สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 146 ปรารถนาจะครอบครอง
เห็นคนอื่น ๆ คุยเรื่องเด็กหนุ่มประหลาดกันอย่างออกรสแล้ว เยี่ยนหนิงลั่วจึงมองชิงเป่ยที่ยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ด้วยสายตาสับสน เขาก็เหมือนกับชิงอวี่ ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปจากหลักการเดิม ดำเนินไปในทิศทางที่นางไม่อาจเข้าใจ
เหมือนกับเยี่ยนชิงอวี่ที่อ่อนแอไร้ค่ายามนางยังเด็ก ไม่เพียงแต่มีท่าทีเปลี่ยนไปมากจนนางอ่านไม่ออก แต่ยังสนิทสนมกับบุรุษในใจเพียงหนึ่งเดียวของเยี่ยนหนิงลั่วอีกด้วย
ส่วนเจ้าเด็กที่พิการนั่งเก้าอี้เข็นมานานนับปี ไม่เพียงวันนี้ลุกขึ้นได้อีกครั้ง แต่ยังกล้าตอกกลับมารดานาง ทำให้ท่านพ่อผิดหวังในตัวท่านแม่ ตอนนี้จึงถูกทอดทิ้งไปโดยสมบูรณ์
หรือเด็กแฝดคู่นี้จะเกิดมาเพื่อเป็นปฏิปักษ์กับนางกันนะ?
นัยน์ตาเยี่ยนหนิงลั่วเจือด้วยแววทะมึน ราวกับหลุมดำน่ากลัวที่ดูดกลืนคนเข้าไปได้ นานนักกว่านางจะสงบสติอารมณ์ลงได้
เหล่าศิษย์ที่เดินนำหน้ากลุ่มคนมากำลังจะเอ่ยปากอธิบาย แต่ก็ทำท่าราวกับได้รับคำสั่งบางอย่าง สายตาพลันเปลี่ยนเป็นออกจะสงสารเวทนายามมองเหล่าผู้รับการทดสอบทั้งหลาย ก่อนที่เขาจะถอยออกไป
หนุ่มสาวทั้งหลายที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้แต่ยืนงงอยู่เช่นนั้น
หรือว่า….. จะคิดวิธีทรมานใหม่ออกแล้ว?
ผู้อาวุโสจินและคนอื่น ๆ ที่อยู่หลังเกราะกำบังพลันเข้าใจจุดมุ่งหมายของใครบางคนทันที
หมิงจิ้งที่มีระดับพลังวิญญาณแตะระดับ 8 เด็กพวกนี้ก็เป็นเพียงหนอนแมลง ไม่มีค่าพอให้ต้องทดสอบ…..
พริบตานั้นเอง คนทั้งสี่เบื้องหลังเกราะบังตาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากร่างหมิงจิ้ง มันบีบคั้นจิตใจคนนัก ไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย
กระทั่งพวกเขายังรู้สึกกดดันมากเช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเด็กน้อยไร้ประสบการณ์พวกนั้นเลย
ซู่หลีม่อก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ เจ้านี่จะโหดร้ายเกินไปแล้ว
นัยน์ตาดำสนิทบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาดั่งหยกเปล่งประกายแสงเรืองสีทอง พลังวิญญาณกลั่นรวมออกจากนัยน์ตา ก่อร่างกลายเป็นสิงโตดุดันสีน้ำเงินกำลังแยกเขี้ยว อสูรสีน้ำเงินพุ่งกระโจนออกจากเกราะบังตาเข้าใส่เหล่าเด็กหนุ่มสาวเบื้องล่างที่พากันหน้าซีดเผือด ส่งเสียงร้องหวาดผวาออกมา
นับว่าน่ากลัวกว่ารอบที่ถูกอสูรวิญญาณวิ่งไล่กวดเสียอีก การโจมตีด้วยพลังจิตอันแข็งกล้าทำลายเกราะป้องกันจิตของทุกคนลง ทวีคูณความกลัวภายในขึ้นหลายเท่า ไม่อาจต่อต้านได้แม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพียงอสูรวิญญาณที่สร้างขึ้นจากพลังวิญญาณ แต่กลับไม่มีใครกล้าต่อต้านมันเลย ส่งผลให้แต่ละคนถูกคัดตกรอบไป
หมิงจิ้งอดขยับยิ้มเย้ยที่มุมปากไม่ได้ แต่ทันใดนั้นรอยยิ้มก็หม่นลงเล็กน้อย สีหน้าติดประหลาดใจเล็กน้อย
เขาเห็นเด็กหนุ่มที่ดูสงบและสำรวมท่าทีที่สุดยังคงยืนนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงซีดลงเล็กน้อยเท่านั้น นัยน์ตาคู่งามส่องประกายโชติช่วง ร่างสูง ออกจะผอมไปสักหน่อยของเขาเหยียดตรงขณะที่เผชิญหน้ากับสิงโตอสูร ไม่เผยแววตกใจแม้แต่น้อย
ใบหน้าตกใจของหมิงจิ้งดูขัดแย้งเล็กน้อย เด็กคนนี้มีพลังจริงหรือแค่ทำทีเป็นสงบนิ่งกันแน่?
