สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 147 ม้ามืดปรากฏ
ยาระดับ 7 ขั้นกลาง นักปรุงยาต้องมีฝีมืออย่างน้อยขั้นเงินจึงจะสามารถกลั่นยาออกมาได้สำเร็จ
ความบริสุทธิ์ของยาระดับ 7 ก็มีความแตกต่างกัน ไม่อาจทำให้บริสุทธิ์ได้ทั้งหมดได้โดยง่าย นับเป็นการทดสอบความรู้เรื่องสมุนไพรและความเข้มข้นของไฟโลหิตของนักปรุงยานั้น ๆ
แต่พวกเขาไม่กังวลเรื่องนั้น เป็นเรื่องเตาหลอมยาและเครื่องไม้เครื่องมือเก่า ๆ เหล่านี้ต่างหากที่พวกมันทำท่าราวกับจะระเบิดระหว่างกลั่นยาได้ตลอดเวลา
ในฐานะนักปรุงยา แต่ละคนย่อมมีหม้อต้มยาและเตาหลอมยาเป็นของตน แต่เมื่อกฎห้ามไม่ให้ใช้ของที่พกมา ไม่ว่าเตาส่วนตัวจะคุณภาพดีแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
ดังนั้นเมื่อธูปถูกจุด ทุกคนจึงเริ่มเลือกสมุนไพรจากกองด้านข้างตัวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
การเลือกสมุนไพรก็ต้องใช้ฝีมือเช่นกัน
สมุนไพรต่าง ๆ หน้าตาเหมือนกันก็มาก ประมาทเพียงนิดก็อาจจำสลับชนิดได้
แค่ต้องหาตัวยาที่ถูกต้อง แม้ตอนนี้จะเริ่มเข้าฤดูหนาว แต่หลังของคนบางคนก็เริ่มชื้นเหงื่อแล้ว
มู่ไหลที่มีท่าทีสบาย ๆ มาตั้งแต่เริ่ม นางเกิดและเติบโตมาในตระกูลนักปรุงยา เล่นกับสมุนไพรมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก วุ่นวายอยู่ในห้องปรุงยาทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ย่างเท้าออกมา
ภารกิจประจำวันของเด็ก ๆ ที่ฝึกเป็นนักปรุงยาสมัยนั้นคือการจำลักษณะของสมุนไพรสองร้อยชนิดให้ได้ หากจำผิดชื่อหนึ่งหมายถึงอดข้าวทั้งวัน
ดังนั้นยามเมื่อผ่านการฝึกปรือหนักหน่วงมาแล้ว นักปรุงยาธรรมดาส่วนมากจึงไม่มีปัญหาในการจดจำสมุนไพรต่าง ๆ กว่าสองร้อยชนิด อีกทั้งคนจากตระกูลนักปรุงยายังต้องจำให้ได้เป็นอย่างน้อย 500 ชนิด ส่วนมู่ไหล ในฐานะที่เป็นศิษย์ความสามารถยอดเยี่ยมที่สุดในรุ่นตนของตระกูลนักปรุงยาแล้ว นางสามารถระบุสมุนไพรได้มากกว่าพันชนิดทีเดียว
นางไม่เพียงรู้หน้าตา กลิ่น และคุณประโยชน์ของมัน แต่ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชา นางสามารถเลือกสมุนไพรที่หน้าตาเหมือนกันออกมาได้มากถึงร้อยชนิด
ดังนั้นแค่การเลือกสมุนไพรให้ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสบายมาก
