สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 158 เปลี่ยนสิ่งไม่น่ามองให้กลายเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 158 เปลี่ยนสิ่งไม่น่ามองให้กลายเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์
บทที่ 158 เปลี่ยนสิ่งไม่น่ามองให้กลายเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์
มุมปาก ชิงอวี่ กระตุกยิก ๆ “อะไรหรือ?”
นัยน์ตาเช่นนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกัน…
“ชิงอวี่ ศิษย์พี่เฟิ่งอันดับหนึ่งของศิษย์สายหลักหน้าตาหล่อเหลากระชากวิญญาณนัก!” เยี่ยนซีอู่เป็นคนโง่ตามแบบฉบับ เห็นใครหน้าตาดีเป็นต้องหลงใหล ไม่ว่าจะเป็นสตรีหรือบุรุษนางก็ไม่อาจต้านความงดงามได้ทั้งสิ้น
มู่ไหลเพียงมองด้วยสายตาครุ่นคิด นิ้วมือไล้ใต้คางตน “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเฟิ่งเทียนเหิงดูเป็นห่วงเป็นใยเจ้ามากเป็นพิเศษ?”
ชิงอวี่อดรู้สึกเศร้าเมื่อได้ยินเช่นนั้นไม่ได้ “ก็แค่ตราประจำตัวเท่านั้น เจ้าคิดมากเกินไปหรือไม่?”
หมิงอีอีจ้องตรานั่นมาได้พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยในทันใด “ทั่วทั้งสำนักละอองหมอก มีเพียงศิษย์พี่เฟิ่งเท่านั้นที่มีตราเหมือนกันกับของเจ้า ตราประจำตัวเจ้าเลยกลายเป็นตราคู่กับเขาไป”
คำพูดตรงไปตรงมาของเด็กสาวหลุดออกจากปากเช่นนั้น สายตาจากเด็กสาวคนอื่น ๆ ยิ่งดูชั่วร้ายมากขึ้นกว่าเก่า ราวกับในใจคิดว่าชิงอวี่กับเฟิ่งเทียนเหิงมีความลับที่ไม่อาจบอกได้ซ่อนไว้
ชิงอวี่พลันรู้สึกปวดหัวหนักกว่าเก่า นางมองตราหยกที่สะโพกด้วยสายตาคล้ายมองอสูรผู้ชั่วร้าย
จากนั้นก็สังเกตเห็นเยี่ยนหนิงลั่วผู้เย็นชาเดินผ่านมา สายตาที่มองมายังนางเจือรอยดูถูกเหยียดหยาม
ชิงอวี่รู้สึกอยากกระชากตราหยกนั่นแล้วปาใส่หน้าเฟิ่งเทียนเหิงเสียตอนนั้น
เขาตั้งใจทำเช่นนั้นหรือ?
เป็นเพราะนางทำให้เขาเสียหน้าเมื่อวันทดสอบ เขาจึงคิดแค้นเสียตั้งแต่ตอนนั้น วันนี้เลยได้โอกาสเล่นใหญ่ต่อหน้าสายตาสาธารณชนนับไม่ถ้วนเพื่อแก้แค้นนางอย่างนั้นหรือ?
หลังจากวันนี้ไป ทุกคนในสำนักละอองหมอกคงได้คิดว่าระหว่างนางกับเฟิ่งเทียนเหิงนั้นมีความสัมพันธ์อันใดไปแล้วกระมัง
ชิงอวี่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแน่น ช่างเป็นบุรุษไร้ยางอายน่ารังเกียจนัก!
เยี่ยนซีโหรวนั้นรักษาท่าทีอยู่ตลอด ไม่ได้เข้ามาหยอกเย้าอีกฝ่ายด้วย หากแต่คิ้วของนางกลับขมวดอยู่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงจริงจัง “ข้าว่าบุรุษผู้นี้รับมือไม่ง่าย เจ้าอยู่กับเขาต้องระวังตนให้ดี อย่าได้เป็นศัตรูกับเขาอย่างเปิดเผย”
ก็เพราะการกระทำของเขาในวันนี้สร้างศัตรูให้ชิงอวี่มากมายแล้วไม่ใช่หรือไร? แน่นอนว่าต่อไปต้องมีศิษย์ที่คิดริษยามาสร้างปัญหาให้ชิงอวี่เป็นแน่ การที่สนิทสนมใกล้ชิดกับศิษย์อันดับหนึ่งของศิษย์สายหลักนั้นไม่ได้ดีอย่างที่เห็นเลย
ยามได้ยินคำที่เอ่ยด้วยความห่วงใย ชิงอวี่ก็พยักหน้าพลางยิ้ม “ข้าจะระวังตัว ขอบคุณพี่รองมาก”
เยี่ยนซีโหรวชะงักไป สายตาที่มองชิงอวี่ดูแปลกไปเล็กน้อย
เมื่อครู่อีกฝ่ายเรียกนาง… ว่าพี่รองหรือ?
