สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 160 เป็นเขาหรือ!
บทที่ 160 เป็นเขาหรือ!?
นางไม่เคยพบชายใดที่จู้จี้จุกจิกเกินกว่าเขาเลย
หากเขาเพียงแต่กังวลกับรูปลักษณ์ของของตนมากเกินไปนางยังพอมองข้ามได้ แต่กับแค่ถูกแมลงกัดเท่านี้ยังร้องเสียโหยหวนราวกับคนคลั่ง คิดจะให้นางปรุงยาวิเศษไม่ให้แผลแมลงกัดทิ้งรอย นางเองก็เกือบจะทนไม่ไหวเช่นกัน
นางอยากระเบิดอารมณ์นัก! นางเป็นนักปรุงยานะ รู้หรือไม่? ไม่ใช่ช่างเสริมความงาม!
แต่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่เห็นสีหน้านาง ได้แต่ยื่นหน้าเข้ามาทำหน้าตาน่าสงสาร “ศิษย์น้องเล็กลองดูสิว่าข้าป่วยเป็นอะไร!? ร้ายแรงมากหรือไม่??”
ชิงอวี่หายใจเข้าลึก ๆ ปรายตามองชายหนุ่มก่อนกดข่มความโกรธที่ปะทุในอกไว้ “เมื่อคืนเจ้าแอบไปกินอะไรอีกหรือไม่?”
“หือ? เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน!?” ชายคนนั้นถามด้วยความตกใจ
“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าเจ้ามีพื้นฐานร่างกายไวต่อสิ่งต่าง ๆ ห้ามกินของที่เกิดแรงกระตุ้นเกินไป เหตุใดจึงคุมปากตนเองไม่ได้?” ชิงอวี่เอ่ยถาม คิ้วขมวดปวดหัวตุบ จำไม่ได้แล้วว่าเขาสร้างเรื่องตีโพยตีพายเสียใหญ่โตกี่ครั้งแล้วกับแค่อาหารแพ้อาหารเพียงเท่านี้
ชิงอวี่ดึงขวดลายครามสีเขียวออกมาจากแขนเสื้อพลางเอ่ย “นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว คราวหน้าถึงเสียโฉมก็ไม่ต้องมาหาข้าอีก”
จากนั้นนางก็เดินจากไป ไม่หันหลังกลับไปอีกไม่ว่าอีกฝ่ายจะตะโกนร้องเรียกดังแค่ไหนก็ตาม
คนเหล่านี้เริ่มจะมากเกินไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะที่นี่มีเศษวิญญาณของท่านแม่นางอยู่ละก็ นางก็คงจะจากไปนานแล้ว
“เฮ้! แม่หนู!”
ขณะนางกำลังเดินไปนั่นเอง หิมะก้อนหนึ่งก็ถูกปาลงมาจากต้นไม้ โชคดีที่การตอบสนองอย่างรวดเร็วทำให้นางหลบทัน ไม่เช่นนั้นมันก็คงปาเข้าศีรษะนางพอดิบพอดี
ชิงอวี่เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงตอบนางก็รู้ตัวคนทำทันที นางกัดฟันเอ่ยขึ้น “เจ้าขึ้นไปทำอะไรบนนั้น? นี่เจ้ารอให้ข้าเดินผ่านแล้วลอบโจมตีงั้นหรือ?”
หูนางถูกชายหนุ่มในภาควิชาพิเศษทำร้ายไปแล้ว เจ้าอสูรตัวนี้ยังจะมาร่วมวงทรมานนางอีกคนหรือ นางเริ่มสงสัยแล้วว่าโหลวจวินเหยาคิดอะไรอยู่ จึงมอบหมายงานคุ้มครองนางให้ชายหนุ่มโง่งมป้ำเป๋อผู้นี้ได้ แน่ใจหรือว่าเช่นนี้ไม่ใช่มาเพิ่มปัญหาให้นาง?