เทียบกับคนอื่น ๆ ที่เลือกสมุนไพรต่าง ๆ ออกมามากนับสิบชนิดแล้ว มู่ไหลกลับเลือกมาเพียงห้าชนิด คือ หญ้าแก่นพิภพ ดอกหนวดมังกร ผลวิญญาณปีศาจ แมงมุมร้อยตา และน้ำตานางเงือก
หลังนางทะลวงขั้นมาแล้ว ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางได้ทำการหลอมยา และยาที่นางคิดจะหลอมมีชื่อว่าเจ็ดวันล้างอารมณ์ โดยจะถูกทำให้อยู่ในสภาวะสงบนิ่งนานเจ็ดวัน และเมื่อฟื้นขึ้นมาก็จะลืมเลือนความรู้สึกรักใคร่ทุกอย่างไป กลายเป็นคนไร้รักนับแต่นั้นมา
มันคือยาที่นางบังเอิญพบในตำราแพทย์ แต่ยังไม่เคยลองหลอมมันมาก่อน ดังนั้นลองเสียที่นี่ก็นับว่าดี
คนอื่น ๆ เริ่มใส่สมุนไพรลงในเตาหลอมเพื่อกลั่นพวกมันให้บริสุทธิ์ถึงแก่นแล้ว แต่มู่ไหลยังค่อย ๆ ล้างสมุนไพรอยู่ มีบางชนิดที่เปราะบางนัก หากใช้ไฟแรงไปจะไหม้เป็นจุณได้ ดังนั้นนางจึงใช้ไฟอ่อน ค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิในเตาหลอมและค่อย ๆ กลั่นสมุนไพรนั้นไป
เวลาผ่านไปไม่ทันรู้ตัว ก้านธูปเผาไหม้ไปสามส่วนแล้ว
แม้จะเปลี่ยนสถานที่การทดสอบ แต่ผู้อาวุโสจินและผู้คุมคนอื่น ๆ ก็ยังสามารถเห็นภาพในห้องปรุงยาได้อย่างชัดเจน
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ซู่หลีม่อไม่รู้เรื่องการปรุงยา เห็นได้ชัดว่าไม่ใส่ใจ หันไปถามผู้อาวุโสจินด้านข้าง
ผู้อาวุโสจินนั้นในใจเลือกเจ้าเด็กประหลาดชุดขาวเมื่อก่อนหน้าไว้แล้ว แต่เมื่อดูการทดสอบในรอบนี้เขาก็ยังพยักหน้าเอ่ย “เจ้าเด็กพวกนี้ฝีมือปรุงยาไม่เลว แต่จะปรุงสำเร็จหรือไม่ก็อีกเรื่อง”
ในฐานะที่เป็นสำนักแนวหน้าของสามสำนักใหญ่ สำนักละอองหมอกย่อมไม่ขาดเงินตราจนซื้อหาเตาหลอมยาหม้อต้มใหม่ไม่ได้ แต่เป็นการจงใจทำเพื่อทดสอบ ทว่าการจะหาของเก่าเช่นนี้มาก็ไม่ใช่ง่าย ๆ ทีเดียว!
ซู่หลีม่อยิ้มมุมปาก ไม่ตอบกลับไป เพียงแต่คิดว่าอีกครึ่งชั่วยามก็คงจะทดสอบเสร็จสิ้นกระมัง
เขาได้ยินจากลั่วหลานจือที่ส่งคำผ่านโทรจิตมาว่าพี่ใหญ่กลับมาแล้ว แต่เขาสัญญากับสภาผู้อาวุโสไว้ว่าจะมาเป็นผู้คุมการทดสอบเข้าสำนักด้วย มีผู้อาวุโสขนาบข้างถึงสองคนเช่นนี้เขาจึงไม่อาจปลีกตัวหนีไปได้ ทำได้เพียงนั่งรอต่อไป
ธูปไหม้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว มู่ไหลลงมือช้าที่สุด นางเพิ่งจะเริ่มหลอมยาเท่านั้น
“เปรี๊ยะ!”
