สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 164 โหลวจวินเหยา ท่านตกหลุมรักนางเข้าแล้ว
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 164 โหลวจวินเหยา ท่านตกหลุมรักนางเข้าแล้ว
บทที่ 164 โหลวจวินเหยา ท่านตกหลุมรักนางเข้าแล้ว
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรยุ่ง” โหลวจวินเหยากล่าวพลางเหลือบมองอีกฝ่าย
ริมฝีปากของปีศาจน้อยดูเหมือนจะโค้งขึ้นเล็กน้อย “ท่านเป็นจอมมารแห่งแคว้นมาร ใช่ว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ท่านจะทำหรือสถานที่ที่ท่านคิดจะไปได้ แต่ก็มีสิทธิ์เป็นกังวลเรื่องที่ท่านจอมมารดูจะเป็นห่วงแม่นางน้อยคนหนึ่งเหลือเกินได้เช่นกัน”
“เป็นกังวลหรือ?” โหลวจวินเหยามองอีกฝ่ายนิ่ง ดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าปีศาจน้อยจะสื่ออะไร
ปีศาจน้อยหัวเราะ ดวงตาสีแดงเข้มของเขาเป็นประกายแวววาว “นายท่านของข้าใช้ชีวิตตัวคนเดียวอย่างไร้ความกังวลมาหลายร้อยปี ข้าเกรงว่าท่านอาจจะไม่เข้าใจว่าการที่คนเราเริ่มแสดงความห่วงใยให้สตรีนางหนึ่งจนกระทั่งถึงขั้นยกนางให้อยู่เหนือสิ่งใดเช่นนี้มันหมายความว่าอะไรกันแน่”
โหลวจวินเหยาขมวดคิ้ว “เจ้าคิดจะพูดอะไร?”
“ท่านตกหลุมรักแม่นางน้อยแล้ว” ปีศาจน้อยเอ่ยเสียงเบา
โหลวจวินเหยาสีหน้าแข็งค้างไป ราวกับถูกคำพูดของอีกฝ่ายทำให้ตะลึงงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็ตวัดสายตาไม่พอใจมองปีศาจน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเย็นชาว่า“ ไร้สาระสิ้นดี”
พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไปทันที มองแผ่นหลังนั้นแล้วรู้สึกได้ถึงความโกรธจาง ๆ
ปีศาจน้อยยกมือขึ้นลูบคางสีหน้าครุ่นคิด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวก็ดังขึ้นที่เบื้องหลัง ก่อนเขาจะหันตามเสียงไป เขาเห็นสตรีมีเสน่ห์เย้ายวนในชุดสีแดงจัดกำลังยืนพิงกำแพงกอดอก นัยน์ตางดงามกำลังจ้องตรงมาทางเขา ส่วนริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มซุกซน
“มีอะไร? ปีศาจน้อยมองนางแล้วเปิดปากถาม
เม่ยจีได้ยินแล้วก็หัวเราะ “เจ้านี่ร้ายจริง ๆ! เจ้าคิดว่าดีแล้วหรือ ไปเปิดโปงความลับของนายท่านเช่นนั้น! นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ในใจเขาได้สัมผัสถึงความรักที่เพิ่งจะเป็นดอกตูมอยู่ก็เป็นได้ แล้วเจ้าไปเปิดโปงเขาเช่นนั้น ดูจากนิสัยเขาแล้ว เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าเขาอาจจะกำจัดความรู้สึกเพ้อฝันเช่นนั้นทิ้งไปเลยก็ได้? ที่เจ้าทำลงไปนับเป็นการทำลายความสัมพันธ์คนอื่นชัด ๆ เลยนะนั่น”
“ข้าเพียงอยากให้เขาได้คิดตก นายท่านเก่งกาจทุกด้าน แต่เรื่องทางอารมณ์นั้นอยู่ในขั้นน่าเป็นห่วง” ปีศาจน้อยพูดตามความเป็นจริง
เม่ยจีจึงย่างกรายเดินมาทางเขา รูปร่างมีส่วนโค้งเว้าเย้ายวนของนางเอนพิงอกที่มีกล้ามเนื้อหนั่นแน่นของอีกฝ่าย ก่อนจะใช้มือเรียวลากนิ้วเป็นวงกลมบนอกนั้น “จะเอานายท่านไปเทียบกับคนเจ้าเล่ห์เจ้ากลที่ภายนอกดูสุภาพอ่อนโยน แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความชั่วร้ายอย่างเจ้าได้อย่างไรกัน?”
