สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 134 มันชอบกระต่ายย่างฝีมือข้า
พริบตาเดียว วันประลองเข้าสามสำนักใหญ่ก็ใกล้เข้ามาแล้ว
เมื่อก้าวเท้าออกมานอกประตูจะเห็นความแตกต่างบนท้องถนนได้อย่างเด่นชัด คนในยุทธภพจากทุกสำนักทุกตระกูลเดินกันให้ควัก เมืองหลวงที่สงบสุข วันนี้กลับคึกคักหนาแน่นไปด้วยผู้คน
กิจการร้านน้ำชาของหอเมฆาเคลื่อนซบเซามาโดยตลอด แต่เมื่ออากาศเริ่มเย็นลงก็มีลูกค้าหนาแน่นทุกวัน ด้วยจอมยุทธ์ทั้งหลายที่เดินทางมาไกลต้องการหาที่พักเท้า จิบชาอุ่น ๆ สักถ้วยเพื่ออบอุ่นร่างกาย อีกทั้งยังนั่งฟังข่าวในปัจจุบันอีกด้วย
ในห้องห้องหนึ่ง มีคนนั่งล้อมโต๊ะอยู่หลายคน คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นปริศนา “พวกเจ้าได้ยินมาหรือไม่? มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในสำนักละอองหมอกด้วย”
“เกิดเรื่องใหญ่อะไรขั้นหรือ?” คนอื่น ๆ ถาม
ชายผู้นั้นเหลือบมองคนทั้งหลายก่อนตอบเสียงกระซิบ “ข้ามีลูกพี่ลูกน้องเป็นศิษย์สำนักละอองหมอกมาก่อน”
คนอื่น ๆ จึงเปล่งเสียง “ชิ” ขึ้นมาพร้อมกับก่อนจะกลอกตาใส่อีกฝ่ายอย่างดูถูก “เนี่ยน่ะหรือเรื่องใหญ่ของเจ้า? มันน่าประหลาดใจที่ตรงไหน?”
“รอข้าพูดให้จบก่อนสิ ลูกพี่ลูกน้องข้าเคยเป็นศิษย์สายหลัก และอยู่ใน 100 อันดับแรก ได้อันดับที่ 50 เชียวนะ!” ชายผู้นั้นยังคงพูดเสียงขุ่น “แต่พวกเจ้ารู้อะไรไหม? เขาเองก็นับว่าได้รับความเคารพพอสมควร ไม่กลับบ้านมาสามปีเต็มแล้ว แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน เขากลับมาแล้วพูดว่า…..”
“พูดว่าอะไร!? รีบเล่าสิ!” พอเล่าถึงจุดสำคัญ ชายคนนั้นกลับหยุดเล่ากะทันหัน แบบนี้มันคงอยากโดนคนตีแล้วกระมัง
ชายคนนั้นหันมาจ้องตาทุกคน “เขาบอกว่าถูกไล่ออกจากสำนัก”
ได้ยินแล้วคนอื่น ๆ ก็ตะลึงไป ศิษย์สำนักที่รั้งอันดับ 50 ควรจะมีฝีมือไม่น้อย แล้วเหตุใดจึงถูกไล่ออกมาได้? หรือสำนักละอองหมอกจะปิดบังสิ่งใดไว้อยู่กัน!?
“ได้ยินมาจากลูกพี่ลูกน้องอีกว่า ศิษย์ทั้งหมดของสำนักละอองหมอกในตอนนี้ รวมกับคนที่ยังเดินทางไม่กลับสำนักด้วยแล้ว มีน้อยกว่าสามร้อยคนอีกนะ”
คนทั้งหลายยิ่งตกตะลึงกว่าเดิม “เหตุใดผ่านไปไม่เท่าไรจำนวนก็ลดลงมากเช่นนั้นเล่า? ข้าจำได้ว่าสำนักละอองหมอกมีจำนวนศิษย์มากที่สุดในสามสำนักใหญ่ น่าจะมีคนสักหกหรือเจ็ดร้อยคนเป็นอย่างต่ำ ประลองครั้งเดียวก็หายไปกว่าครึ่งเลยหรือ?”
