุ “ท่านเจ้าอารามก็หวาดกลัวเป็นงั้นหรือ?”
สตรีหลังม่านขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าหรือ?” หญิงสาวคลี่ยิ้ม “ท่านย่อมจำข้าไม่ได้อยู่แล้ว ทำร้ายคนมามากจนกระทั่งไม่อาจจำใบหน้านี้ได้แล้วกระมัง!”
นางแตะใบหน้าตนแผ่วเบา “เดิมทีข้ามีใบหน้างดงามนัก ทั้งยังมีน้ำเสียงเย้ายวน เมื่อครั้งข้าอายุได้เจ็ดขวบ ท่านเห็นว่าข้ามีรูปร่างหน้าตาโดดเด่น จึงโยนข้าลงบ่องู จนถูกงูตัวหนึ่งกัดคอข้า ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด หนึ่งปีหลังจากนั้นข้าไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้เลย จนกระทั่งบัดนี้ข้าสามารถกลับมาพูดได้อีกครั้ง เป็นเพราะเส้นที่ลำคอได้รับบาดเจ็บ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่อาจพูดได้เช่นคนปกติอีกต่อไป”
“ท่านคงจะไม่คุ้นใบหน้านี้กระมัง! ก็คงจะใช่! เพราะพิษงูรุนแรงนัก ใบหน้าข้าจึงเปื่อยเน่ารุนแรง ผิวหนังลอกออก ข้ากล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บปวดเฉือนเนื้อตนออกแล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้าใหม่”
“ข้าคือคนที่ปล่อยคนที่ถูกขังไว้ในห้องป้ายวิญญาณเอง ไม่จำเป็นต้องดึงใครมาพัวพัน ข้ารู้ความคิดชั่วช้าสามานย์ของท่านจึงหลบซ่อนตัวมาจนถึงตอนนี้ วันที่ข้ารอมานานในที่สุดก็มาถึง นางเป็นสตรีที่ดีนัก ไม่ควรต้องถูกสตรีชั่วร้ายเช่นท่านทรมาน ข้าอาจไม่ได้อยู่เห็นวันที่ท่านล่มจม หากแต่….. ข้าจะรอท่านอยู่ในนรก รอดูท่านต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดทุกอย่าง ไม่อาจเกิดใหม่ไปชั่วนิรันดร์”
หญิงสาวค่อย ๆ พูดออกมาช้า ๆ ใบหน้างามพลันเผยรอยยิ้มโล่งใจเมื่อได้เป็นอิสระ ที่หน้าผากผ่องเห็นรอยเลือดไหลลงมาเป็นทาง ทันใดนั้นสีแดงฉานน่าขวัญผวาก็เลอะชุ่มทั่วใบหน้า เป็นภาพที่เกินกว่าจะทนมองได้ ร่างทั้งร่างค่อย ๆ หดเล็กพังทลายลงจนกระทั่งเหลือเพียงกองเลือดและชุดคลุมชุ่มโลหิต
ภาพสีแดงฉานครั้งนี้ฉาบลึกอยู่ในใจคนมอง
คนผู้หนึ่งเพิ่งจะกลายเป็นกองเลือดต่อหน้าต่อตาพวกเขา
นางถูกหนอนกู่ในร่างกัดกิน คำสาปน่าจะเริ่มตั้งแต่ชั่ววินาทีที่ในใจนางคิดหักหลัง แต่นางฝืนมันไว้ตลอด ดังนั้นจึงเพิ่งถูกกลืนร่างไปเมื่อครู่
ภายในอารามจันทร์กระจ่าง ทุก ๆ คนจะถูกฝังคำสาปไว้ในร่าง โดยคำสาปจะกลืนกินร่างเมื่อในใจเริ่มคิดทรยศหักหลัง ดังนั้นจึงไม่ค่อยเห็นคนทรยศในอารามจันทร์กระจ่างนัก
คนเราต่างรักชีวิต ดังนั้นไม่ว่าท่านเจ้าอารามจะอารมณ์ร้าย ลงมือสังหารคนไปมากเท่าไร หรือไม่ได้มองพวกเขาเป็นมนุษย์ พวกเขาก็ทำได้เพียงอดทนต่อไปเท่านั้น
เพราะหากถูกสังหารเข้า ก็จะไม่มีใครคอยปกป้องครอบครัวตนอีก คนข้างหลังต้องถูกผู้อื่นกลั่นแกล้งรังแก ท่านเจ้าอารามย่อมไม่ปล่อยไปเช่นกัน
ทุกคนรู้ดีว่าท่านเจ้าอารามแห่งอารามจันทร์กระจ่างนั้น เป็นโฉมสะคราญในแดนเมฆาสวรรค์ เพียงนางเหลือบมองแวบเดียวความงามของนางก็จับจิตจับใจผู้คน มีเพียงคนในอารามจันทร์กระจ่างเท่านั้นที่รู้ว่าโฉมงามผู้นั้นแท้จริงแล้วมีใจชั่วร้ายคล้ายพิษร้ายของแมงป่อง สายตานางไม่เห็นชีวิตคนเป็นเรื่องสำคัญ หากเพื่อเป้าหมายแล้วนางยอมทำลายสิ้น
แท้จริงแล้วตำแหน่งนี้ไม่สมควรจะเป็นของนาง แต่นางมีจิตใจชั่วร้ายเกินจะกล่าว ชั่วร้ายจนผู้คนไม่ทันคิดระวังตน ความกระหายอำนาจบดบังสายตานางจนมืดบอด ส่งผลให้นางลงมือก่อบาปทำชั่วไว้แทบจะทุกเรื่อง
———————————-