นางไม่เคยคิดเลยว่าพวกนางจะสนิทกันจนถึงขนาดใช้คำสนิทสนมกันเช่นนี้ได้ ชิงอวี่ในอดีตเคยอ่อนแอและขี้อายมาก แม้ เยี่ยนซีโหรวไม่ได้คิดรังเกียจนางจริงจัง แต่ก็ไม่อาจเรียกว่าชอบได้เช่นกัน
แต่นางกลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั่วร่างเผยแสงสว่างแสบตาที่คนมองแล้วไม่อาจละสายตาไปได้ ทำได้เพียงเดินตามนางไปเท่านั้น
หากแต่ตอนนี้เยี่ยนซีโหรวชื่นชมนางมาก ไม่คิดเลยว่าแม้จะเคยมีอดีตที่ไม่ดีต่อกัน แต่ชิงอวี่ก็ยังเรียกนางว่าพี่รอง
คำเรียกที่ฟังดูสนิทสนมเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกราวกับว่าพวกนางเป็นพี่น้องที่ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน
สีหน้านางพลันดูอ่อนโยนขึ้นทันที
ชิงอวี่ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เยี่ยนซีอู่กลับโพล่งขึ้นมา “เจ้า… เรียกนางว่าพี่รองงั้นหรือ? ข้าไม่รู้แล้ว! เช่นนั้นเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่สามด้วย!”
ชิงอวี่เก่งกาจเพียงไหนทุกคนต่างก็รู้ อีกฝ่ายเป็นน้องสาวของนาง เท่านี้นางก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เอาไปคุยโวโอ้อวดได้แล้ว!
ชิงอวี่เพียงปรายตามองนางด้วยสายตาล้ำลึก ดูท่าจะปฏิเสธคำนาง
ใบหน้าของเยี่ยนซีอู่กลายเป็นโศกเศร้าทันที ดูท่านางจะทำเรื่องโง่เขลามามากเกินไป น้องสาวของนางคงไม่ได้มองนางดีนัก
เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นถูกยูนิคอร์นอสนีบาต ซึ่งทำตัวเป็นสายลับที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนจับตามองไว้โดยละเอียด
แม้เขาจะไม่เข้าใจวิธีที่ดูน่าสับสนและหนทางคดเคี้ยวของมนุษย์นัก แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาเห็นได้ชัดเจน เหตุใดชายหนุ่มที่มีจิตคิดร้ายจึงต้องมอบของขวัญให้แม่นางน้อยด้วย? หรือเจ้านั่นคิดจะเกี้ยวเด็กสาวหรือ!?
เด็กสาวดูใสซื่อไร้เดียงสานัก หากนางตกหลุมพรางเข้าเขาจะทำอย่างไรดี?
นี่เป็นเรื่องร้ายแรงมาก เขาต้องรายงานเรื่องนี้ให้นายท่านทราบ ก็เพราะเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงอย่างไรเล่า
ทว่ายูนิคอร์นอสนีบาตกลับถูกชะตาขีดไว้ว่าต้องพบกับความล้มเหลว เขานึกได้ในพลันว่าโหลวจวินเหยาเพิ่งพูดเมื่อสองสามวันก่อนว่าเขาจะออกไปทำธุระเสียหน่อย และจะไม่อยู่ที่หอเมฆาเคลื่อน เมื่อไปถึงก็ดันพบเข้ากับไป๋จือเยี่ยน
ไป๋จือเยี่ยนรู้อยู่แล้วว่ายูนิคอร์นอสนีบาตได้รับมอบหมายให้เป็นสายลับ รู้ถึงสาเหตุที่อีกฝ่ายมาที่นี่ทันที ไป๋จือเยี่ยนพาดแขนรอบไหล่อีกฝ่ายแล้วพาขึ้นไปชั้นบน “อะไรกัน เจ้ามาฟ้องอะไรหรือ? หรือแม่นางน้อยจะกวาดปัญหาเข้าหาตัวอีกแล้ว?”
