สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 16 เจ้าปีศาจน้อยจากดินแดนระดับล่าง
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 16 เจ้าปีศาจน้อยจากดินแดนระดับล่าง
บทที่ 16 เจ้าปีศาจน้อยจากดินแดนระดับล่าง
“มีทางทำให้นายท่านได้สติคืนหรือไม่?” ไป๋จือเยี่ยนมั่นใจว่าเจ้าเด็กนี่สามารถทำได้
ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นเด็กคนนี้ เขาก็สัมผัสได้ว่าเด็กคนนี้มีพลังอันแปลกประหลาดและน่าอัศจรรย์ใจซ่อนอยู่ภายใน
เป็นพลังที่สามารถเปลี่ยนคำว่า เป็นไปไม่ได้ ให้กลายเป็น เป็นไปได้
ชิงอวี่พยักหน้า ทว่าเป็นการพยักหน้าที่สิ้นหวังยิ่ง “แต่ข้าคิดว่าปล่อยให้เขาหลับไปเช่นนี้ก่อนดีกว่า!”
บุรุษบนเตียงผู้นี้มีผิวขาว หน้าอกมีกล้ามเนื้อแข็งแรง โครงสร้างร่างกายสมบูรณ์แบบยิ่งนัก ถึงจะไม่ได้มีกล้ามเนื้อแน่นทว่าก็สามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมา เป็นร่างกายที่ไม่อาจหาจุดตำหนิได้เลย
ภายในห้องมีเพียงแสงสลัว ส่งผลให้เห็นใบหน้าของเขาเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ทว่ามองเพียงเท่านี้ก็รู้ได้ว่าเป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง นัยน์ตาสีม่วงสวยราวผลึกแก้ว ถึงตอนนี้จะยังไม่ได้สติในดวงตาจึงไร้แวว ทว่าก็ยังน่ามองมากอยู่ดี
เจ้าหนอนกู่น่ารังเกียจนั่นเข้าใจเลือกเหยื่อจริง ๆ
“ข้าจะปรุงยาแก่นพลังที่หนอนกู่หยินหยางเพลิงเยือกแข็งชอบกินภายในสองวัน จากนั้นข้าจะใช้ยานั่นล่อเจ้าหนอนออกมาจากร่าง หากนายท่านของเจ้ามีสติอยู่ข้าคงทำการรักษาได้ยาก” ชิงอวี่อธิบายอย่างใจดี เมื่อเห็นว่าไป๋จือเยี่ยนดูท่าทางสับสน
ความจริงก็คือ นางกลัวว่าจิตใจของบุรุษผู้นี้จะทนรับภาพที่นางล่อหนอนกู่ออกมาจากร่างเขาไหวหรือไม่ หากเขาตกใจมากเกินไปจนน้องชายใช้การไม่ได้ละก็ นางคงกลายเป็นคนบาปไปชั่วชีวิต
เพราะอย่างไรเจ้าหนอนนั่นมันอยู่ตรงจุดยุทธศาสตร์ของบุรุษเพศนี่นา
ไป๋จือเยี่ยนยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้รอบคอบยิ่งนัก สีหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นความซาบซึ้ง “ขอบคุณคุณชายชิงมาก หากเจ้าสามารถรักษานายท่านได้ และนายท่านไม่ต้องทรมานจากเจ้านี่อีก สำนักเซียนแพทย์จะจดจำหนี้บุญคุณความเมตตาในครั้งนี้ไว้อย่างดี!”
“สำนักเซียนแพทย์หรือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้วก่อนจะครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงนึกได้ว่าที่ดินแดนแห่งนี้ไม่มีสำนักเซียนแพทย์ นางรู้ในทันทีว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนธรรมดา!
“คุณชายชิงน่าจะเคยได้ยินชื่อสำนักเซียนแพทย์ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ผู้น่านับถือของคุณชายคือผู้ใด ทว่าสำนักเซียนแพทย์ก็นับได้ว่าเป็นสำนักนักปรุงยาขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงโดดเด่นในแดนเมฆาสวรรค์” ไป๋จือเยี่ยนยิ้มนุ่มนวล คำที่กล่าวออกไปราวกับลอบสอบถามข้อมูล อย่างไรเขาก็ยังสงสัยถึงเบื้องหลังของเด็กคนนี้
ท่าทางโดดเด่นเหนือใคร พลังบำเพ็ญเพียรด้านการปรุงยาทั้งลึกซึ้งและลึกล้ำ ในแดนเมฆาสวรรค์มีปรมาจารย์ผู้สันโดษเร้นกายอยู่บ้าง ทว่าเขาสงสัยใคร่รู้นักว่าเจ้าเด็กนี่เป็นศิษย์ของปรมาจารย์ท่านใดกันแน่…..
