สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 128 ผู้มีรอยหงส์เซียน
ได้ยินแล้วไป๋จือเยี่ยนก็หน้าตาหม่นลงอย่างหาได้ยาก “เรื่องครั้งนั้นสะเทือนไปทั้งแดนเมฆาสวรรค์ อย่างเจ้าว่า อาหลานทรงพลังนัก แล้วเหตุใดจึงจากไปทั้งที่ยังสาวได้อย่างลึกลับเช่น…..”
เขาพูดไม่จบประโยค ด้วยคำต่อ ๆ มานั้นโหดร้ายเหลือจะกล่าว
ไม่เพียงวิญญาณถูกสะบั้น กระทั่งร่างเนื้อนางยังบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจใช้คำว่าน่าอนาถอธิบายได้
โหลวจวินเหยาเกือบจะทำการสังหารหมู่ด้วยความโกรธแค้น หากแต่ในใจเขาตอนนั้นมุ่งหวังเพียงเรื่องหนึ่ง นั่นคือการฟื้นคืนชีพนาง เขาใช้เวลาหลายปีจึงจะสามารถรักษาร่างเนื้อของนางไว้ไม่ให้บุบสลายได้
“อาหลานมีวิชาแพทย์ล้ำลึกยิ่งนักเช่นกัน กระทั่งสามารถฟื้นชีวาคนตาย ปลูกเนื้อจากกระดูก จึงได้ชื่อในฐานะเซียนแพทย์มือฉมังบนแดนเมฆาสวรรค์…..”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ โหลวจวินเหยาก็หยุดแล้วหันมองไป๋จือเยี่ยน “เจ้าเคยคิดสงสัยบ้างหรือไม่ ว่าเหตุใดคนอย่างจิ้งจอกน้อยที่มาจากดินแดนระดับล่างสามารถถอนคำสาปพิษและคำสาปเลือดที่กระทั่งอัจฉริยะจากสำนักเซียนแพทย์ที่ร้อยปียังไม่เคยเห็นเช่นเจ้ายังไม่อาจทำได้?”
ไป๋จือเยี่ยนพลันเข้าใจในทันที นัยน์ตางามคล้ายสีดอกท้อเบิกกว้างด้วยความตกใจ “หรือเจ้าจะบอกว่าชิงอวี่อาจจะมีโอกาส….. เป็นลูกหลานของอาหลานงั้นหรือ?”
“แม้หน้าตานางไม่เหมือนอาหลานสักเสี้ยวหนึ่ง แต่นิสัยนั้นเหมือนมาก ท่าทางน่าเข้าหาดูเป็นมิตร แต่แท้จริงแล้วเย็นชาเสียดลึกถึงกระดูก อีกทั้งยังเย่อหยิ่ง ไม่เกรงกลัวสิ่งใดพอกัน” โหลวจวินเหยาค่อย ๆ เอ่ย
ไป๋จือเยี่ยนมีท่าทางราวกับเพิ่งเข้าใจบางสิ่ง จากนั้นเอ่ยถามเซาะแซะ “เช่นนั้นเป็นเพราะเจ้ามีความคิดนี้จึงมีท่าทีสนใจแม่นางน้อยมาโดยตลอดใช่หรือไม่?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
ไป๋จือเยี่ยนพลันพึมพำเสียงเบา “เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าก็คิดว่าเจ้ามีจุดประสงค์อื่น!”
แม้จะเสียงเบานัก แต่โหลวจวินเหยาก็ยังคงได้ยิน นัยน์ตาสีม่วงน่าค้นหาพลันส่องประกายวาบ “แล้วเจ้าคิดว่าเป็นจุดประสงค์อะไร?”
ไป๋จือเยี่ยนถูจมูกตน ก่อนเอ่ยขึ้นท่าทางเก้กัง “ข้าคิดว่าเจ้ากับแม่นางน้อย….. แค่ก ๆ….. ข้าหมายถึงความคิดที่บุรุษมีต่อสตรีน่ะ!”
เขาเอ่ยปัญหาที่มีในประวัติศาสตร์มนุษย์อันยาวนานออกไปแล้ว…..