ปีศาจน้อยหัวเราะหึ ก่อนจะจับนิ้วซุกซนบนหน้าอกตนเองไว้ แขนอีกข้างค่อย ๆ ประคองแผ่นหลังที่อ่อนนุ่มและยืดหยุ่นของหญิงสาวยามนางทิ้งร่างลงบนเขาเต็มที่ ระวังไม่ให้นางเสียหลักล้มไป น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย “ในเมื่อรู้แล้วว่าข้าเป็นคนเจ้าเล่ห์เจ้ากล ข้าสงสัยนักว่าใครกันที่ขาดความรักนวลสงวนตัวที่สตรีพึงมี แนบชิดเรือนร่างมายั่วยวนข้าเช่นนี้ได้?”
เม่ยจีเผยสีหน้าไร้เดียงสา ก่อนจะกะพริบตามุ่ยหน้ามองเขาด้วยความเสียใจราวกับอยากจะกล่าวหาคน “ก็ใครใช้ให้เจ้าทำทีเป็นไร้ความปรารถนาทางโลกเล่า? หากข้าไม่เป็นฝ่ายลงมือ จะให้รอเจ้าเป็นคนเริ่มก่อนงั้นหรือ? เจ้าก็รู้ว่าข้าชอบเจ้า แต่ก็ทำทีเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว บอกข้ามาเสียว่ายังมีใครขี้โกงไปมากกว่าเจ้าหรือไร?”
ท่าทางน่ารักน่าสงสารเช่นนี้ จิ้งจอกผู้เย้ายวนจับใจนางนี้ดูมีเสน่ห์เสียจริง
นัยน์ตาสีเลือดของปีศาจน้อยพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงล้ำลึก จากนั้นก็ก้มหน้าลง จุมพิตแผ่วเบาประทับลงบนแก้มเนียนของเม่ยจี นางพลันชะงักค้างไปด้วยความตกใจ นัยน์ตาเบิกกว้าง แก้มแดงเรื่อขึ้นในพลัน
จากนั้นเสียงแหบพร่าของชายหนุ่มก็กระซิบดังที่ข้างหู “ข้าชอบที่เจ้าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”
เม่ยจีพลันหน้าแดงเถือกจนแทบร่างระเบิด สีแดงนั้นลามไปจนถึงลำคอ
นางไม่เคยรู้เลยว่ายามปีศาจน้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้จะทำให้รู้สึกปลุกเร้าได้ถึงเพียงนี้!
นางรู้ดีว่าตนเองผิวหน้าหนา แต่เมื่อต้องเผชิญกับปีศาจน้อยที่แสนเย้ายวนผู้นี้ นางกลับไม่อาจต้านทานเขาได้เลย
ราวกับถูกกลืนกินไปทั้งตัว
————————-
คืนนั้นลมพัดแรงนัก ทั้งเหน็บหนาวและเยือกเย็น กลางหุบเขาเปล่าเปลี่ยวเงียบสงัด มีเพียงหอเมฆาเคลื่อนที่ตั้งอิงแอบอยู่ระหว่างสองยอดเขาที่ยังเปิดไฟสว่างราวกับแสงจากดวงดาว สถานที่ที่เสียงเพลงและการร่ายรำดูดเอาเงินตราเข้ามาไม่ขาดสาย ทั้งผู้คนยังหลงระเริงใจไปไม่ใส่ใจสิ่งใด
กล่าวกันกว่าคนระดับสูงจากสำนักละอองหมอกเคยมาพูดคุยกับพวกเขามาก่อน ว่าสถานที่เงียบสงบไม่เหมาะกับกิจการเช่นนี้ อีกทั้งมันยังเป็นสิ่งล่อใจ อาจทำให้ศิษย์แอบหนีออกมาอุดหนุนสถานเริงรมย์เช่นที่นี่ได้
แต่การเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จ เดิมผู้อาวุโสของสำนักคิดใช้การพูดคุยโดยดี แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมรับความหวังดีที่ยื่นให้ ดังนั้นจึงไร้ทางเลือก ต้องใช้วิธีโหดเหี้ยมไร้กฎเข้าสู้ หากแต่ยังไม่ทันได้ลงมือก็พบว่าถูกยามหน้าประตูร้านตัวเล็ก ๆ จับโยนออกมาเสียแล้ว
