สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 138 ตีสนิท
บทที่ 138 ตีสนิท
“อีอี ร่างกายเจ้าอ่อนแอ ตอนกลางคืนหนาวนัก เจ้าอาจทนไม่ไหว” เป็นเสียงกังวลของเด็กสาวคนหนึ่ง คงจะเป็นเชียนอวิ๋นที่หลานอวี่เรียกหาเมื่อครู่
“ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าสองคนไปพักผ่อนเถอะ อีกไม่นานก็เช้าแล้ว” อีอีเอ่ยเสียงเบา จากนั้นก็เงียบไป
ชิงอวี่ฟังบทสนทนาของพวกเขาแล้วก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ตอนกำลังจะก้าวเท้าเดินเข้าห้องไปนั่นเอง ร่างบางแต่สูงร่างหนึ่งก็เดินขึ้นมาจากชั้นล่างช้า ๆ จากนั้นก็หันมาเห็นว่านางยืนอยู่จึงส่งยิ้มให้” แม่นาง ดึกดื่นเช่นนี้ยังไม่นอน ออกมาเดินเล่นหรือ?”
ได้ยินดังนั้นชิงอวี่ยิ่งกดรอยยิ้มลึกขึ้นกว่าเดิม เกิดเรื่องใหญ่อย่างการมีคนตายเช่นนี้ นางดูไม่รู้สึกรู้สาเลยแม้แต่น้อย
“พี่สาวเว่ย เมื่อครู่มีคนตาย” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเบา ลอบมองสีหน้านาง “เป็นคนที่ถกเถียงกับท่านเมื่อก่อนหน้านี้”
เฉียวเว่ยได้ยินแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น สีหน้าสงบ “อ้อ งั้นหรือ ข้าจะสั่งให้คนมาเก็บกวาดก็แล้วกัน คนตายนับเป็นเรื่องปกติ”
ชิงอวี่ยืนพิงราวพร้อมกับรอยยิ้มแทบมองไม่เห็น “ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ข้ากลับสงสัยนักว่าเหตุใดบนร่างเขาจึงมีบาดแผลใหญ่เช่นนั้นได้ ราวกับว่าช่วงท้องถูกเฉือนออกไป หรือเขาจะเดินละเมอแล้วคว้านท้องตนเองจนตายหรือ? แต่แผลใหญ่เช่นนั้น ไม่รู้ว่าใช้อาวุธอะไรกันแน่?”
เฉียวเว่ยได้ยินคำนางแล้วก็มองตอบกลับไปยิ้ม ๆ “เรื่องประหลาดเกิดขึ้นที่นี่อยู่ทั้งปี หากเจ้าชินชากับมันแล้วก็ไม่นับว่าน่าตกใจอะไร เจ้าทำตัวดี ๆ แล้วไปนอนเถอะ ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรมากนัก”
เมื่อเห็นว่าไม่อาจง้างปากเฉียวเว่ยได้ ชิงอวี่จึงยักไหล่ หันหลังเดินกลับเข้าห้องไป
“พี่เว่ย แม่นางน้อยเหมือนจะรู้บางอย่างเข้าแล้ว” บุรุษร่างสูงลิ่วที่ไม่เคยอยู่ห่างกายนางเอ่ยเสียงแหบห้าว
เฉียวเว่ยหัวเราะเบา ๆ “แม่นางผู้นั้นฉลาดที่สุดในหมู่คนที่นี่ เราปิดนางได้ไม่นานหรอก”
ชายหนุ่มเงียบไปนานก่อนเอ่ย “หรือเราจะลงมือเร็วเกินไป? เรื่องในคืนนี้เกิดขึ้นแล้ว พวกเขาคงจะระวังตนขึ้นอีกมาก”
“เจ้าประเมินพวกเขาสูงไปแล้ว ไม่ว่าจะเตรียมตัวมาดีเช่นไร คงมีน้อยกว่าครึ่งที่ผ่านไปถึงการประลองได้” เฉียวเว่ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้มดูแคลน จากนั้นก็เงยหน้ามองแสงจันทร์หนาวเหน็บที่ฉายแสงอยู่ด้านนอก ริมฝีปากโค้งขึ้นอย่างมีนัย “ยังเหลืออีกตั้งหนึ่งวันหนึ่งคืน!”