โหลวจวินเหยาเงียบไป ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววซับซ้อน ก่อนจะเหลือบมองไป๋จือเยี่ยนนิ่ง “ข้าจำได้ว่าเคยบอกเจ้ามาก่อนหน้านี้ว่าแม่นางน้อยยังเด็กนัก ในสายตาข้าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น หากนับทั้งเรื่องอายุและความอาวุโส ข้าอาวุโสกว่านางหลายชั่วอายุคน ข้าจะมีความคิดเช่นนั้นกับเด็กคนหนึ่งได้อย่างไร?”
ไป๋จือเยี่ยนยังอดคิดว่าอีกฝ่ายพยายามหาข้ออ้างไม่ได้ “อายุหรือ? แดนเมฆาสวรรค์ก็มีพวกสัตว์ประหลาดอายุพันปีอยู่เต็มไปหมด มองไปทางไหนก็เจอ คนที่เพิ่งลืมตาดูโลกมาได้สองร้อยกว่าปีเช่นเจ้าก็นับว่าเพิ่งอายุได้เพียงยี่สิบในดินแดนระดับล่างกระมัง เจ้าพูดราวกับว่าตนเองแก่หงำเหงือกไปแล้ว”
โหลวจวินเหยามองไป๋จือเยี่ยนสายตาเย้ยหยัน “ซึ่งข้าก็อายุมากกว่าเจ้าเช่นกัน”
ให้ตายสิ! เกิดก่อนแค่ครึ่งวันแล้วคิดจะหยิบเรื่องนี้มาพูดตลอดเลยหรือไร?!
“ข้าคงต้องวานให้เจ้าด้วยดูแลเรื่องบนแดนเมฆาสวรรค์ไปสักระยะ พวกเราจากแดนนั้นมานานมากแล้ว คงจะมีปัญหาเกิดขึ้นเป็นแน่” โหลวจวินเหยาเอ่ยขึ้น
ไป๋จือเยี่ยนชะงักไป “เจ้าจะเดินทางไปไหนหรือ?”
“อืม” โหลวจวินเหยาตอบ “ข้าคิดจะจัดการเรื่องอาหลานเอง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ช่วงนี้ข้าได้ยินเสียงนางเรียกหามาโดยตลอด ไม่อาจสงบใจลงได้เลย”
เขากำพร้าพ่อแม่แต่เด็ก มีนิสัยเลือดเย็นไร้เมตตา แต่ลึก ๆ ในจิตใจของเขาที่ไม่อาจมีผู้ใดล่วงรู้ ยังมีความอ่อนโยนเล็ก ๆ ซุกซ่อนอยู่
คนผู้นั้นมีบทบาทสำคัญในชีวิตเขายิ่งนัก สำหรับเขาตอนนี้ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการคืนชีพนางผู้นั้นแล้ว
หากนางไม่ได้สิ้นใจไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาก็คงไม่ต้องถูกคำสาปพิษและคำสาปเลือดทรมานร่างมาเกือบร้อยปี เป็นจังหวะสำคัญที่นางกำลังถอนคำสาปให้เขานั่นเองที่เกิดเหตุขึ้น ส่งผลให้พิษในร่างเขายิ่งพลุ่งพล่านรุนแรงจนไม่อาจกดข่มไว้ได้ กลายเป็นไม่ใช่คนไม่ใช่ผีไป
เบื้องหลังเรื่องนี้จะต้องมีกลลวงใดซ่อนอยู่เป็นแน่
ในเมื่อตอนนี้เขาหายดีแล้ว เขาย่อมต้องค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ให้ได้
นัยน์ตาสีม่วงดูลึกลับคล้ายกับจะมีพายุกระหน่ำคุกรุ่นอยู่ภายใน ทำให้ใบหน้างดงามดั่งสวรรค์ สรรค์สร้างอันเป็นที่อิจฉาทั้งเหล่าเซียนและทวยเทพดูน่าหวาดกลัวและกดดันไปในคราเดียวกัน
ไป๋จือเยี่ยนสีหน้าทะมึนลง เขารู้ดีว่าคนตรงหน้านี้มีนิสัยชอบทำตามใจตน ไร้สิ่งใดรั้งเหนี่ยว เหตุเพราะไม่เคยใส่ใจกับสิ่งใดมาก่อน แต่เมื่อไรที่จริงจังขึ้นมาก็จะไม่ยอมปล่อยมือจนอาจเรียกได้ว่าน่ากลัวยิ่งนัก
และสีหน้าอีกฝ่ายในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเอาจริงแล้ว ไม่นานคงได้เห็นนิสัยที่แท้จริงเผยออกมา