จริง ๆ แล้วเขาจะดึงพลังวิญญาณกลับมาเลยก็ได้ เพราะอย่างไรก็เป็นเพียงการทดสอบ ไม่ได้หมายจะเอาชีวิตใครตั้งแต่แรก แต่เอยากจะรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะรับมืออย่างไร
หากเจ้าเด็กนั่นเพียงทำใจแข็งไปอย่างนั้นแล้วถูกสิงโตอสูรทำร้ายเข้า พลังบำเพ็ญก็อาจถูกทำลายสิ้นได้
ชิงเป่ยหรี่ตาจ้องอสูรวิญญาณที่เข้ามาใกล้เขาเรื่อย ๆ บนใบหน้าเขาไร้ซึ่งความหวาดผวา มีเพียงความสนใจ ชิงอวี่เคยบอกไว้ว่าเขามีพลังวิญญาณกล้าแข็ง ดังนั้นจึงรับรู้สิ่งที่คนอื่นไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นเขาจึงอยากรู้ว่าตนเองมีพลังถึงขั้นไหนกันแน่
พลังทั้งหลายรวบรวมกันที่นิ้วเรียว ก้อนพลังสายฟ้าสีม่วงก่อร่างขึ้นกลางฝ่ามือเขาพร้อมเสียงดังเปรี๊ยะ เมื่อสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามันเจือด้วยเส้นสีทองเหลือบแดงอยู่ภายใน
พริบตาที่สิงโตอสูรใกล้เข้ามา เด็กหนุ่มก็กำหมัดแน่นจนเห็นเส้นเลือดเขียวปูดโปน จากนั้นเล็งไปที่หน้าผากเจ้าอสูรแล้วส่งหมัดออกไป
รอยยิ้มเย้ยที่มุมปากหมิงจิ้งลึกล้ำขึ้น เจ้าเด็กนั่นวางท่าไปอย่างนั้น คิดว่าจะสามารถทำลายภาพมายาสิงโตอสูรได้งั้นหรือ? ใสซื่อจริง!
หากแต่พริบตาต่อมามันกลับต้องกลายเป็นรอยยิ้มแข็งค้าง
สิงโตอสูรดุร้ายตัวนั้นร่วงลงมาราวกับบาดเจ็บหนัก รอบกายถูกกระแสสายฟ้าสีม่วงโอบล้อมโจมตีไร้เมตตา มันบิดร่างไปมา ร่างกระตุกรุนแรง ที่กลางหน้าผากเห็นรอยฝ่ามือประทับลงไปเด่นชัด
ผู้อาวุโสเหยียนที่นั่งสงบมาโดยตลอดผุดลุกขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “เด็กฝีมือดี! รวมพลังวิญญาณเข้ากับพลังยุทธ์ ช่วยเสริมพลังวิญญาณถึงขั้นสุด สำแดงพลังได้มหาศาล ไร้ผู้ใดหยุดยั้ง!”
พูดจบก็หันมองหมิงจิ้งที่ยังตกตะลึงอยู่ ก่อนเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “ครั้งนี้เจ้าประมาณผิดไป เด็กคนนั้นมีพรสวรรค์ไม่ต่ำต้อยกว่าเจ้าเลย”
หมิงจิ้งที่เปลี่ยนสีหน้าไปมาเช่นนี้เป็นภาพที่น่ามองนัก
แต่คนที่ตกใจที่สุดยังคงเป็นเยี่ยนหนิงลั่ว
ใบหน้างดงามดูเย่อหยิ่งของนาง หากนางไม่ฝืนทำหน้านิ่งไว้ คนอื่น ๆ คงได้เห็นปฏิกิริยาประหลาดจากนางไปแล้ว
นิ้วมือใต้แขนเสื้อยาวพลันกำแน่นขึ้นมาจนข้อซีดขาว ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ในใจนางอารมณ์ตีกันวุ่นวายถึงเพียงไหน
เป็นไปได้อย่างไร? เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้?