วันต่อมา ทุกคนตื่นแต่เช้าตรู่ ดวงอาทิตย์ลอยเด่นสูงบนฟ้า นำพาแสงสว่างอบอุ่นมาทักทายยามเช้าอันหนาวเหน็บ
ราวกับเรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงความฝัน แทบจะจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ ด้วยสภาพอากาศหนาวจนเกือบแข็งเช่นนี้ อีกทั้งเรื่องประหลาดที่มีคนตายอีก
อาหารเช้านั้นเรียบง่ายนัก ข้าวต้มร้อน ๆ หนึ่งถ้วย หมั่นโถวขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือ และยังมีผักกรุบกรอบอีกหนึ่งจาน อาจเพราะเมื่อวานประสบเรื่องทรมานมาแล้ว วันนี้จึงไม่มีใครปริปากบ่น ทุกคนซดข้าวต้มลงท้องไปอย่างตะกละตะกลาม
เฉียวเว่ยเห็นแล้วก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เด็กพวกนี้รู้จักเรียนรู้นี่นา
“เถ้าแก่ พวกเราเดินทางไปสำนักละอองหมอกก่อนได้หรือไม่?” หญิงสาวหน้าตางดงามดูเรียบร้อยคนหนึ่งถามขึ้น
เฉียวเว่ยกำลังนั่งดีดลูกคิดอยู่หลังโต๊ะจ่ายเงิน ตอบทั้งที่ยังไม่เงยหน้า “กฎแจ้งไว้ว่าประตูสำนักจะไม่เปิดจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด”
หญิงสาวจึงบุ้ยปาก ดูท่าทางเศร้าอยู่ในที “แต่…. ตอนกลางคืนที่นี่หนาวเหลือเกิน กระถางอุ่นก็ไม่มี หากข้าหนาวตายอยู่ที่นี่จะทำอย่างไร?”
เฉียวเว่ยเหยียดยิ้มเยาะก้อนเหลือบสายตามอง “หากหนาวแค่นี้พวกเจ้ายังทนไม่ได้ มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมายแล้ว”
“พูดกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?” หญิงสาวโกรธจนน้ำตาแทบไหล พลันรู้สึกเสียใจว่าตนไม่น่ามาที่นี่กับสหายเลย
คนด้านข้างนางพลันดึงตัวนางไว้แล้วส่งสายตาเตือน “เจ้าลืมเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าหนุ่มเมื่อคืนแล้วหรือ? ไม่ใช่เพราะเขาดูหมิ่นเถ้าแก่ คืนเดียวกันนั้นจึงถูกพบเป็นศพหรือไร?”
หญิงสาวเบิกตากว้างด้วยความกลัว ปิดปากสนิททันที
แต่มีหรือที่เสียงกระซิบแผ่วเบาจะเล็ดลอดหูเฉียวเว่ยไปได้?
นางอดคลี่ยิ้มเงียบ ๆ กับตนเองไม่ได้ คนพวกนั้นคิดว่านางฆ่าคนผู้นั้นกับมือหรือ? น่าขันสิ้นดี หากเป็นนางลงมือจริง ๆ เจ้าเด็กพวกนี้จะได้รู้หรือเปล่าว่ามีเรื่องเกิดขึ้นแล้ว? เป็นกลุ่มเด็กหัวทื่อเสียจริง
“วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดเดินทางออกไปดูพื้นที่รอบ ๆ ได้อย่างอิสระ ทำความคุ้นเคยกับพื้นที่แถบนี้เสีย แต่จำไว้ว่าอย่าเดินไปไกลนัก ไม่เช่นนั้นหากพบอันตราย ข้าไม่รับปากว่าจะไปช่วยทันการณ์ ฉะนั้นพวกเจ้าก็ต้องรับผิดชอบตนเอง” เฉียวเว่ยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นเดินเข้าไปนอนด้านหลังท่าทางเกียจคร้าน
“…..” ใจจืดใจดำจริง ๆ
หลานอวี่กำลังนั่งกัดหมั่นโถวลูกหนึ่ง สายตามองเด็กสาวที่นั่งฝั่งตรงกันข้ามก่อนเอ่ยขึ้น “อีอี ส่งพิราบไปหานายน้อยให้มารับพวกเราดีหรือไม่? ไม่เช่นนั้นข้าเกรงว่า…..”