ไม่แน่ว่าอยู่เฉยมานานหลายปี ไฟร้อนคุกรุ่นอยู่ภายใต้คลื่นลมสงบมานานเช่นนี้ คงจะได้เวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่บนแดนเมฆาสวรรค์เสียแล้วกระมัง
—————————
นับตั้งแต่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นที่หุบเขาพญายม ฉินฟางก็ไม่ได้ให้เด็ก ๆ ออกไปฝึกตนข้างนอกอีก แต่ทำการเสริมความรู้และเสริมความแกร่งในการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรแทน
ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นอาจารย์ที่ได้รับการนับหน้าถือตาในสำนักละอองหมอกเมื่อราวสิบปีก่อน แม้ในเวลาสิบปีระเบียบระบบในสำนักละอองหมอกจะเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้ แต่ความรู้นั้นย่อมไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นคงไม่แปลกแยกแตกต่างกันมากมายนัก
“ในดินแดนทั้งหลายมีวิชาอาชีพแตกต่างมากมาย แต่ที่รู้จักกันมากที่สุดมีกันสี่อย่างด้วยกัน คือผู้ฝึกยุทธ์ นักปรุงยา นักประดิษฐ์ และอาจารย์วิญญาณ ตอนนี้เราจะยังไม่กล่าวถึงอาชีพที่เห็นได้ยากอื่น ๆ สำนักละอองหมอกแยกภาควิชาออกเป็นห้าประเภท นอกจากอาชีพที่กล่าวมาแล้วสี่อย่างก็ยังมีภาควิชาวิเศษที่มีจำนวนศิษย์อยู่น้อยมาก มีอยู่เพียงสิบคน หากแต่ทุกคนนั้นมีความสามารถซุกซ่อน นับเป็นศิษย์มากฝีมือกันทั้งสิ้น…..”
ชิงอวี่ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี นางพลันเกิดความสนใจแล้วเอ่ยถามขึ้น “ผู้อาวุโสเจ้าคะ แม้ท่านจะจากสำนักละอองหมอกมานานหลายปี แต่ข้าอยากรู้ว่าท่านเคยได้ยินชื่อศิษย์ที่รั้ง 5 อันดับแรกบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”
เมื่อนางเอ่ยถามเช่นนั้น ชิงเป่ยก็หันมองนางสีหน้าครุ่นคิด เยี่ยนซีอู่และเยี่ยนซีโหรวเองก็แปลกใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงถามเช่นนั้นออกมา
ฉินฟางได้ยินคำถามแล้วก็ชะงักไปเช่นกัน เขาเงยหน้าขึ้นตอบ “ข้าเคยได้ยินมาบ้าง เมื่อก่อนเด็กพวกนั้นยังปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แต่กลับสามารถโดดเด่นเหนือคนอื่น ๆ ได้ด้วยกำลังตน ส่องแสงแสดงความเฉลียวฉลาดเหนือใคร ในตอนนั้น พี่ใหญ่ในกลุ่มนามว่าเฟิ่งเทียนเหิงมีอายุเพียงสิบห้า แต่กลับไร้อาจารย์ใดกล้ารับเขาเป็นศิษย์ เป็นเพราะเด็กคนนั้นมีสติปัญญาสูงส่ง พรสวรรค์โดดเด่นจนเกินไป อาจกล่าวได้ว่าเขาเองก็เป็นคนที่คอยเลี้ยงดูคนอันดับตามหลังตนมา นับว่าเป็นยอดคนกันทั้งสิ้น”
ยามพูดถึงศิษย์เหล่านี้ ฉินฟางชื่นชมพวกเขาไม่หยุดปาก แต่ละคำเต็มไปด้วยความชื่นชอบและคำชมเชย “เด็กคนนั้น เฟิ่งเทียนเหิง ไม่ค่อยปรากฏกายบ่อยนัก อีกทั้งยังเป็นเขาที่ก่อตั้งภาควิชาวิเศษของสำนักละอองหมอกขึ้นมา ตอนนี้กลายเป็นนักเชิดหุ่นที่หาได้ยากในแดน”
นักเชิดหุ่น…..