เป็นไปตามคาด เตาหลอมหนึ่งส่งเสียงเปรี๊ยะดังลั่น และแยกออกเป็นสองส่วน ไฟโลหิตลุกพรึ่บออกมา เตาหลอมยิ่งแตกจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
คือหญิงสาวอายุราวสิบหกสิบเจ็ดคนหนึ่ง นางเห็นดังนั้นก็ชะงักไป แต่ก็ดึงสติกลับมารวดเร็ว พยายามรักษาเม็ดยาสีเขียวแก่ที่กำลังหลอมไว้ พยายามนำไฟโลหิตเคลื่อนใส่เตาหลอมอีกเตาที่ตั้งอยู่ด้านข้าง
ไม่รู้ว่านางทำพลาดที่ตรงไหน พริบตาที่เม็ดยาแตะอากาศ มันก็กลายเป็นฝุ่นสลายหายไปทันที
หญิงสาวชะงักค้างไปเป็นเวลานาน
จนกระทั่งศิษย์สำนักคนหนึ่งเดินมากล่าวว่า “เจ้าถูกคัดออกแล้ว”
หญิงสาวจึงได้สติกลับมา น้ำตาไหลอาบแก้ม คร่ำครวญเสียงเบาก่อนจะเดินตามศิษย์ผู้นั้นจากไป
ผู้อาวุโสจินส่ายหน้าอย่างเวทนา “แม่นางน้อยผู้นั้นรับมือได้ว่องไว มีฝีมือพอตัว แต่เลือกสมุนไพรผิด ทำให้ตัวยาเสื่อมสภาพ สุดท้ายก็ถูกทำลายลง หากนางไม่เลือกผิดตั้งแต่แรกก็อาจมีหนทางรักษายาไว้ได้”
การที่นางพยายามย้ายไฟโลหิตไปใส่อีกเตาหลอมนั้นสมควรยกย่องนัก เป็นการทำให้ยาเสร็จสิ้นภายในเวลาที่กำหนด ช่างน่าเสียดายนัก
ธูปหายไปครึ่งดอกกลับมีคนถูกคัดออกไปเสียแล้ว พริบตาที่เตาหลอมระเบิดออก คนที่นั่งใกล้สุดสองคนก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
คนหนึ่งตกใจกับเสียงระเบิดจนอารมณ์วุ่นวาย ส่งผลให้ไฟโลหิตลุกโหมหนัก ไหม้ตัวยาจนกรอบ ส่วนอีกคนถูกเศษเตาหลอมกระเด็นบาดมือ เลือดหยดหนึ่งไหลไปรวมกับตัวยา ทำลายตัวยาจนสิ้น
สองคนนี้คงเป็นคนที่ถูกคัดออกอย่างไม่เป็นธรรมที่สุดก็ว่าได้
ดังนั้นศิษย์ที่เดินนำพวกเขาจากไปจึงมีสีหน้าเห็นใจมากที่สุด
มู่ไหลดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบอะไร ยาของนางเกือบจะสำเร็จแล้ว ยังเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเค่อ[1] หลายคนใกล้จะหลอมเสร็จแล้วเช่นกัน หากแต่สภาพเตาหลอมนั้นย่ำแย่มาก สุดท้ายก็ไม่พ้นชะตากรรมเตาหลอมระเบิด
และเมื่อมีตัวอย่างให้เห็นก่อนหน้าแล้ว คนอื่น ๆ จึงเตรียมตัวรับมือเหตุการณ์เตาหลอมคนอื่นระเบิดเป็นอย่างดี
แต่น่าเสียดาย ท่าจะมีอีกหนึ่งเตาหลอมระเบิด คนอีกหนึ่งต้องจากไปเสียแล้ว
ยาเจ็ดวันล้างอารมณ์นั้นสีขาวราวหิมะ ไร้รสชาติใด แต่ภายในมันมีสีแดงจัด ทำให้บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นสีแดงเลือด เหลือเพียงขั้นสุดท้ายก็จะนับว่าปรุงยาเสร็จสิ้น
มู่ไหลย่อมไม่ปล่อยให้หยาดเหงื่อแรงกายสูญเปล่า นัยน์ตากระจ่างนางส่องประกายไฟร้อนแรง ควบคุมก้อนลูกไฟสีน้ำเงินในเตาหลอม ก่อนจะเปลี่ยนเป็นไฟที่มั่นคงกว่าล้อมรอบตัวยาไว้เพื่อทำการกลั่นยาต่อไป
นักปรุงยาโดยรอบต่างพากันจุดเทียนไว้อาลัยนางในใจ หากแต่ก็ต้องเบิกตากว้างกับสิ่งที่เห็น ไม่อยากเชื่อสายตาตน
แม่นางผู้นี้คิดใช้มือเปล่าหลอมยางั้นหรือ??