สำนักละอองหมอกคิดจะทำการใดกันแน่?
“ได้ยินว่าศิษย์ที่ถูกไล่ออกมาส่วนมากคือคนฝีมือดีไม่พอ ส่วนยอดอัจฉริยะ 5 อันดับแรกก็กลับมาจัดการเรื่องที่สำนักละอองหมอก ข้าว่ารับศิษย์ใหม่ปีนี้จะต้องยากมากเป็นแน่!”
“กระทั่งลูกพี่ลูกน้องของเจ้าที่อยู่ 50 อันดับแรกยังฝีมือไม่พอ พวกเรายิ่งไม่ต้องฝันถึงเลยมั้ง ข้าว่าพวกเราคงผ่านไม่พ้นรอบแรกได้แน่!” ชายคนหนึ่งโอดครวญ
“ใช่ไหมเล่า? ใครก็รู้ว่า 5 อันดับแรกแห่งสำนักละอองหมอกฝีมือสูงส่งขนาดไหน ได้ยินมาว่าครั้งนี้จะรับคนเข้าสำนักห้าสิบคน ข้าว่าได้ถึงยี่สิบคนก็โชคดีแล้ว”
“หากการประลองเข้าสำนักละอองหมอกยากเกินไปจริง ๆ ข้าว่าเราไปสำนักไร้สิ้นสุดหรือหุบเขาไร้กังวลแทนก็ได้ น่าจะมีโอกาสสูงกว่า”
——————–
“เจ้าดูจะไม่ประหลาดใจเลยสักนิด” ไป๋จือเยี่ยนมองหน้าเด็กสาวแล้วก็ให้แปลกใจ
ชิงอวี่ถือถ้วยชาไว้ในมือ ตั้งอกตั้งใจฟังบทสนทนาของคนชั้นล่างด้วยใบหน้าไม่ประทับใจเป็นอย่างยิ่ง
ได้ยินไป๋จือเยี่ยนแล้ว นางก็หันมามองเขา “ไม่มีอะไรแปลก ชนะก็อยู่ แพ้ก็ไป เป็นเรื่องธรรมดามาก”
ไป๋จือเยี่ยนเลิกคิ้วแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกหน่อย “เจ้าจะเข้าสำนักละอองหมอกจริงหรือ? มีแรงจูงใจบางอย่างหรือไร?”
เขาคงคิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยเพียงเบื่อ เลยอยากเข้าสำนักไปหาอะไรสนุกทำเท่านั้น เพียงคิดว่านางมีฝีมือเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปศึกษาสิ่งใดแล้ว ดังนั้นเหลือความเป็นไปได้เดียว คือที่นั่นมีบางอย่างที่นางสนใจ
ชิงอวี่เงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ชะโงกเข้ามา ดูท่าสงสัยนัก นางเพียงยกยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยเสียงเรียบตอบใบหน้าตั้งตาคอยคำตอบ “ความลับสวรรค์ห้ามเปิดเผย”
ไป๋จือเยี่ยนส่งสายตาอ้อนวอนใส่ “พวกเราสนิทกันขนาดนี้ ยังต้องปิดบังอะไรอีก? น่าผิดหวังจริง ๆ”
หลังจากที่รู้จากโหลวจวินเหยาว่านางเป็นลูกของอาหลาน ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น แม่นางน้อยมองพวกเขาดีขึ้นแยะ แต่นิสัยชอบทำให้คนอื่นสงสัยของนางเช่นนี้ไม่น่ารักเลย
“ได้ยินว่าสำนักละอองหมอกเข้มงวดมาก พอเข้าแล้วไม่รู้อีกกี่ปีจะได้เจอกันอีก” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเสียงเศร้า ในน้ำเสียงเจือความลังเลไว้เสี้ยวหนึ่ง