ที่ด้านตะวันตกของแดนเมฆาสวรรค์นั้นเป็นถิ่นของคนเถื่อน
เป็นชนเผ่าที่แยกตนเป็นสันโดษ ซ่อนตนในสถานที่ลึกลับซับซ้อน คนภายนอกไม่อาจล่วงรู้ ดังนั้นไม่ว่าขุมพลังจะต่อสู้แย่งชิงกันอย่างไร เผ่าคนเถื่อนก็ไม่ยุ่งเกี่ยว ไม่มีความเกี่ยวพันใดทั้งสิ้น
เป็นเพราะพวกเขาลึกลับเกินไปจึงไม่เคยมีใครพบมาก่อน ผู้คนต่างเล่าขานตำนานประหลาดมากมายเกี่ยวกับพวกเขา แตกต่างกันไปในแต่ละท้องที่ บ้างว่ามีหน้าเป็นมนุษย์แต่มีร่างเป็นอสูร หน้าตาอัปลักษณ์น่าหวาดกลัว จิตใจเรียบง่ายไม่ซับซ้อน หากแต่อารมณ์ร้าย ไม่เป็นมิตรกับคนอื่น ๆ
ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องเล่าเหล่านั้นเป็นความจริงบ้างหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งคือพวกเขาเป็นชนเผ่าที่ไม่เป็นมิตรกับคนนอก และมีข้อห้ามไม่ให้คนในเผ่าแต่งงานกับคนนอก ไม่เช่นนั้นจะถูกกฎเผ่าลงโทษ ส่วนคนนอกเผ่าจะถูกกำจัด
เป็นเวลาหลายร้อยปีที่คนเถื่อนเร้นกายอยู่ในทะเลทรายกว้างใหญ่ที่ไม่เคยมีผู้ใดย่างกรายเข้าไปมาก่อน เป็นเพราะสถานที่นี้มีเรื่องเล่าตำนานต่าง ๆ มากมายเกินไป
โดยเฉพาะยามพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า เมื่อมองไปยังรอบข้างที่มีแต่ผืนทรายสุดลูกหูลูกตา ก็คล้ายกับจะมีอสูรที่คอยซุ่มโจมตี อ้าปากรอกินนักเดินทางที่หลงเข้าไปในทะเลทรายนั้นอยู่ก็มิปาน
เงาร่างเลือนรางร่างหนึ่งเคลื่อนกายคล้ายวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังหลงทาง
หนทางข้างหน้าช่างยาวไกลนัก ดูไร้ที่สิ้นสุด แต่นางไม่อาจหยุดมุ่งหน้าต่อไปได้ นางหยุดไม่ได้
นัยน์ตานางเริ่มมองเห็นเป็นภาพเบลอ ทุกสิ่งอย่างคล้ายกับจะหมุนวนเวียนมองไม่ชัดเจน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรภาพเบื้องหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ นางพลันล้มลง ไม่อาจฝืนทนได้อีก
ลมกลางคืนพัดเอาเม็ดทรายบนพื้นฟุ้งขึ้น เกือบจะทับถมร่างเล็กสีจางไปจนสิ้น
เบื้องล่างท้องฟ้ายามใกล้ค่ำเหลือแสงอาทิตย์ที่คล้อยต่ำเพียงไม่กี่แสง ยามฟ้ากำลังจะมืดพลันมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมา “แย่แล้ว ๆ….. วันนี้ข้าชักช้านัก กลับไปต้องถูกดุเป็นแน่!”
เป็นเด็กสาวร่างเล็กน่ารักคนหนึ่ง อายุอานามราวสิบขวบปี ถักเปียเล็ก ๆ สองข้าง น่ารักน่าชังนัก สองขานางวิ่งเหยาะ ๆ พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับบางอย่าง นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างในพลัน สิ่งใดกัน?
คุณปู่สอนไว้ว่าข้าไม่ควรจุ้นจ้านเรื่องคนอื่น ข้างนอกมีแต่อันตรายมากมาย
แต่นางสงสัยมากจริง ๆ
นางค่อย ๆ ก้าวเข้าไปช้า ๆ ทีละนิด ทีละนิด กองบางอย่างที่ถูกทรายฝังกลบนี้ คล้ายกับจะเป็นคนเลย แต่เหตุใดจึงดูอ่อนแอบอบบางเช่นนั้น?
นางยื่นแขนเล็กไปหมายจะสัมผัสร่างนั้น ทันใดนั้นก็หดมือกลับแล้วพึมพำกับตนเอง “ร่างวิญญาณหรือ? หากถูกอสูรวิญญาณกินไปคงแย่แน่”
ร่างน้อยพลันย่นจมูก ก่อนจะนึกถึงคำสอนของคุณปู่ขึ้นได้ นางพลันเหลือบมองร่างที่นอนจมกองทรายไร้เรี่ยวแรง อ่อนกำลังจนแทบจะมองไม่เห็นเป็นร่าง ในใจนางพลันถกเถียงกันด้วยความทรมานใจ
ผ่านไปชั่วขณะใหญ่ นางจึงค่อย ๆ หยิบกล่องสี่เหลี่ยมออกมาจากในเสื้อ แล้วค่อย ๆ นำร่างสีจางนั่นใส่ลงในกล่อง หลังจากนั้นก็มองซ้ายมองขวา คิดกับตนเองว่าคงจะไม่มีใครเห็นเข้าหรอกกระมัง
อืม นางนี่จิตใจดีงามจริง ไม่อาจทำใจปล่อยให้วิญญาณนี้ถูกอสูรวิญญาณกินไปได้