เขาพูดยังไม่ทันจบก็รู้แล้วว่าจะพูดอะไรออกมาต่อ
โรงเตี๊ยมกลิ่นอายประหลาด บรรยากาศพิศวงเช่นนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ควรรั้งอยู่นาน เกรงว่าไม่ทันถึงวันประลองก็อาจกลายเป็นศพโดยไม่รู้ตัวได้
นายน้อยชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณเป็นศิษย์ภาควิชาอาจารย์วิญญาณที่ฝีมือโดดเด่นที่สุด อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในศิษย์แนวหน้าของสำนัก พลังบำเพ็ญสูงส่ง มีคนนับหน้าถือตา และยังเป็นพี่ชายของอีอีอีกด้วย
เขารักใคร่เอ็นดูน้องสาวคนนี้มาโดยตลอด หากรู้ว่านางต้องมาประสบความยากลำบากเช่นนี้ คงจะยื่นมือเข้าช่วยแน่
อีอีที่บนร่างยังมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกยังคงมีใบหน้าซีดขาว เอนหลังพิงเก้าอี้เพื่อพักร่าง ยามได้ยินอีกฝ่ายว่ามาเช่นนั้นนัยน์ตาก็ไม่พอใจ จ้องหลานอวี่เอ่ยเสียงต่ำ “ทุกวันนี้ท่านพี่ข้ามีเรื่องต้องจัดการมากมายอยู่แล้ว เรื่องเล็กเท่านี้จะปล่อยให้เขาต้องมานั่งกังวลได้อย่างไร? อีกไม่ถึงวันมันก็จบลงแล้ว หากพวกเรากัดฟันทนสักหน่อยไม่นานย่อมผ่านไปได้”
หลานอวี่ถูกสั่งสอนเช่นนั้นก็ไม่กล่าวอะไรอีก ก้มหน้ากินของในมือต่อไปอย่างเงียบเชียบ
ชิงอวี่เก็บสายตากลับมา แต่เมื่อหันกลับมาก็พบว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจ้องมองนางท่าทางครุ่นคิด
“อะไร?” ชิงอวี่เลิกคิ้ว “บนหน้าข้ามีดอกไม้บานขึ้นมาหรือไร?”
ชิงเป่ยส่ายหัว ก่อนจะเหลือบมองคนที่โต๊ะด้านหลัง “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าท่านสนใจพวกเขาอยู่ไม่น้อยเลย?”
ชิงอวี่คลี่ยิ้ม ก่อนจะโน้มตัวไปกระซิบ “จำที่ข้าบอกได้หรือไม่ว่าเจ้ามีพลังวิญญาณกล้าแข็ง?”
“ข้าจำได้” ชิงเป่ยพยักหน้า แต่มันเกี่ยวอะไรกับที่นางสนใจคนเหล่านั้นหรือ?
“คนพวกนั้นมาจากตระกูลหลักชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณ หากข้าจำไม่ผิด สายเลือดตระกูลหมิงแห่งชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณได้ให้กำเนิดอัจฉริยะมาสองคนที่มีพลังวิญญาณกล้าแข็งมาก คนหนึ่งคือนายน้อยชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณนามหมิงจิ้ง อีกคนหนึ่งคือองค์หญิงน้อยอันเป็นที่รักของชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณ นามว่าหมิงอีอี” ชิงอวี่ค่อย ๆ กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ชิงเป่ยหัวไวมีไหวพริบ ชะงักค้างไปเล็กน้อยแต่ก็ตอบสนองในพลัน “แม้นางน้อยตรงนั้นคือองค์หญิงน้อยชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณ….. หมิงอีอีกระมัง?”