เยี่ยนซีอู่ผ่านรอบแรกมาอาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่ความสามารถของชิงเป่ยทำให้นางไม่อาจหลอกตนเองได้อีกต่อไป
เหตุบังเอิญประเภทไหนกันที่ทำให้พลังบำเพ็ญของพวกนั้นเพิ่มสูงขึ้นมากเช่นนี้? หากสองคนนี้ยังฝีมือมากขนาดนี้ แล้วชิงอวี่ที่นางอ่านไม่ออกคนนั้นจะมีมากถึงขั้นใดกัน…..
เยี่ยนหนิงลั่วอดนึกถึงใบหน้างดงามของอีกฝ่ายที่ไม่ด้อยไปกว่านาง ทั้งยังนัยน์ตาอ่อนโยนของชิงเยี่ยหลียามมองอีกฝ่าย ในใจนางพลันรู้สึกหนักหน่วง ลมหายใจติดขัด ใบหน้าเริ่มเผยแววชั่วร้ายจนปิดไม่มิด
“หนิงลั่วไม่สบายหรือ? สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนะ” ผู้อาวุโสเหยียนเอ่ยน้ำเสียงเป็นห่วง ดึงนางหลุดจากภวังค์
เยี่ยนหนิงลั่วกดความคิดร้ายกาจไว้ภายใน ไล่ความคิดนั้นออกไปด้วยการถอนหายใจยาวก่อนจะส่งยิ้มบางให้อีกฝ่าย “ขอบคุณผู้อาวุโสที่เป็นห่วง หลายวันมานี้ข้าคงพักผ่อนไม่พอกระมัง”
“งั้นหรือ” ผู้อาวุโสเหยียนไม่คิดสงสัย ส่งยิ้มตอบนาง “การทดสอบจบลงก็ไม่มีอะไรต้องเหนื่อยแล้ว เจ้าจะได้ไปพักผ่อนดี ๆ”
“อืม” เยี่ยนหนิงลั่วพยักหน้า ใบหน้ากลับเป็นนางคนเดิม
ไม่แน่ว่ากลุ่มนี้อาจเป็นกลุ่มที่กลับออกมาเร็วที่สุด และดูเหมือนจะถูกปฏิเสธทุกคนด้วยเช่นกัน
เว้นชิงเป่ยที่เดินรั้งท้ายมาอย่างไม่รีบร้อน เมื่อเห็นหน้าเด็กสาวจึงเพิ่งจะคลี่ยิ้มออกมา “ชิงอวี่ ข้าผ่านแล้ว”
ราวกับอยากให้นางเห็นว่าตนเองเก่ง ยังพูดเสริมขึ้นอีกว่า “ข้าผ่านคนเดียวด้วย”
ชิงอวี่นัยน์ตายกโค้งเป็นจันทร์เสี้ยว มองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่สูงกว่านางเกือบครึ่งช่วงหัวตนไปแล้ว พลันยื่นมือไปขยี้ผมนุ่มของอีกฝ่ายอย่างที่เคยทำ “เสี่ยวเป่ยเก่งมาก”
ชิงเป่ยไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี พลางดึงแขนนางลง “ท่านเห็นข้าเป็นโร่วโร่วหรือ?”
นางใช้น้ำเสียงแบบเดียวกับที่ใช้หยอกเอินเด็กน้อยกับเขา
ชิงอวี่หัวเราะ กำลังจะเอ่ยคำ แต่นัยน์ตาพลันกวาดไปมองอีกทางหนึ่ง ทว่าไม่เห็นใคร
แปลกจริง เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนมีคนจ้องนางอยู่กัน? หรือนางจะตาฝาด?
ที่ทางเดินแกะสลักภายในสำนักละอองหมอก หมอกลึกลับกำจายโดยรอบราวกับแดนเซียน ร่างสูงสมส่วนของคนผู้หนึ่งในชุดขาวค่อย ๆ เดินไปตามทาง ด้านหลังมีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเดินตามไม่ห่าง
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วบาง ดูเหมือนจะไม่เข้าใจบางอย่าง ผ่านไปครู่ใหญ่ ๆ จึงจะลังเลเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา “พี่ใหญ่ เมื่อครู่ท่านมองอะไรหรือ?”
เขาจ้องค้างอยู่นานมากราวกับถูกตรึงร่าง
ฝีเท้าอีกฝ่ายชะงักลง “หืม?”
น้ำเสียงสูงเล็กน้อยที่จับจิตจับใจคนฟังนี้ ฟังแล้วรู้สึกรื่นหูรื่นใจอย่างน่าประหลาด
เด็กหนุ่มตื่นตะลึงอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะดึงสติกลับมาท่าทางเขินอายอยู่เล็กน้อย เกาท้ายทอยตนแล้วเอ่ยเสียงเจื่อน “ข้าเพียงไม่เคยเห็นพี่ใหญ่เป็นเช่นนั้นมาก่อนจึงคิดว่าน่าประหลาดนัก”
อีกฝ่ายพลันหัวเราะเสียงเบาไพเราะเสนอหู “เช่นนั้นคือเช่นไหน?”