แม่นางฝีมือเข้าขั้นเสียสติคนนี้มาจากที่ใดกัน? ฝีมือเช่นนี้กระทั่งศิษย์สำนักในภาควิชานักปรุงยายังพบเห็นได้ยากนัก! อีกทั้งนางยังมารับการทดสอบเข้าสำนักพร้อมกับลูกแกะอย่างพวกเขาอีก ไม่รังแกกันเกินไปหน่อยหรือ?!
เรื่องนั้นทำให้ผู้อาวุโสจินที่อยู่อีกฝั่งจ้องไม่วางตา ปกติเขาจะมีสีหน้าเคร่งขรึมขู่ขวัญผู้คน ในวันนี้นับว่าหน้าตาเป็นมิตรมากที่สุดแล้ว
ชายชราอายุเกือบห้าสิบคลี่ยิ้มคล้ายดอกเบญจมาศที่ผลิบานเต็มที่ ใบหน้ามีแต่ความยินดี “หึ ๆ โชคดีอะไรเช่นนี้? ได้พบเด็กมากฝีมือถึงสองคน ข้าว่าภาควิชานักปรุงยาคงถึงเวลารุ่งโรจน์แล้วกระมัง”
เจ้าเด็กฝีมือดีสองคนที่เขาว่า นอกจากเด็กสาวผู้นี้ที่กลั่นยามือเปล่าแล้ว ก็ยังมีเด็กชุดขาวปริศนาคนนั้นด้วย
ผู้อาวุโสเหยียนได้ยินแล้วก็หัวเราะไม่ตอบคำ เด็กสาวฝีมือร้ายกาจคนนี้กับเจ้าหนุ่มอีกคนหนึ่งจะเข้าร่วมภาควิชานักปรุงยาหรือไม่ มันก็ยังไม่แน่!
มู่ไหลรวมพลังทั้งหมดเพื่อใช้ในการกลั่นยาขั้นสุดท้าย จากนั้นหยิบกล่องด้านข้างขึ้นแล้ววางเม็ดยาไว้ด้านใน เมื่อยาถูกเก็บลงไปแล้ว จึงเห็นว่าผิวยาเรียบเนียนสีขาวดั่งหยกดูสั่นเล็กน้อย ก่อนจะเกิดรอยแตกเล็ก ๆ ขึ้น กลายเป็นลวดลายสีเงิน ส่งแสงกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์อาบทั่วตัวยา
เป็นตอนนั้นเองที่หมดชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปลง จากนั้นก็มีคนมานำยาที่กลั่นสำเร็จแล้วจากไป ศิษย์สำนักกำลังจะนำมันไปมอบให้ผู้อาวุโสจินเพื่อให้ตรวจดู และเมื่อเห็นเม็ดยาอันเป็นเอกลักษณ์นั้นก็ชะงักไปชั่วขณะ
พริบตาต่อมา ร่างหนึ่งก็เหินลงมาในห้องปรุงยาขนาดเล็ก รีบรุดเข้าไปชิงเอายาจากในมือศิษย์สำนักคนนั้นมา นัยน์ตาจดจ้องมันนิ่ง จากนั้นก็ถอนใจแล้วเอ่ยย้ำซ้ำ ๆ “ไม่คิดเลย….. ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นยาระดับสูงไปได้! ลวดลายสีเงินเช่นนี้คือรอยที่มีเฉพาะบนยาระดับสูงเท่านั้น!”