ยูนิคอร์นอสนีบาตมองดูแล้วดูหล่อเหลาสุภาพเรียบร้อยดี เขาอยู่ในชุดคลุมยาวสีขาว เกือบจะกลืนไปกับหิมะขาวที่ปกคลุมทุกสิ่งอย่าง เขามีรูปร่างสูงมาก แต่กลับเลือกนั่งตะคุ่มอยู่บนกิ่งไม้ขนาดเท่าแขนเด็ก ดูน่าขันยิ่ง ทำให้ชิงอวี่กลัวว่าเจ้ากิ่งไม้จะรับน้ำหนักเขาไหวหรือไม่
ศีรษะเขาโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้เพื่อจ้องมองนาง ยิ้มเผยฟันขาวให้เห็น “แม่นางน้อยจะไปเล่นที่ไหนหรือ?”
ชิงอวี่ปรายตามองเขาสีหน้าเรียบเฉย “ภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์เขาปล่อยเป็นอิสระเช่นนี้ตลอดเลยหรือ? เหตุใดจึงไม่มีใครเห็นว่าเจ้าแอบออกมา?”
ยูนิคอร์นอสนีบาตเบิกตาโตและเริ่มอธิบาย “ข้าไม่ได้แอบออกมา เข้าใจหรือไม่? อาจารย์ที่ภาควิชาบอกว่าหากข้าเอาชนะเขาได้ในสิบกระบวนท่าเขาจะปล่อยข้าออกมาเล่น ข้าจำได้ว่าต้องรักษาชื่อเสียงเขาหน่อยจึงไม่ได้สังหารในกระบวนท่าเดียว ใช้สามกระบวนท่าเอาชนะเขาแทน!”
อ้อ เจ้านี่ช่างเอาใจใส่เสียเหลือเกินนะ?
หากเป็นเพียงอสูรวิญญาณระดับสิบสองรังแกคนอ่อนแอก็อาจมองข้ามไปได้ แต่เมื่อเขาเอ่ยโอ้อวดออกมาหน้าไม่อายเช่นนี้นางก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกัน
อีกทั้งไม่ใช่ว่าอาจารย์ท่านนั้นปฏิเสธไม่ให้เขาออกมาแบบสุภาพหรอกหรือ?
แต่เจ้าหมอนี่กลับไปสู้กับอาจารย์เข้าจริง ๆ! การทำให้อาจารย์เสียเกียรติต่อหน้าลูกศิษย์คนอื่น ๆ เช่นนี้ มองด้านหนึ่งคือเขาเป็นอสูรที่มีจิตใจเรียบง่าย ไม่อาจเข้าใจวิถีทางของมนุษย์ได้ กลับไปภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์ต้องถูกอาจารย์ท่านนั้นหมายหัวแน่นอน
“ลงมาคุยกันข้างล่างเถิด ทำไมเจ้าต้องซ่อนบนต้นไม้ตลอดเลยเล่า?” นางเงยหน้ามองจนปวดคอแล้วนะ นั่งอยู่บนนั้นทั้งวันไม่รู้สึกปวดขาตรงไหนบ้างเลยหรือ?
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ยูนิคอร์นอสนีบาตก็กระโดดลงมาจากต้นไม้แต่โดยดี
หิมะหยุดโปรยแล้ว มีหิมะร่วงลงมาจากกิ่งไม้บ้างเป็นครั้งคราว บนผืนหิมะยังสามารถเห็นรอยเท้าคนหลายคนวิ่งผ่านไปไม่นานได้
ชิงอวี่เดินตามรอยเท้านั่นไป จากนั้นก็คุยเรื่อยเปื่อยกับอสูรวิญญาณบางตน “ช่วงนี้นายท่านเจ้ามีเรื่องอะไรยุ่งวุ่นวายหรือ?”
ยูนิคอร์นอสนีบาตคิดว่าเลียนแบบท่าทางชิงอวี่ก็คงสนุกดีจึงเดินตามรอยเท้านางไปพลางฟังนางคุยไปด้วย จากนั้นก็ร้อง “หือ? ออกมาโดยไม่รู้ตัว คงจะกลับไปแดนเมฆาสวรรค์กระมัง!”