“ข้าไม่มีอาจารย์”
รอยยิ้มของไป๋จือเยี่ยนพลันแข็งค้าง
“ข้าไม่มีอาจารย์จริง ๆ” ชิงอวี่ยกยิ้ม “ความรู้ความสามารถด้านการแพทย์ที่ข้ามีล้วนได้รับการสืบทอดจากในตระกูล ข้าทำความเข้าใจพวกมันด้วยตนเอง”
นางได้รับการอบรมสั่งสอน ฟูมฟักให้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปตั้งแต่นางเกิด นอกจากการบำเพ็ญเพียรทั้งวันทั้งคืนแล้ว การทำความเข้าใจ ‘วิชาฝังวิญญาณ’และ ‘ตำราแพทย์แดนเซียน’ นับเป็นการพักผ่อนหย่อนใจที่นางสามารถทำได้เพียงอย่างเดียวในตอนนั้น
ขั้นการบำเพ็ญเพียรและความรู้ด้านการแพทย์ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมาจากความโดดเดี่ยวของนาง และเพราะความโดดเดี่ยวนั้น นางจึงสามารถคว้าอำนาจมหาศาลและความรู้ด้านการบำเพ็ญเพียรอันกว้างขวางมาครอบครองได้
ข้างกายนางไร้ผู้ใดมานานหลายปี นอกจากจิตวิญญาณอาวุธของนางแล้วก็ไม่มีผู้ใดคอยอยู่เป็นเพื่อนนางอีก
ฉะนั้นในชาตินี้ นางต้องการเพียงใช้ชีวิตให้สงบสุขอย่างที่ใจตนต้องการ
สีหน้าชิงอวี่พลันผ่อนคลายลง
นางตอบคำถามของเขาอย่างเฉยเมย ไม่ได้หันไปมองเลยว่าใบหน้าไป๋จือเยี่ยนนั้นราวกับคนเห็นผี
ไม่มีอาจารย์?
เจ้าเด็กนี่ไม่มีอาจารย์หรือ?!
ต้องมีความสามารถมากระดับไหน ถึงจะสามารถเก่งได้ทัดเทียมกับเจ้าเด็กนี่กัน!?
กระทั่งไป๋จือเยี่ยนที่ได้รับการขนานนาม ว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในรอบหนึ่งพันปีแห่งสำนักเซียนแพทย์ยังศึกษาเล่าเรียนสำเร็จเมื่อมีอายุได้สิบเจ็ดปี ท่านอาจารย์ทั้งหลายต่างไร้สิ่งใดจะสอนสั่งอีกต่อไป ความสามารถของเขาอาจนับได้ว่ามีมากกว่าปู่ทวดของเขาที่เป็นบุคคลในตำนานเสียอีก
ทว่าเจ้าเด็กนี่…..
“คุณชายชิงยังดูอ่อนเยาว์นัก คงมีอายุประมาณสิบหกได้กระมัง?”
ถึงเจ้าหนูนี่จะตัวค่อนข้างผอม ทว่าใบหน้าและความสูงน่าจะเป็นผู้ที่มีอายุอานามราวสิบสี่หรือสิบหกปีเป็นแน่
เมื่อถูกถามเรื่องอายุ ชิงอวี่ก็ชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “อีกหนึ่งเดือนข้าจะมีอายุสิบสี่ปี”
นับเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัสสำหรับไป๋จือเยี่ยนเลยทีเดียว
เช่นนี้สามารถกล่าวได้ว่า….. เด็กนี่อายุเพียงสิบสามปีเท่านั้นน่ะหรือ?
สิบสาม…..
ข้าเข้าใจแล้ว
“เช่นนั้นคุณชายชิง เจ้าพำนักอยู่ในสถานที่ใดในแดนเมฆาสวรรค์? ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้ามีบรรยากาศไม่ธรรมดา จึงคิดว่าคุณชายน่าจะมาจากตระกูลโด่งดังหรือตระกูลขุนนางสูงศักดิ์เป็นแน่”
“แดนเมฆาสวรรค์คือที่ใดกัน? ข้าเป็นชาวชิงหลานแต่กำเนิด เกิดและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาโดยตลอด” เด็กหนุ่มยังคงมีรอยยิ้มบนหน้าแม้จะต้องตอบคำถามที่ถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวก็ตาม
“…..” ไป๋จือเยี่ยนไม่อาจสรรหาคำพูดใดมาพูดต่อ
โปรดทิ้งข้าไว้คนเดียวเถอะ ข้าต้องการความสงบสักพัก
เจ้าเด็กปีศาจอายุสิบสามปี เจ้าปีศาจน้อยที่เกิดและเติบโตในดินแดนระดับล่างผู้นี้
เขาได้ยินแล้วไม่อยากเชื่อ เจ้าเด็กนี่ต้องโกหกเขาเป็นแน่
หากเป็นเช่นนั้นจริง เขา ไป๋จือเยี่ยน ก็สมควรตายไปเสียเลย อืมใช่ ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว
— จวนหย่งอันอ๋อง —
บนโต๊ะไม้ถานมู่เต็มไปด้วยอาหารชั้นเยี่ยมน่ารับประทานมากมายหลากหลายจาน ผู้คนมากมายต่างนั่งล้อมโต๊ะนั้นอยู่ (1)
ที่หัวโต๊ะซึ่งเป็นที่นั่งของผู้นำตระกูลเป็นของเยี่ยนซู่ และที่นั่งด้านซ้ายขวาที่ใกล้กับเขามากที่สุดคือที่นั่งของพี่น้องคู่ที่เขาโปรดปรานมากที่สุด เยี่ยนหนิงลั่วและเยี่ยนซีเฉิง
จากนั้นก็เรียงจากผู้ที่มียศมากไปน้อย ที่นั่งถัดมาเป็นของพระชายารองผู้ทรงเสน่ห์ทั้งสองคนและธิดาของพวกนาง จากนั้นเป็นอนุภรรยาทั้งหลาย
พระชายาเอกสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงนัก ไม่ค่อยออกจากเรือนตนมากเท่าไหร่ อาจมีเพียงเยี่ยนซู่ที่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นเขาที่ทำให้นางผิดหวังยิ่ง นางจึงไม่ต้องการเห็นหน้าคนในครอบครัวใหญ่แห่งนี้ที่นางชังน้ำหน้าให้เจ็บปวดใจ
เยี่ยนซู่กวาดสายตามองจนทั่ว จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “กินอาหารเถิด!”