ยูนิคอร์นอสนีบาตสีหน้าดูงุนงง มองไป๋จือเยี่ยนด้วยความไม่พอใจอยู่เล็กน้อย “แม่นางน้อยสบายดี เหตุใดนางจึงต้องนำปัญหาเข้าหาตัวด้วย?”
ฮ่า! กินกระต่ายนางไปตัวเดียว ตอนนี้กลับเอ่ยวาจาปกป้องนางเช่นนี้ ไม่ยอมให้เขาว่าร้ายนางแม้แต่น้อย ไม่อกตัญญูกับคนที่เคยช่วยเหลือสินะ ยูนิคอร์นอสนีบาตลืมไปแล้วหรือว่าเขาก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเจ้านี่ไว้?
ไป๋จือเยี่ยนคิดในใจแล้วกล่าวต่อ“เอาล่ะ นางสบายดี ไร้ปัญหาใด แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ของการมาเยือนครั้งนี้ ยูนิคอร์นอสนีบาตก็มีสีหน้าเคร่งขรึม มองไป๋จือเยี่ยนด้วยสายตาจริงจัง ไป๋จือเยี่ยนเองก็สีหน้าทะมึนลง ในใจรู้สึกวูบวาบแต่ปากก็ยังเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น? นางพบอันตรายหรือได้รับบาดเจ็บกัน?!”
แม้ว่าวาจาของชิงอวี่ในบางครั้งจะทำให้เขาโมโหนัก ไป๋จือเยี่ยนก็ยังชื่นชมสติปัญญาและความสามารถของเด็กสาว ดังนั้นเขาย่อมเป็นห่วงนาง เมื่อคิดว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับนางแล้วเขาก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที
ยูนิคอร์นอสนีบาตทำท่าราวกับไม่รู้จะอธิบายเช่นไร ได้แต่ยืนคิ้วขมวดเป็นเวลานาน
ไป๋จือเยี่ยนเห็นแบบนั้นก็ยิ่งลุกลี้ลุกลน “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? อย่างน้อยเจ้าก็พูดออกมาสักอย่างเถอะ!”
“นางสบายดีมาก” ยูนิคอร์นอสนีบาตกล่าวคำอย่างไม่เร่งรีบ “วันนี้มีชายหนุ่มหน้าตาดีมากในหมู่มนุษย์คนหนึ่งให้ของขวัญแทนใจนาง แล้วนางก็รับมันเอาไว้”
ใจเขาลุกเป็นไฟ ไป๋จือเยี่ยนได้แต่หวังว่าเขาจะสามารถบินไปสำนักละอองหมอกเสียตอนนี้พลันชะงักค้างไป อึดใจหนึ่งจึงจะย่อยข่าวที่ได้รับมาได้
“ของขวัญแทนใจหรือ?” มุมปากไป๋จือเยี่ยนกระตุกสองสามครั้ง “เรื่องอะไรที่ไม่เข้าใจ เจ้าอย่าคิดพูดไร้สาระจะดีกว่า เจ้ารู้จักของขวัญแทนใจหรือเปล่าเถอะ?”
ยูนิคอร์นอสนีบาตมองไป๋จือเยี่ยนอย่างดูถูกเหยียดหยาม “ถึงข้าจะไม่ใช่มนุษย์ แต่ก็มีอสูรวิญญาณตัวเมียหลาย ๆ ตัวที่เทิดทูนหลงใหลในตัวข้านะ? อีกทั้งชายคนนั้นยังไม่ได้หมายตาแม่นางน้อยมาเพียงวันสองวัน ข้าเองก็เคยแจ้งนายท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว ใครจะรู้ว่านายท่านจากไปไม่ทันไร ความสัมพันธ์ของพวกเขาจะรุดหน้ารวดเร็วเช่นนี้ได้?”
ไป๋จือเยี่ยนยิ่งได้ยินยิ่งขบขัน “เช่นนั้นเจ้าว่าเราควรทำอย่างไร?”