ได้ยินแล้วชิงอวี่ก็มุมปากกระตุก มองหน้าเขาแบบพูดไม่ออก
ก็ไม่ใช่ว่านางจะหาทางออกมาไม่ได้นี่ พูดยังกับจะจากเป็นจากตาย อารมณ์อ่อนไหวพอ ๆ กับเจ้าก้อนขนที่บ้านนางเลยจริง ๆ
ชิงอวี่ดันถ้วยไปทางเขา พูดตัดบทน้ำเสียงเศร้าสร้อย ขัดความคิดเศร้าใจอีกฝ่าย “รินชา”
“นี่เจ้าสั่งข้าเหมือนเสี่ยวเอ้อร์แล้วหรือ?” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ไม่รู้ว่านางไม่เอานิสัยเช่นนี้มาจากใคร ทำท่าราวกับเกิดมาบนกองเงินกองทอง นอนรอให้คนอื่นรับใช้ ราวกับหลุดออกมาจากพิมพ์เดียวกับโหลวจวินเหยาก็มิปาน
แต่เมื่อรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของนาง ไป๋จือเยี่ยนจึงค่อนข้างเต็มใจจะตามใจนางในแบบที่ผู้น้อยดูแลผู้อาวุโส
“ชิ แม่นางน้อย อากาศหนาวเช่นนี้เจ้าสวมชุดให้มันหนาหน่อยไม่ได้หรือ? มือเย็นราวกับก้อนน้ำแข็งแล้ว” ไป๋จือเยี่ยนรับถ้วยชามา เผลอแตะโดนนิ้วนาง ความเย็นยะเยือกทำเอาเขาเกือบสะดุ้ง
เขาเลิกคิ้วแล้วจ้องมองนางด้วยสายตาตำหนิ “เจ้าอาจจะยังเป็นเด็กสาว แต่อย่าเอาแต่ห่วงเรื่องความงามตลอดเช่นนี้สิ สวมชุดบางเช่นนี้ หากถูกความเย็นทำลายร่างกายเข้า ต่อไปจะเสียใจภายหลังนะ”
ชิงอวี่ “…..”
ทำท่าราวกับเป็นพ่อผู้แสนใจดีแสดงความเป็นห่วงต่อลูกสาว
นางคิดเช่นนั้นแล้วก็โพล่งออกมา “ไป๋จือเยี่ยน ต่อไปเจ้าต้องเป็นพ่อที่ดีได้แน่”
“หา? พ่อที่ดี??” ไป๋จือเยี่ยนมึนงงไป ในใจพลันโล่งสนิท ไม่อาจตอบสนองต่อคำของนางได้
ชิงอวี่เม้มปากก่อนคลี่ยิ้ม กำลังจะเอื้อนเอ่ยคำ แต่มีคนบางคนเดินมาจากด้านหลัง แล้วยัดของกลม ๆ บางอย่างเข้าอ้อมแขนนางเสียก่อน แตะแล้วอุ่น แต่ก็ไม่ร้อนมือ อุณหภูมิกำลังดี
นางกะพริบตาด้วยความประหลาดใจก่อนแหงนหน้ามอง สิ่งที่เห็นคือสันกรามงามราวรูปสลัก ผิวงามไร้ที่ติ เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่านางเงยหน้าขึ้นมองก็ยกริมฝีปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มจาง
“รู้ว่านางหนาวแล้ว หากมีเวลามาพูดพร่ำเพรื่อก็ไปหากระถางอุ่นให้นางไม่ดีกว่าหรือ?” โหลวจวินเหยาเอ่ยหน้านิ่ง ก่อนจะเดินไปนั่งลงอีกฝั่งหนึ่ง
“??!”
ไป๋จือเยี่ยนจ้องอีกฝ่ายนิ่ง พูดอะไรไม่ออก เขาตาฝาดหรือ ที่เห็นเจ้าหมอนั่นยิ้มบาง แล้วยังมีท่าที่อ่อนโยนเช่นนั้นอีก? แล้วเหตุใดพริบตาต่อมาจึงกลายเป็นหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ไปได้เล่า?!