ชิงอวี่ดูจะเหม่อลอยไปเล็กน้อย คล้ายกับนางนึกอะไรบางอย่างได้แล้วใจลอยไป
“แต่เขาไม่ได้อยู่ในสำนักละอองหมอกมานานหลายปีแล้ว ในปีหนึ่ง เรื่องสำคัญอย่างงานประลองภายใน หรือการประลองระหว่างสำนักยิ่งไม่เคยกลับมา มีเพียงคนอื่น ๆ ที่ยังโผล่มาบ้างเท่านั้น แต่การรับศิษย์เข้าสำนักที่กำลังจะมาถึงครั้งนี้นับว่าพวกเจ้าโชคดียิ่ง! ว่ากันว่าเฟิ่งเทียนเหิงจะมาดูแลงานเอง ฐานะในสำนักละอองหมอกของเขาไม่ธรรมดา เป็นเพียงศิษย์ในสำนักคนเดียวที่มีฐานะเทียบเท่าได้กับสิบสองผู้อาวุโส หากพวกเจ้าโชคดีมากพอได้พบหน้าเขา อย่างน้อยก็เข้าไปพูดคุยทำความรู้จักเขาไว้เล่า”
เมื่อเยี่ยนซีอู่ได้ยินดังนั้น ในใจก็พลันจินตนาการภาพเฟิ่งเทียนเหิงขึ้นมาเองเสียแล้ว คนผู้นี้ยังอายุน้อยนัก แต่กลับประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงขจรไกล คงจะเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีไม่น้อย หากนางมีโอกาสทำความรู้จักกับเขาละก็ …..
หากแต่พริบตานั้นเอง ใบหน้างามดังหยกที่คล้ายกับสวรรค์สรรค์สร้างก็แวบเข้ามาในหัว นัยน์ตาน่าค้นหาดูลึกลับสีม่วงที่ดูเย่อหยิ่งยโสโอหัง ราวกับกดข่มให้ผู้อื่นให้ดูต่ำต้อย ทว่ามองแล้วกลับทำให้ใจเต้นระรัวยิ่ง
เยี่ยนซีอู่พลันรู้สึกใบหน้าร้อนวาบ พลันใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อย นางมาคิดเรื่องเช่นนี้ในตอนกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ได้…..
แต่คิดดูแล้ว ชิงอวี่ดูจะสนิทสนมกับคนผู้นั้นไม่น้อย อีกทั้ง….. นางแอบเหลือบมองเด็กสาวที่กำลังตั้งใจฟังคำอธิบายของอาจารย์ มองจากมุมนี้เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่าย แต่ก็นับว่างามจนไม่อาจหาจุดบกพร่องใดได้ นัยน์ตายาวแฉลบขึ้นของนางหรี่ลงครึ่งหนึ่งดูยั่วยวน มองดูเป็นภาพน่ามองอย่างบอกไม่ถูก
เยี่ยนซีอู่พลันรู้สึกอึดอัดในใจอย่างไร้เหตุผล นัยน์ตาเจือแววเศร้า เหตุใดเขาต้องสนิทสนมกับชิงอวี่ด้วย?
หากเป็นคนอื่น นางก็อาจจะยังมีโอกาสได้แข่งขันบ้าง แต่หากเป็นชิงอวี่แล้วนั้น….. นางพลันรู้สึกว่านางกับชิงอวี่จะแตกต่างกันมากเกินไปแล้ว คงไม่เหลือโอกาสให้นางได้แข่งขันกับอีกฝ่ายเป็นแน่แท้ ใครที่สายตากระจ่างหน่อยก็มองแล้วรู้ได้ในทันที
เมื่อครั้งที่เผชิญภัยในหุบเขาพญายม ชิงอวี่เป็นคนที่คอยปกป้องพวกนางมาโดยตลอด ความริษยาในจิตใจนางค่อย ๆ คลายลง ตอนนี้สายตาที่มองอีกฝ่ายมีเพียงความชื่นชมและซาบซึ้งใจเพียงเท่านั้น
เด็กน้อยขี้อายตัวจ้อยคนหนึ่ง ผู้ที่เกิดจากนางบำเรอฐานะต่ำต้อยเมื่อไม่กี่ปีก่อน ตอนนี้ได้กลายเป็นเด็กสาวมีความสามารถหาใครเทียมไปแล้ว ส่วนตัวนางเอง เกรงว่าแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับอีกฝ่ายก็คงไม่อาจพัฒนาขึ้นแม้จะใช้เวลาหลายปีก็ตามที