เมื่อมองดูแล้ว ศิษย์คนนั้นจึงคิดในใจ ผู้อาวุโสจินท่านนี้ เป็นหนึ่งในอาจารย์ผู้คุมสอบไม่ใช่หรือ!?
เมื่อผู้อาวุโสจินเห็นว่าเม็ดยาเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาก็นั่งไม่ติดที่อีก จะมีใครคิดว่าในปีนี้จะมีม้ามืดปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ได้?
หญิงสาวคนนี้สามารถกลั่นยาระดับกลางให้กลายเป็นยาระดับสูงได้! พรสวรรค์ของนางไม่แพ้กับศิษย์อันดับต้น ๆ ของภาควิชานักปรุงยาเลยเชียว อีกทั้งนางดูจะอายุไม่ถึงยี่สิบเสียด้วยซ้ำ!
“แม่หนู เจ้ามีระดับนักปรุงยาที่ขั้นใด?” ผู้อาวุโสจินถามด้วยความอยากรู้
เมื่อถูกมองเช่นนั้น มู่ไหลก็รู้สึกขนลุกไม่ได้ แต่ก็ยังตอบไปตามตรง “ขั้นเงิน สุดชั้น 9”
ผู้อาวุโสจินยิ่งมีสายตาร้อนแรงกว่าเดิม ราวกับกำลังมองเนื้อชิ้นโต “ไม่เลว ไม่เลว อนาคตเจ้าสดใสนัก พรสวรรค์มากเหลือ!”
มู่ไหลกระตุกยิ้มมุมปาก “ข้ามาจากตระกูลนักปรุงยา ตระกูลมู่ ย่อมต้องรอบรู้เรื่องการปรุงยา ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร…..”
“ไม่เย่อหยิ่งไม่เจ้าอารมณ์ สุภาพถ่อมตน ดีมาก มีทุกอย่างที่นักปรุงยาสมควรมี เจ้าผ่านแล้ว วันหลังไปรายงานตัวกับภาควิชานักปรุงยาได้เลย ข้าจะหาคนให้จัดหาที่ทางให้เจ้าเอง” ผู้อาวุโสจินเอ่ยยิ้ม ๆ ศิษย์ที่มักเห็นเขาทำหน้าตึงอยู่บ่อยครั้งได้แต่มองตาค้าง คิดว่าตนเห็นภาพหลอนหรือไม่
ส่วนหนุ่มสาวคนอื่น ๆ มีเพียงสองคนที่สามารถปรุงยาได้สำเร็จ ที่เหลือถูกคัดออกไปหมด
ครั้งนี้ได้ศิษย์มากฝีมือมาเช่นนี้ ผู้อาวุโสจินย่อมมีความสุขในหัวใจนัก หลายวันต่อมายังหุบยิ้มไม่ลง
ส่วนมู่ไหลมีสีหน้าคล้ายกับไม่อาจทำอะไรได้ คิดเพียงว่าอาจารย์ท่านนี้จะดีใจง่ายไปกระมัง หากได้เห็นชิงอวี่กลั่นยากับตา เขาจะรู้ว่าที่นางทำไปเมื่อครู่กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเลย
ก็เพราะวิชากลั่นยาด้วยมือนี้ ชิงอวี่เป็นคนสอนนางอย่างไรเล่า!
ผู้อาวุโสจินเดินจากไปแล้ว คนอื่น ๆ จึงได้แต่มองหน้ากันไปมา ซู่หลีม่อรีบกล่าวว่าเดี๋ยวเขากลับมาแล้วรีบสับเท้าเดินจากไปเร็วไว
เชิงอรรถ
[1]1 เค่อ(刻) เทียบเท่ากับ 15 นาที