“ถูกต้อง” ชิงอวี่ยิ้มใส “ดูท่านางจะสุขภาพไม่ค่อยดี ข้ากำลังคิดหาทางตีสนิทนางอยู่”
ชิงเป่ย “…..”
สีหน้าท่าทางนางตอนนี้ราวกับจิ้งจอกเจ้าแผนการตัวหนึ่งไม่มีผิด
เบื้องหน้านางมักวางท่าทีห่างเหินเย็นชา ไม่ข้องเกี่ยวกับผู้ใดใกล้ชิด แต่เมื่อนางเริ่มวางแผนร้ายกาจกับผู้ใดแล้วละก็ ใบหน้าเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายก็จะเผยออกมา เปลี่ยนนางไปเป็นคนละคน
เมื่อออกจากโรงเตี๊ยมมาแล้ว ทิวเขาสลับซับซ้อนก็เผยให้เห็นสุดลูกหูลูกตา บนยอดมีหมู่เมฆเคลื่อนคล้อย ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเขาลูกไหนกันแน่ที่ซ่อนทางเข้าสำนักเอาไว้
พื้นที่แถบนี้ทั้งซับซ้อนเป็นยิ่งนัก ถนนหนทางบนเขาคดเคี้ยวมีอยู่นับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงหลงทิศได้ง่าย ทุกคนจึงจำคำเฉียวเว่ยไว้ขึ้นใจ ไม่กล้าเดินไปไกลนัก อีกทั้งยังไปกันเป็นกลุ่ม อย่างน้อยจะได้ช่วยดูแลกันได้
บังเอิญนัก ชิงอวี่กับพวกเดินไปทางเดียวกับหมิงอีอีกับเพื่อนพอดิบพอดี ดังนั้นพวกนางจึงร่วมทางไปด้วยกัน
หมิงอีอีย่อมจำชิงอวี่ได้ ตอนที่พบกันคราแรก แม่นางน้อยผู้นี้โดดเด่นนัก ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาท่าทางก็น่าจดจำไม่มีเลือน แต่อีอีมีนิสัยเก็บตัว ไม่เคยชินกับการเริ่มบทสนทนาก่อน ดังนั้นจึงทำเพียงพยักหน้าให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพ จากนั้นเดินนำหน้าไปคนเดียว
แม้เยี่ยนซีอู่ปกติจะหัวทื่อไม่รู้สิ่งใด แต่ครั้งนี้ดูท่าจะสัมผัสได้ นางดึงแขนเสื้อชิงอวี่ชิงอวี่ไว้ “นี่ เจ้าแอบเดินตามนางหรือ?”
ชิงอวี่เหลือบมอง “เจ้าใช้คำว่าแอบตามเลยหรือ?”
เยี่ยนซีอู่สะอึก ครู่หนึ่งถึงเอ่ยคำ “เอาเถอะ ข้าเพียงแต่เห็นว่าเจ้าตั้งใจจะเดินตามนางไปก็เท่านั้น”
“อืม เจ้าก็ไม่ได้โง่นี่” ชิงอวี่ตอบกลับ
“…..”