ยูนิคอร์นอสนีบาตพ่นลมผ่านจมูก “ย่อมต้องทำให้แม่นางน้อยตระหนักถึงข้อผิดพลาดตนเอง ให้กลับใจเสีย ข้าคิดไว้แล้วว่าจะไปเกลี้ยกล่อมนางไม่ให้ไปหลงเสน่ห์ความงามของชายคนนั้น นางยังเด็กเกินกว่าจะรู้กลอุบายที่บุรุษพวกนั้นมี จะโทษที่นางหลงคารมเขาก็ไม่ได้หรอก”
เขาให้เหตุผลไว้เช่นนี้จึงดูท่าทางมีประสบการณ์ช่ำชองนัก
ไป๋จือเยี่ยนเหยียดริมฝีปากหยัน ส่งสายตาดูถูกให้อีกฝ่าย “แม่นางน้อยฉลาดปราดเปรื่องนัก จะไปหลงคารมบุรุษได้อย่างไรกัน? หากง่ายดายเช่นนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของโหลวจวินเหยาก็คงหลอกล่อนางไปได้นานแล้ว แต่เวลาผ่านมานานเช่นนี้นางยังมั่นคงไม่หวั่นไหว อย่าบอกนะว่าชายหนุ่มที่เจ้าพูดถึงเป็นเซียนที่ลงมายังโลกมนุษย์”
“ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว” ยูนิคอร์นอสนีบาตประเมินคนผู้นั้นไว้สูงทีเดียว “จากประสบการณ์ของข้าที่ได้เห็นมนุษย์มานับไม่ถ้วนมานานหลายปี ข้าเจอบุรุษไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำที่ข้ามองว่าหน้าตาดี แต่บุรุษผู้นี้กลับอยู่ในจำนวนห้าคนนั้น”
เขาหยุดเอ่ยชั่วขณะ รู้สึกราวกับกำลังเจอเรื่องร้ายแรง “แถมเจ้านั่นยังรู้จักวิธีเอาใจสตรีอีกต่างหาก”
ได้ยินเขาว่ามาแบบนั้น ไป๋จือเยี่ยนก็เริ่มกังวลใจขึ้นมา หรือแม่นางน้อยจะหลงคารมเขาเข้าจริง ๆ…
————————
หลังจากงานต้อนรับศิษย์ใหม่จบลง สำนักละอองหมอก ก็กลับมาเป็นปกติดังเดิม
เมื่อเทียบกับภาควิชาอื่น ๆ แล้ว ศิษย์ในภาควิชาพิเศษมีอิสระเสรีมากกว่าคนอื่น ๆ มากนัก เนื่องจากวิชาสาขาที่พวกเขาเชี่ยวชาญนั้นแตกต่างกัน พวกเขาจึงไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวเรื่องการฝึกฝนกันมาก แต่ไปบำเพ็ญตามลำพังเสียมากกว่า เฉพาะตอนที่ถึงทางตันหาทางไปต่อไม่พบ ลั่วหลานจือจึงจะคอยมาชี้แนะ
แต่ปีนี้กลับแตกต่างออกไป ด้วยเสาหลักของพวกเขาอย่างเฟิ่งเทียนเหิงนั้นกลับมาแล้ว ขวัญกำลังใจของทุกคนก็สูงขึ้นมาก ทุกคนเต็มไปด้วยความมั่นใจ พยายามแสดงฝีมือตนเต็มที่
ชิงอวี่สังเกตเห็นว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มคน ดูแล้วอายุเหมือนจะยังไม่ถึงตามที่สำนักกำหนดอายุขั้นต่ำไว้ ดูยังไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ อีกทั้งยังเงียบเชียบอยู่ตลอด เขามักจะก้มหน้าลงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีตัวตนมากนัก ทำให้ผู้คนลืมการมีอยู่ของเขาไปอย่างง่ายดาย
ชิงอวี่นึกสงสัยอยู่บ้างจึงก้าวเท้าเข้าไปใกล้อีกฝ่ายสองสามก้าว จากนั้นก็พลันได้ยินเสียงจากเด็กสาวใบหน้าตุ๊กตา เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกว่า “ศิษย์น้องเล็กอย่าเข้าใกล้เด็กคนนั้นเลยจะดีกว่า ระวังเขาจะเปลี่ยนเจ้าไปเป็นของแปลก ไม่เช่นนั้นพี่ใหญ่จะได้โทษพวกเราอีก”
“ของแปลกหรือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้ว “หมายความว่าอะไรกัน?”