มันน่าตกใจมากเท่าไหร่กัน? คนมีชื่อจากสำนักละอองหมอกที่ใคร ๆ ต่างยกย่องนับถือได้รับการปฏิบัติจากเจ้าคนบัดซบเช่นนี้ ด้วยความโกรธ เขาจึงคิดจะสั่งสอนเจ้าเด็กบัดซบนั่นเสียหน่อย
หากแต่ถูกฝ่ามืออีกฝ่ายเพียงแผ่วเบา เขากลับถอยออกมาถึงหลายเมตร บาดเจ็บจนกระอักเลือด ซี่โครงหักไปหลายซี่
น่ากลัวนักที่กระทั่งเด็กเฝ้าประตูร้านยังมีพลังบำเพ็ญสูงส่งเช่นนี้ได้ เบื้องหลังหอเมฆาเคลื่อนแห่งนี้มีผู้มีอำนาจใดอยู่กันแน่?
พวกเขาไม่อาจล่วงเกินคนเหล่านี้ได้ ดังนั้นสำนักละอองหมอกจึงไร้หนทาง จำต้องปิดตาข้างหนึ่ง
เมื่อรายงานเรื่องนี้ถึงเหวินเหรินเชียน เขาเพียงหัวเราะใส่อย่างไม่ใส่ใจ หากกระทั่งท่านเจ้าสำนักยังไม่ใส่ใจ แล้วพวกเขาจะทำเช่นไรได้เล่า?
ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ ไป๋จือเยี่ยนกลับยังคงสวมชุดสีแดงตัวบางพร้อมเสื้อคลุมสีขาวของเขา
ร่างผอมของเขาสูงยาวเข่าดี ใบหน้าหล่อเหลาเจือกลิ่นชาดและเครื่องประทินโฉม หลังจากหลบหนีจากกรงเล็บอันชั่วร้ายของลูกค้าสาว ๆ ที่หิวกระหายราวกับหมาป่ามาได้ ใบหน้าเขาก็ดูจะหดหู่อยู่เล็กน้อย
ให้ตายเถอะ เขาเกือบถูกยายแก่จูบ เกือบต้องเสียความบริสุทธิ์ไปเสียแล้ว
เขาเพียงเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ที่ด้านหลัง กลับถูกพวกนางเข้าใจผิดว่าเป็นหนึ่งใน “คุณชาย” ไปเสียได้ ฮ่า! ยังจะมี “คุณชาย” คนไหนหน้าตาดีได้เท่าเขาอีกหรือ? น่าขันนัก!
เพิ่งจะเปิดประตูเข้ามาก็พบกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ ยกมือข้างหนึ่งเท้าแก้มไว้ นัยน์ตาอีกฝ่ายปิดลง สีหน้าติดจะซีดไปสักหน่อย
ไป๋จือเยี่ยนตกใจเป็นยิ่งนัก เดินก้าวเท้ายาว ๆ เข้าไปคว้าแขนอีกฝ่ายไว้ กระทั่งถูกต้องตัวเช่นนี้ หากแต่อีกฝ่ายกลับขยับเปลือกตาเพียงเล็กน้อย ไม่ตอบสนองอันใด
“จวินเหยา เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ไป๋จือเยี่ยนรู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อยเพื่อเขาสัมผัสได้ถึงชีพจรเพียงบางเบาจากอีกฝ่าย อีกทั้งยังเห็นโหลวจวินเหยาดูไร้เรี่ยวแรงถึงเพียงนั้น เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บภายในรุนแรงนัก แต่กลับกดอาการเอาไว้ไม่ให้กำเริบและเดินทางข้ามมาถึงสองแดนจากแดนเมฆาสวรรค์
“ใครกันที่ทำเจ้าบาดเจ็บขนาดนี้?” ไป๋จือเยี่ยนพลันมีสีหน้าทะมึนลง พลางส่งพลังวิญญาณเข้าร่างอีกฝ่ายไปกระแสหนึ่ง หลังจากนั้นสักครู่ชีพจรของอีกฝ่ายจึงค่อยคงที่
โหลวจวินเหยาลืมตาขึ้นเอ่ยเสียงเบา“ ข้าไม่เป็นไร”
“สภาพเช่นนี้ยังบอกว่าไม่เป็นไรอีกหรือ?” ไป๋จือเยี่ยนปรายตามองอีกฝ่ายนิ่ง “ข้าแทบสัมผัสชีพจรเจ้าไม่ได้ นึกว่าเจ้าตายไปแล้วด้วยซ้ำ!”