คิดอยู่ครู่หนึ่งเด็กหนุ่มจึงอธิบายออกมาได้ “คล้ายกับหินที่ถูกขว้างไปบนผืนน้ำนิ่งสนิท เกิดเป็นน้ำกระเพื่อมขึ้นมา หรือคล้ายกับที่ราบแห้งแล้งไร้ชีวิตที่เกิดเพลิงโหมไหม้…..”
“ข้าอธิบายได้ไม่ดีนัก แต่ข้ารู้สึกราวกับว่าจู่ ๆ พี่ใหญ่ก็มีความเป็นมนุษย์ขึ้นมามากกว่าแต่ก่อนเสียอย่างนั้น”
ไม่รู้สึกราวกับจับต้องไม่ได้ เป็นเงาร่างมายา อยู่ใกล้เหมือนอยู่ไกล คล้ายกับเป็นปริศนาจากต่างโลก นัยน์ตาคู่นั้นของอีกฝ่าย ตอนนั้นมันส่องประกายรุนแรงอย่างไม่น่าเชื่อ…..
เป็นประกายแสงที่คล้ายกับความปรารถนาจะครอบครองบางอย่าง อย่างแรงกล้า
รอยยิ้มบนใบหน้าเขาแข็งค้างไปเล็กน้อย จู่ ๆ ก็ความเป็นมนุษย์ขึ้นมา?
อาจจะจริงก็ได้ ไม่รู้ทำไม ภาพของคนผู้นั้นพลันมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาจนเขาตกตะลึงไป ภายในใจก่อเกิดความรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาทันที
แต่เขาไม่เคยรู้จักคนผู้นั้นมาก่อน เฮ้อ จู่ ๆ ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นเสียได้
เวลาหมุนเวียนไหลผ่าน คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าแล้วก็ออกมา จนกระทั่งถึงคราวมู่ไหล ถัดจากนั้นก็เป็นชิงอวี่และหมิงอีอีแล้ว
เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่ดูประหม่ามากแล้ว มู่ไหลที่เชี่ยวชาญทั้งวิชาแพทย์และวิทยายุทธ์ย่อมมีความสามารถเหนือกว่ามาก ไม่ต้องกลัวจะถูกคัดออกเลย
ยอดอัจฉริยะอย่างนาง สำนักละอองหมอกต้องรีบรับนางเข้าไป หากคัดออกก็นับว่าเป็นความเสียหายใหญ่หลวงแล้ว
อีกทั้งในใจนางก็ไม่ได้คิดอยากเข้าสำนักมากมายอะไร ดังนั้นจึงไม่มีความกังวลใดให้กลัดกลุ้ม
หลังโบกมือลาชิงอวี่และคนอื่น ๆ มู่ไหลก็เดินเข้าไปด้านในพร้อมกับคนอื่น ๆ
บังเอิญนักที่คนทั้งหมดต่างก็เป็นนักปรุงยา ดังนั้นการทดสอบในรอบนี้จึงเป็นความสามารถด้านการแพทย์อย่างไม่ต้องสงสัย
สถานที่ทดสอบคือห้องปรุงยาขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ใช้เพื่อการทดสอบหรือประลองในสำนักโดยเฉพาะ โดยจัดให้สามารถมีผู้เข้าร่วมการปรุงยาได้ครั้งละ 12 คน เตาหลอมยาตั้งอยู่ตามจุด ด้านข้างยังมีสมุนไพรมากมายหลากชนิด
แค่มองปราดเดียวก็เห็นว่าเครื่องไม้เครื่องมือดูเก่าซอมซ่อนัก
“หัวข้อในวันนี้คือยาระดับ 7 ขั้นกลาง คนที่ทำเตาหลอมยาแตกจะถูกคัดออก ระดับนักปรุงยาไม่มากพอถูกคัดออกเช่นกัน ห้ามใช้เตาหลอมยาและสมุนไพรที่นำติดตัวมาเอง หากพบว่ามีการหลอกลวงหรือโกงเกิดขึ้นจะถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าทดสอบเจ้าสำนักไปชั่วชีวิต ตอนนี้เริ่มปรุงยาได้ มีเวลาให้ชั่วหนึ่งก้านธูป [1]”
เชิงอรรถ
[1] หนึ่งก้านธูป เท่ากับครึ่งชั่วโมงหรือ30นาที