แต่ก่อนคนที่นางนับถือที่สุดคือเยี่ยนหนิงลั่ว ผู้ซึ่งไม่เป็นเพียงยอดสตรีอัจฉริยะแห่งแคว้นชิงหลาน แต่ยังเกิดมามีใบหน้างดงาม ได้รับฐานะอันสูงส่งอย่าง “องค์หญิงหนิงเฟิ่ง” ที่องค์ฮ่องเต้ประทานให้โดยเฉพาะ บุรุษกว่าหนึ่งในสามส่วนล้วนอยากมีวาสนากับนาง ตั้งแต่เด็กก็มีคนชื่นชมนางนับไม่ถ้วน ไม่ว่าสิ่งใดก็เก่งกาจไปทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อมองแล้วก็อดให้รู้สึกอิจฉาอยู่บ้างไม่ได้
คนเราก็เป็นเช่นนี้ ต่างริษยาคนที่ได้ดีกว่าตน แต่กลับไม่อิจฉาคนที่โดดเด่นกว่าชนิดที่ไม่อาจเอื้อม
หากเป็นเพราะฐานะอันสูงส่ง และการที่มีผู้ชื่นชมมากมายที่ทำให้เยี่ยนหนิงลั่วอยู่เหนือกว่าเยี่ยนซีอู่แล้ว เช่นนั้นก็คงเป็นจังหวะที่ชิงอวี่เสี่ยงชีวิตช่วยเหลือนางในยามคับขันที่เปลี่ยนใจนางให้ไปหาชิงอวี่
เพราะหากเป็นคนอื่นแล้ว ก็คงไม่มีใครคิดอยากช่วยเหลือคนที่เกลียดตนเองหรอกกระมัง แต่ชิงอวี่กลับทำเช่นนั้น นับแต่นั้นมา จิตใจของเยี่ยนซีอู่ก็เปลี่ยนแปลงไปมาก อีกทั้งยังมีด้านอื่น ๆ ที่เปลี่ยนไปโดยที่นางเองก็ไม่ทันรู้ตัวเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น ยามนางฝึกบำเพ็ญเพียร นางพบว่าความสามารถอันไร้ประโยชน์ของนางในพลังธาตุได้กลายเป็นพลังที่ลึกล้ำกว่าเดิม เริ่มได้รับความสามารถที่แท้จริงมา ดังนั้นการฝึกบำเพ็ญจึงเป็นไปได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น
อีกด้านหนึ่ง ชิงอวี่กำลังตั้งใจฟังอาจารย์ ไม่ทันเห็นว่าเยี่ยนซีอู่แอบมองนางอยู่นานแล้ว
และเป็นตอนนั้นเองที่ฉินฟางกำลังพูดถึงพื้นที่ภายในสำนักละอองหมอก ในนั้นมีสถานที่อันตรายที่ห้ามเข้าอยู่หลายแห่ง ฉะนั้นย่อมต้องเอ่ยถึงหอประตูสวรรค์ที่นางเคยได้ยินเมื่อครั้งอยู่ที่ป่าโคลนสาบสูญเมื่อวันก่อนขึ้นมา
ว่ากันว่าเป็นสถานที่ต้องห้ามติดสามอันดับแห่งสำนักละอองหมอก มีเพียงศิษย์ที่มีพลังล้ำลึกมากความสามารถจึงจะเข้าไปได้ ศิษย์ที่มีพลังบำเพ็ญต่ำต้อยไม่ได้รับอนุญาตให้เฉียดกรายเข้าใกล้แม้เพียงนิด ไม่เช่นนั้นจะหาทางออกมาได้ยากเย็นยิ่ง เพราะมีบางสิ่งบางอย่างอันประหลาดพิลึกที่คอยดูดกลืนวิญญาณคนได้อยู่ภายใน
ลือกันว่านับตั้งแต่ก่อตั้งสำนักละอองหมอกมาจนถึงวันนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่ได้เข้าไปยังหอประตูสวรรค์แล้วกลับออกมาอย่างปลอดภัย คนอันดับที่หนึ่งของสำนักละอองหมอก เฟิ่งเทียนเหิง นั้นได้เข้าไปยังที่นั่นตั้งแต่อายุได้เพียงสิบขวบเท่านั้น