“ถึงอากาศจะเริ่มหนาวแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ฤดูหนาว ใครเขาใช้กระถางอุ่นกันตอนนี้…..” ไป๋จือเยี่ยนพูดไม่ออก ร่ำไห้ไร้น้ำตา
อีกฝ่ายเพียงมองเขาสายตาเรียบเฉย นัยน์ตาเย้ายวนสีม่วงเจือแววไม่พอใจเอาไว้ เห็นแล้วเขาก็หุบปากฉับทันที
ก็ได้ ๆ ท่านจอมมารผู้ยิ่งใหญ่ พูดอะไรเป็นต้องถูกต้องทุกประการอยู่แล้ว ครั้งหน้าข้าจะคอยระวัง พอใจหรือไม่? ชิ แต่ก่อนปกป้องกันมากเท่าไร ตอนนี้ยิ่งหนักกว่าเก่า คอยปกป้องแม่นางน้อยอย่างไร้เหตุไร้ผลไปเสียแล้ว
ชิงอวี่หลุบตาลงมองกระถางอุ่นกระถางเล็ก ที่มีลวดลายซับซ้อนในอ้อมแขนตน ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายใน แต่มันส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ดมแล้วผ่อนคลายยิ่งนัก มุมปากนางยกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ทันรู้ตัว เอ่ยบอกขอบคุณเขาเสียงเบาไป
“การประลองเข้าสำนักละอองหมอกจะจัดขึ้นในอีกสามวันหรือ?” โหลวจวินเหยาถามขึ้น
ชิงอวี่พยักหน้า “ถูกต้อง กว่าจะถึงต้องเดินทางไกล ดังนั้นข้าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้”
โหลวจวินเหยาพยักหน้ารับรู้ จากนั้นหันไปทางไป๋จือเยี่ยน “พรุ่งนี้เปลี่ยนร่างยูนิคอร์นอสนีบาตกลับด้วย”
ไป๋จือเยี่ยนได้ยินแล้วก็สะดุ้งไป กว่าจะตอบสนองได้ก็ชั่วครู่หนึ่ง
ตั้งแต่ตอนที่กลับจากหุบเขาพญายม เจ้าอสูรเคราะห์ร้ายก็ถูกโหลวจวินเหยาลดขนาดลงจนตัวเล็กเท่าเดิม จากเดิมทีที่มีรูปร่างใหญ่โตสง่างาม ตอนนี้กลับตัวเท่าลูกแมว ดูไม่เป็นแมวไม่เป็นอสูร เห็นแล้วน่าหัวร่อนัก
หลายเดือนที่ผ่านมามันอยู่คลุกคลีกับสุนัขและแมว แต่ก็ยังหน้าตาน่าเกลียดมากอยู่ดี ถูกสัตว์อื่น ๆ มองเมิน ไม่มีตัวไหนอยากเล่นด้วย เพราะรังเกียจรูปร่างอันอัปลักษณ์ของมัน ส่งผลให้อสูรวิญญาณระดับสิบสองผู้ยิ่งใหญ่รู้สึกถูกเหยียดหยามยิ่งนัก แต่กลับไร้หนทาง ด้วยพลังวิญญาณทั้งหมดถูกผนึกไว้ กระทั่งสุนัขข้างถนนยังไม่อาจสู้ได้ นับว่าใช้ชีวิตเป็นอสูรที่น่าสงสารไปแล้ว
มาคิดว่าอสูรน่าสมเพชที่ถูกทิ้งให้เฉาตายกลับยังไม่ถูกเจ้าของลืมจนสิ้นเช่นนี้ ไป๋จือเยี่ยนพลันรู้สึกว่าเจ้าอสูรนั้นเคราะห์ร้ายเสียจริง ได้แต่ส่ายหน้าสีหน้าเศร้าสร้อยไปมา “แปลงกลับแล้วอย่างไรต่อ?”