ชิงอวี่ชะงักไปครู่ ก่อนเสียงฝีเท้าของนางจะหยุดลง “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? ทำไมจู่ ๆ จึงกลับไป?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่นายท่านบอกว่าจัดการธุระเสร็จถึงจะมาที่สำนักละอองหมอก ไม่กี่วันก็คงกลับแล้ว” ยูนิคอร์นอสนีบาตตอบ
ชิงอวี่พยักหน้า ไม่ถามอะไรอีก
ชายหนุ่มชอบมาปรากฏตัวแบบปุบปับอยู่บ่อยครั้ง สองอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่เห็นหน้าค่าตาเขาเลยจึงรู้สึกประหลาดอยู่เล็กน้อย
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่งภายในสำนักละอองหมอก เยี่ยนหนิงลั่วก็ถูกเรียกตัวไปที่ห้องโถงใหญ่
ในห้องโถงใหญ่นั้นเหน็บหนาว ลมหนาวพัดผ่านพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่เข้ามาภายใน ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนแท่นยกสูง กาชาบนโต๊ะเบื้องหน้าปล่อยไอน้ำลอยขึ้นมาจนมองใบหน้าเขาไม่ชัดเจน
เยี่ยนหนิงลั่วเก็บสายตากลับมา เอ่ยด้วยเสียงเคารพนบน้อม “อาจารย์เรียกหนิงลั่วมาที่นี่มีอะไรหรือเจ้าคะ?”
ศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักจะเรียกเหวินเหรินเชียนว่าท่านเจ้าสำนัก เยี่ยนหนิงลั่วเป็นหนึ่งไม่กี่คนที่เรียกเขาว่าอาจารย์ เป็นเพราะนางติดตามเขามาตั้งแต่อายุน้อย ๆ หลายปีผ่านไป ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจึงไม่ธรรมดา
เหวินเหรินเชียนเงยหน้าขึ้นและหัวเราะเบา ๆ “พ้นปีนี้ไปหนิงลั่วก็จะอายุสิบแปดแล้ว!”
“เจ้าค่ะ” เยี่ยนหนิงลั่วตอบ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะคุยเรื่องอะไร
“การหมั้นก่อนหน้านี้กับซวนหยวนเช่อถูกยกเลิกไปแล้ว เป็นเพราะเจ้ามีคนในใจอยู่แล้วหรือไม่?” จู่ ๆ เหวินเหรินเชียนถามขึ้นเช่นนี้ เยี่ยนหนิงลั่วไม่ทันตั้งตัว ไม่อาจตอบไปได้ชั่วขณะ
“อาจารย์หมายความว่าอย่างไร?”
เหวินเหรินเชียนส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะ “ข้าเพียงเป็นห่วงเจ้าเท่านั้น สตรีเติบโตไปแล้วควรมีที่ให้พึ่งพา เช่นนั้นมีใครในสำนักที่ถูกตาต้องใจเจ้าบ้างหรือไม่?”
นัยน์ตาเยี่ยนหนิงลั่วเฉียบคมขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณอาจารย์ที่เป็นห่วง หนิงลั่วมีคนในใจอยู่แล้ว เพียงแต่…. เขาไม่ใช่คนในสำนักเราเจ้าค่ะ”
เหวินเหรินเชียนเพียงแต่คลี่ยิ้มไม่พูดอะไร รินชาถ้วยหนึ่ง เป็นตอนนั้นเองที่ศิษย์คนหนึ่งร้องแจ้งขึ้นพอดี “ท่านเจ้าสำนักขอรับ มีแขกรออยู่ที่หน้าประตูขอรับ”
เยี่ยนหนิงลั่วกำลังจะขอตัว แต่กลับได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเสียงยิ้ม “หนิงลั่วช่วยไปต้อนรับแขกด้วย”
แม้จะฉงนอยู่บ้าง แต่เยี่ยนหนิงลั่วก็ไม่ถามให้มากความ เพียงแค่ตอบคำรับทราบและออกไป
– ที่เชิงเขาสำนักละอองหมอก –
รถม้าที่เรียบง่ายและไม่สะดุดตาจอดอยู่ ณ ตรงนั้น ชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านนอกรถม้า ใช้แส้ม้าที่อยู่ในมือตีก้นม้าเป็นครั้งคราว ดูท่าจะเบื่อจนอยากหาอะไรทำฆ่าเวลา
ผ่านไปอีกชั่วอึดใจ เขาก็หันไปพูดกับคนด้านในด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเป็นอย่างมาก “นายท่าน เหตุใดจึงยังไม่มีใครมาเลย? สำนักละอองหมอกกำลังวางอำนาจอยู่หรือ?”