ทว่าเยี่ยนซีเฉิงกลับขมวดคิ้ว “เหตุใดข้าจึงไมเห็นชิงอวี่กับชิงเป่ยเล่า?”
เขาสั่งให้ข้ารับใช้ไปแจ้งเรื่องนี้ที่เรือนสงบเงียบแล้วนี่นา
“เฉิงเอ๋อร์ เจ้าพูดอันใดกัน?” เยี่ยนซู่ถามขึ้น มองบุตรชายตนด้วยความสงสัย
นอกจากเยี่ยนซีเฉิงและเยี่ยนหนิงลั่วซึ่งเป็นบุตรธิดาที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษแล้ว เขาก็จดจำชื่อลูกตนเองคนอื่น ๆ ไม่ได้เลย ดังนั้นเมื่อเยี่ยนซีเฉิงเอ่ยขึ้นมาเช่นนั้น เขาไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรด้วยซ้ำ
มือที่กำลังถือตะเกียบของเยี่ยนหนิงลั่วพลันชะงักค้าง นัยน์ตานางหรี่ลงเล็กน้อย
เหตุใดจู่ ๆ ท่านพี่จึงให้ความสนใจเจ้าเด็กสองคนที่เรือนสงบเงียบเช่นนี้?
“ท่านพ่อ ท่านเคยพูดกับข้ามาก่อน งานเลี้ยงในครอบครัวทุกคนย่อมต้องเข้าร่วม ทว่าน้อง ๆ ข้าจากเรือนสงบเงียบกลับยังไม่มา” เยี่ยนซีเฉิงกล่าว หัวคิ้วขมวดมุ่น
“ซื่อจื่อ เจ้าเมล็ดพันธุ์ป่าสองคนนั้น คนหนึ่งอ่อนแอขี้อาย อีกคนก็พิการ ไม่มีสิ่งใดน่าดูชมแม้แต่น้อย จะให้เด็กสองคนนั้นมาร่วมโต๊ะกับพวกเราได้อย่างไร!?”
ผู้ที่เอ่ยปากขึ้นอายุราวสามสิบปี ใบหน้างดงามยั่วยวน สวมชุดเกาะอกกระโปรงยาวสีเขียวอ่อน ก้อนเนื้อเบื้องหน้าแทบจะล้นทะลักออกมาอยู่รอมร่อ เป็นจุดรวมสายตายิ่งนัก
จากนั้นนางก็หันไปหัวเราะเบา ๆ กับอนุภรรยาที่นั่งอยู่ด้านข้าง ท่าทางไม่ใส่ใจแต่อย่างไร
สตรีผู้นี้ได้รับความโปรดปรานมาก ถึงแต่ก่อนจะเคยเป็นนางรำ แต่ก็นับได้ว่าเป็นสาลิกาลิ้นทอง พูดสิ่งใดออกมาผู้คนก็ชมชอบ ดังนั้นเยี่ยนซู่จึงโปรดปรานนางเป็นพิเศษ
คำที่นางกล่าวออกมาอาจไม่ได้จงใจ ทว่าใบหน้าของเยี่ยนซีเฉิงและเยี่ยนซู่เปลี่ยนไปทันที
“สามหาว!” เยี่ยนซีเฉิงพลันทุบฝ่ามือลงบนโต๊ะ ส่งผลให้สตรีที่กำลังหัวเราะคิกคักตกใจสะดุ้งตัวโยน
โดยเฉพาะสตรีในชุดสีเขียวอ่อน นางตกใจและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
“ซื่อจื่อ ข้า…..”
“นายน้อยกับคุณหนูจวนหย่งอันอ๋อง ใช่คนที่เจ้าสามารถพูดจาเช่นนี้ได้หรือ? เจ้าเรียกพวกเขาว่าเมล็ดพันธุ์ป่า เช่นนั้นเจ้าคิดว่าท่านพ่อของข้า ท่านอ๋อง เป็นผู้ใดกัน!”
ใบหน้าเยี่ยนซีเฉิงน่ากลัวยิ่งนัก เป็นใบหน้าเดียวกับตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบ
เชิงอรรถ
ไม้ถานมู่ คือ ไม้จันท์