โหลวจวินเหยานัยน์ตาสงบนิ่ง เอ่ยเสียงเรียบออกมา “ให้ยูนิคอร์นอสนีบาตดึงรถม้า ส่งจิ้งจอกน้อยไปสำนักละอองหมอกในวันพรุ่งนี้”
ไป๋จือเยี่ยนยังไม่ทันได้กลืนชาลงคอ ได้ยินแล้วก็สำลักออกมาทันที เขาไอจนกระทั่งใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนเป็นสีแดง ใช้เวลาครู่ใหญ่ ๆ จึงจะเอ่ยตอบได้ “เหตุใดต้องให้ยูนิคอร์นอสนีบาตไปลากรถม้าด้วย? เจ้านั่นมันหยิ่งผยองจะตายไป มันไม่ยอมหรอก”
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาเย้ายวนสีม่วงเป็นประกายงดงาม “เจ้ากลับไปบอกมันว่าความตายไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด อสูรวิญญาณระดับสิบสองถูกแมวข้างถนนกินนั่นถึงจะน่ากลัวกว่า”
ไป๋จือเยี่ยนได้แต่จุดเทียนส่งเจ้าอสูรน่าสงสารบางตัวไว้ในใจ เจ้าคนชั่วช้านี่…..
แต่นั่นก็ทำให้เขาได้รับรู้ว่าโหลวจวินเหยาให้ค่าชิงอวี่ไว้เพียงไหน ยูนิคอร์นอสนีบาตเผลอทำนางบาดเจ็บเมื่อคราวก่อน กลับต้องถูกลงโทษอย่างน่าสมเพชเช่นนี้
เจ้าหมอนี่คงจะเคารพผู้อาวุโสมากกระมัง ดังนั้นจึงเป็นห่วงลูกสาวของนางไปด้วย
แต่เป็นเขา เขาก็คงทำเช่นเดียวกัน ก็ใครใช้ให้แม่นางน้อยเก่งทั้งศาสตร์ยุทธ์และแพทย์เช่นนี้เล่า? กระทั่งยาวนางโกรธเป็นครั้งคราวยังดูน่ารัก แม่นางน้อยผู้นี้น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
แค่ปรายตามองใบหน้างามน้อย ๆ นั่น ใครจะกล้าโกรธนางลงกัน!?
เห็นไป๋จือเยี่ยนพูดอะไรไม่ออก ชิงอวี่จึงเอ่ย “ไม่จำเป็นหรอก ข้านั่งรถม้าธรรมดาไปก็พอ ยูนิคอร์นอสนีบาตเป็นอสูรวิญญาณระดับสูง มีความคิดเป็นของตนเอง อสูรประเภทนั้นเลี้ยงให้เชื่องยาก อีกทั้งยังหยิ่งในศักดิ์ศรี ทำเช่นนั้นเป็นการหยามเกียรติมันเกินไป”
โหลวจวินเหยาหัวเราะเสียงเบา “เจ้าไม่ต้องกังวลว่ามันจะรู้สึกหยามเกียรติหรือไม่ หากเป็นคนอื่น เจ้าอสูรนั่นคงไม่ยอมไปแล้ว แต่หากเป็นเจ้า มันต้องยินดีแน่”
ชิงอวี่ชะงักไป ร้องถามด้วยความฉงน “เพราะอะไร?”
“เมื่อตอนอยู่หุบเขาพญายม ตอนมันเสียสติและคลุ้มคลั่งไป แต่ก็ยังไม่โจมตีเจ้าโดยตรง กระทั่งสุดท้ายเจ้าตกผาไป มันยังจะกระโดดตามลงไปช่วยเจ้า” โหลวจวินเหยาพูดออกมาแล้วก็ยากจะเชื่อ ได้แต่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่มันต้องชอบเจ้าเอามาก ๆ เป็นแน่”
ดังนั้นแม้เขาจะลงโทษอสูรวิญญาณอย่างนักเมื่อกลับมาแล้ว มันก็ได้แต่โกรธและเศร้าใจเท่านั้น มันรู้ตนดีว่ามันทำผิด ดังนั้นจึงยอมรับบทลงโทษแต่โดยดี
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็นิ่งเงียบไป คิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นตอบ “ไม่แน่ว่า….. มันชอบกระต่ายย่างฝีมือข้ากระมัง”
โหลวจวินเหยา “…..”