“เรามาที่นี่โดยไม่ได้แจ้งก่อน เป็นปกติที่จะต้องรอ” เสียงที่ดังออกจากรถม้าทั้งเยียบเย็นและน่าฟัง รื่นหูราวกับเสียงกริ๊งของเม็ดหยกที่ร่วงลงบนจาน
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำเม้มปากแน่น ไม่บ่นอะไรอีก ทันใดนั้นก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นได้ นัยน์ตามีประกายแอบยินดีอยู่เล็กน้อย “ท่านว่าคนผู้นั้นจะดีใจหรือไม่?”
คนในรถม้าไม่ตอบอยู่นาน ผ่านไปอีกครู่หนึ่งจึงมีเสียงตอบ “ได้แต่หวังว่านางจะไม่โกรธข้า”
“เหตุใดนางจึงต้องโกรธเล่า? นายท่านพยายามตั้งมาก ทั้งหมดก็เพื่อ… .. ”
เด็กหนุ่มในชุดดำเพิ่งเปิดปากอธิบาย ไม่ทันไรก็เห็นประตูหน้าหุบเขาค่อย ๆ เปิดออก ร่างบางสง่างามเดินมุ่งหน้าออกมาทางพวกเขา
คนที่ทำการบำเพ็ญเพียรจะมีประสาทสัมผัสการรับเสียงที่ไวและสายตาคมชัดกว่าคนธรรมดา ชายหนุ่มเห็นเงาร่างคุ้นตาจากไกล ๆ ก็พลันเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “นั่นมันองค์หญิงหนิงเฟิ่งไม่ใช่หรือ? แล้วนาง… .. ”
เยี่ยนหนิงลั่วฝีเท้าเบา เยื้องย่างเชื่องช้า แต่ร่างนางกลับมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเพียงแค่รถม้าไม่สะดุดตาที่เชิงเขา และคนขับรถม้าวัยหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านนอก เยี่ยนหนิงลั่วอดเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยไม่ได้ สงสัยว่าแขกผู้นี้เป็นใครกัน แต่ยังคงใบหน้าสงบนิ่งไว้เช่นเคย
เธอเผยอริมฝีปากเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ข้ามาตามคำสั่งท่านเจ้าสำนักเพื่อมาต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ รถม้าไม่อาจเข้าสำนักได้ ข้าขอให้ท่านลงมาจากรถม้าก่อน ข้าจะได้เดินนำทางพวกท่านขึ้นเขาไปได้”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง มือใหญ่เรียวยาวผิวพรรณดีก็ยื่นออกมาจากหลังม่าน เสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งที่ไม่อาจละลายไปชั่วนิรันดร์ เป็นความหนาวเย็นที่ซึมลึกเข้าถึงกระดูก แต่กลับเป็นน้ำเสียงที่ไม่อาจลืมลง เขาเอ่ยขึ้นเพียงสั้น ๆ
“ไม่มีปัญหา”
เยี่ยนหนิงลั่วร่างแข็งค้างไปในพลัน นัยน์ตาสงบไร้อารมณ์เบิกกว้าง ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยินไปเมื่อครู่
นางหูฝาดไปหรือไม่?