ชายหนุ่มอีกคนที่มีรูปร่างผอมสูงที่ชิงอวี่เคยพบมาก่อนจึงเอ่ยปากอธิบาย “เขามีความสามารถแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร เปลี่ยนคนให้กลายเป็นสิ่งของทุกชนิดได้ เช่นไม้หรือหิน หรืออาจจะเป็นสัตว์ก็ได้ เขากระทั่งสร้างจิตวิญญาณให้กับสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาได้ เป็นความสามารถผิดมนุษย์นัก พวกเราจึงไม่เข้าใกล้เขา”
“ตอนข้ามาที่นี่ครั้งแรก ข้าเห็นต้นไม้ที่มีชีวิตขึ้นมา เป็นฝีมือเขาหรือ?” ชิงอวี่ถามด้วยนัยน์ตาเป็นประกายสดใส
“ถูกต้อง! เจ้าปีศาจพวกนั้นชอบร่อนเร่ไปทั่ว พวกเราคุ้นชินกับมันแล้ว” ศิษย์ร่างผอมสูงตอบ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจ เหตุใดสีหน้าเด็กสาวถึงได้ดู… .. ตื่นเต้นมากเช่นนั้นกัน?
ชิงอวี่ไม่สนใจสีหน้าของศิษย์คนนั้น กลับเดินเข้าไปหาหนุ่มน้อยผู้เงียบขรึมผู้นั้นแทน นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายร่าเริงว่า “ไม่คิดเลยว่าจะได้พบนักผูกวิญญาณตัวเป็น ๆ ในสถานที่เช่นนี้ได้ เจ้านี้เก่งจริง!”
ไม่คิดมาก่อนว่านางเอ่ยคำแรกกับเขาก็สามารถรู้ถึงความเชี่ยวชาญของเขาได้ เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ จ้องมองไปที่ใบหน้างามประณีตของเด็กสาว ก่อนจะก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว
แต่เขาทำเช่นนั้นทำให้ชิงอวี่ได้เห็นลวดลายบนใบหน้าซีกซ้ายของเด็กชายได้อย่างชัดเจน มันเป็นสัตว์ประหลาดที่มีหนวดแปดหนวดโบกไปมา ดูคล้ายปลาหมึก หากแต่มีหัวเป็นมังกร
นั่นคือรอยที่นักผูกวิญญาณมีติดตัวแต่กำเนิด เป็นเครื่องหมายแสดงอสูรผูกวิญญาณที่เขาถือครอง สามารถเปลี่ยนหินให้เป็นทอง ให้รูปร่างกับสิ่งไร้รูปลักษณ์ได้ อีกทั้งยังสามารถสับเปลี่ยนวิญญาณมนุษย์กับอสูรวิญญาณ เป็นความเชี่ยวชาญสะเทือนชั้นฟ้าที่สามารถยังผลอันไม่คาดคิดได้
นางเพียงไม่เข้าใจว่าเหตุใดเด็กที่มีความสามารถสะเทือนสวรรค์ชั้นฟ้าเช่นนี้ถึงได้ดูเงียบงันเก็บตัว อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะมองว่าตนเองต่ำต้อยด้อยค่าอีกต่างหาก
เป็นเพราะรอยบนใบหน้าของเขาหรือ?
แต่ยิ่งเด็กน้อยพยายามหลบสายตานางเท่าไร ชิงอวี่ก็ยิ่งมีความรู้สึกไม่อยากปล่อยเขาไป สุดท้ายน้ำเสียงแหบพร่าก็เอ่ยคำไม่กี่คำออกมาในรอบหลายปี
“ข้าหน้าตาน่าเกลียดมาก เจ้าไม่กลัวข้าหรือ?”
ศิษย์ภาควิชาพิเศษคนอื่น ๆ มองภาพนั้นอ้าปากค้างจนเกือบถึงพื้น นี่…… เจ้าใบ้ตัวน้อยหน้าตาน่ากลัวนั่นพูดอย่างนั้นหรือ?
ศิษย์น้องเล็กทำหน้าเหลือเชื่อ!! เหตุใดพอนางมาแล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมากมายเช่นนี้ได้!?