สภาพอากาศในแต่ละฤดูของแคว้นชิงหลานนับว่าอ่อนโยนกับผู้คนที่สุด ในช่วงเวลานี้ของปี ที่อื่นจะเริ่มมีหิมะโปรยแล้ว แต่ที่นี่ยังเพิ่งจะเริ่มหนาว ผู้คนสวมชุดฤดูหนาวที่หนาตามปกติเท่านั้น
แต่เบื้องหน้าพวกนาง ร่างบางของแม่นางน้อยถูกคลุมไว้ด้วยชุดคลุมหนา ขนจิ้งจอกที่คลุมร่างเป็นของชั้นดีที่กันความหนาวได้ชะงัดนัก นับว่ายังเร็วไปที่จะนำออกมาใช้ในยามนี้ แต่แม้นางจะมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกพันร่างไว้ ดวงหน้าเล็กก็ยังขาวซีด ริมฝีปากไร้สีเลือด
นางจับเสื้อคลุมแนบกายแน่น ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้า
เชียนอวิ๋นในชุดสีเขียวรีบเดินตามมา “อีอี เจ้าจะไปไหนกัน? เราจะเดินไปไกลมากไม่ได้นะ ไม่เช่นนั้นหากกลับไม่ถูกจะทำอย่างไร?”
หมิงอีอีเม้มปากแน่น เสียงแหบแห้งเล็กน้อยยามเอ่ย “ช่วยข้าหางูทรายสีเลือดหน่อย…..”
เชียนอวิ๋นและหลานอวี่หยุดฝีเท้าทันใด “เจ้าคิดจะทำอะไรกัน?”
“ข้าทนได้อีกไม่นาน” ใบหน้านางซีดขาว ริมฝีปากเริ่มเจือสีแดงจากการที่นางกัดมันจนแน่น “เลือดจากงูทรายสีเลือดช่วยบรรเทาอาการข้าได้”
“อีอี เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ? งูทรายสีเลือดมีพิษร้ายมากนะ!” เชียนอวิ๋นนัยน์ตาแดงก่ำ ร้องเสียงแผ่วออกมา “เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้ ข้าจะส่งจดหมายไปหานายน้อย เราจะอยู่ในที่เฮงซวยนี่ต่อไปไม่ได้แล้ว หากวันนี้เกิดเรื่องกับเจ้า แม้จะตายพวกเราก็ไม่อาจหาคำอธิบายให้นายน้อยได้!”
พูดจบนางก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากเสื้อคลุม กำลังจะทำลายมัน แต่หมิงอีอีหันกลับมาเสียก่อน นัยน์ตาเผยแววเย็นชา “เจ้ากล้าขัดคำข้า”
“แต่เจ้า…..”
“ข้าบอกว่าข้าไม่เป็นไร อย่านำเรื่องเล็กน้อยไปทำให้พี่ชายข้าต้องปวดหัว!” หมิงอีอีกัดฟันพูด เค้นแต่ละคำออกมา
เชียนอวิ๋นหลับตาลง แขนทั้งสองข้างเองก็ลดลงอย่างพ่ายแพ้ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยโศกเศร้า ราวกับกำลังเจ็บปวดแทนนางจนไม่อาจทนไหว
สุดท้ายก็มีเงาร่างสีแดงผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลานอวี่รีบคว้ามันไว้ กำตรงส่วนที่ห่างจากหัวมันลงมาเจ็ดชุ่น ก่อนจะส่งมันให้หมิงอีอี
แม้เขาจะรู้ดีว่างูทรายสีเลือดมีพิษเพลิงร้ายกาจ แต่นี่ก็เป็นวิธีเดียวที่สามารถใช้ต้านไอเย็นที่ปกคลุมหัวใจนางได้ หากพวกเขาไม่ไร้ทางเลือก มีหรือที่พวกเขาจะคิดดื่มเลือดสดจากอสูรเช่นนี้?
แต่….. นางยังอยากมีชีวิตอยู่
นางคว้าลำตัวงูไว้ กำลังจะตัดหลอดเลือดและดื่มเลือดมัน แต่กลับมีกรวดเล็กก้อนหนึ่งกระเด็นมาถูกหลังมือนาง นางผงะตกใจ ปล่อยมือที่กำงูทรายสีเลือดทันที มันจึงเลื้อยหนีไปในพริบตา
หมิงอีอีนัยน์ตาทะมึนลง ก่อนจะกลายเป็นกระหายเลือด