เสียงนั้น เสียงที่แสนคุ้นเคย เป็นเสียงเดียวกับเสียงที่นางเคยได้ยินเพียงในฝันเท่านั้น
เยี่ยนหนิงลั่วจ้องรถม้าตาไม่กะพริบ จนกระทั่งเจ้าของมือนั้นดึงม่านออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา
“เป็นท่านจริง ๆ” เยี่ยนหนิงลั่วนัยน์ตาเคล้าม่านหมอก น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย
————————-
“แม่นางน้อย เจ้าเห็นหรือไม่? ช่วงนี้ข้าทำได้ดีนัก เจ้าลองคิดดูว่าจะพอเตรียมกระต่ายนึ่ง กระต่ายตุ๋น กระต่ายย่าง และกระต่ายทอดให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?” ยูนิคอร์นอสนีบาตเดินตามชิงอวี่ ปากก็เอ่ยถามจุกจิกไม่หยุด
ชิงอวี่เอามือปิดหู ใบหน้าเศร้าสร้อยเป็นยิ่งนัก “อย่ามาตามข้า เจ้าก็รู้ว่าในสำนักมีกฎห้ามปรุงอาหารด้วยตนเอง หากถูกจับได้ข้าก็มีปัญหาสิ”
“เจ้าจะไปกลัวอะไรเล่า? เฟิ่งเทียนเหิงเป็นพี่ใหญ่ในหมู่ศิษย์สายหลักไม่ใช่หรือ? อีกทั้งผู้อาวุโสทั้งหลายก็กลัวเขาจะตายไป หากถูกจับได้ บอกไปว่าเขาเป็นคนอยากกินก็สิ้นเรื่อง! รับรองได้เลยว่าจะไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาให้เจ้า”
หน้าตายูนิคอร์นอสนีบาตในตอนนี้ดูเหมือนกับกำลังบอกว่า “ข้าหัวไวนัก” รอคำชมจากชิงอวี่อยู่
“นี่เจ้ามีตรงไหนผิดปกติหรือไม่? เจ้าไม่รู้หรือว่าชายคนนั้นอันตรายขนาดไหน? หากเขารู้ว่าข้าใช้ประโยชน์จากเขา เขาต้องเอาคืนอย่างน้อยเป็นสิบเท่าแน่ เจ้าตะกละนักเลยอยากให้ข้าลงมือทำเรื่องอันตรายหรือ? รอข้าไปบอกโหลวจวินเหยาก่อนเถอะ เขาจะได้ซัดเจ้าให้กลับร่างเดิมไป”
ยูนิคอร์นอสนีบาตหน้าตาเศร้าโศกเสียใจในทันที “เหตุใดไม่เห็นด้วยกับข้าเมื่อไร เจ้าก็ขู่จะให้ข้ากลับร่างเดิมตลอดเลยเล่า? อย่างไรข้าก็เป็นอสูรวิญญาณระดับสูง มีหน้าตาให้ต้องรักษานะ!?”
“หากอยากรักษาหน้าก็จงใช้ความคิดชาญฉลาดของตนสักนิด อย่าคิดอะไรโง่ ๆ เช่นการพยายามจะเอาเปรียบข้า” ชิงอวี่กล่าวด้วยสายตาเย็นชา
ยูนิคอร์นอสนีบาตหุบปากฉับในทันใด ก็ไหนบอกว่าหากทำได้ดีจะได้กินกระต่ายอย่างไรเล่า นายท่านโกหกข้าอีกแล้ว ต่อไปข้าจะไม่เชื่อคำเขาอีก
ชิงอวี่กำลังจะเดินกลับที่พัก ระหว่างทางพบเข้ากับเด็กสาวหน้าตุ๊กตาจากภาควิชาพิเศษเข้า เทียบกับท่าทีที่อีกฝ่ายพยายามจะแกล้งนางแล้ว นางจึงไม่เป็นมิตรกับเด็กคนนี้สักเท่าไร
“ศิษย์น้องเล็กจะไปไหนหรือ?” เด็กสาวถาม คว้าแขนชิงอวี่ไว้ “ข้าจะบอกอะไรให้ วันนี้เรามีอาจารย์ใหม่มา พวกเราทั้งหมดกำลังจะไปรอท่านอาจารย์ที่ห้องเรียนกัน พี่ใหญ่ก็ไปด้วยนะ”
“อาจารย์หรือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้ว “มาถึงเร็วเช่นนี้เลยหรือ?”
ยูนิคอร์นอสนีบาตบอกว่าเขากลับไปแดนเมฆาสวรรค์ไม่ใช่หรือไร? แล้วตอนนี้กลับมาแล้วงั้นหรือ?
ชิงอวี่ไม่คิดอะไรมากอีก ปล่อยให้เด็กสาวหน้าตุ๊กตาดึงนางไปตลอดทางไปห้องเรียน