“ฝันไปเถอะ” โหลวจวินเหยาเงยหน้าตอบ “คนชั่วอยู่นานนับพันปี ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
ไป๋จือเยี่ยนหัวเราะเยาะก่อนเอ่ยเสียงหยัน “อย่ามาพูดเหลวไหลเช่นนี้เลย เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เดินทางไปแดนเมฆาสวรรค์เพียงครั้ง แต่กลับมาสภาพร่อแร่เช่นนี้ได้ อย่าบอกนะว่าเพราะหลายร้อยปีที่ผ่านมาไม่ได้ประมือกับใคร ฝีมือเลยตกจนมีสภาพน่าเวทนาเช่นนี้?”
โหลวจวินเหยาถอนหายใจยาว “ข้าประมาทเกินไป ไม่คิดว่าจะมีอสูรร้ายปกปักรักษาสถานที่นั้นอยู่ ข้าจึงเผอเรอ ถูกมันโจมตีเข้าครั้งหนึ่ง”
ไป๋จือเยี่ยนตกตะลึง “ดูจากบาดแผลเจ้าแล้ว เจ้าอสูรนั่นคงมีระดับ 15 ขึ้นไปเป็นแน่!”
“มันเป็นพยัคฆ์หน้าผีระดับ 18 ขั้นสุด มันปกปิดกลิ่นอายดีนัก ข้าเลยไม่ทันสังเกต” โหลวจวินเหยาเอ่ยเสียงที่ไม่พอใจเล็กน้อย
เมื่อได้ยินว่ามันเป็นอสูรระดับ 18 ใบหน้าไป๋จือเยี่ยนที่เปลี่ยนสีไปเรื่อยนั้นน่าดูนัก ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีหน้าโล่งใจที่อีกฝ่ายรอดพ้นจากหายนะมาได้ “เจ้านี่โชคดีจริงเชียวที่รอดชีวิตจากมันมาได้ อสูรวิญญาณระดับสูงบนแดนเมฆาสวรรค์มีอยู่เพียงหยิบมือ แล้วเจ้าก็กลับไปเจอมันเข้าเสียได้ แล้วสุดท้ายได้สังหารมันหรือไม่?”
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว “แล้วจะมีอะไรได้อีก? คิดว่าข้าจะปล่อยมันไปงั้นหรือ?”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าจะถามว่าแล้วแก่นอสูรมันเล่า?” อสูรวิญญาณระดับ 18 ไม่ใช่จะเจอได้ง่าย ๆ นะ แก่นผลึกนั้นมีค่าสูงเพียงไหนไม่ต้องเอ่ย แต่หากนำไปใช้กับอาวุธวิญญาณละก็จะเสริมพลังได้อย่างน่าเหลือเชื่อ!
โชคไม่ดีที่โหลวจวินเหยาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยเสียงไม่ใส่ใจ “ข้าระเบิดหัวมันเสียเละ สมองกระจายไปทั่ว มันน่ารังเกียจมากจนข้าทำลายแก่นผลึกมันไปพร้อมกับส่วนอื่น ๆ จนไม่เหลือซากทีเดียว”
ไป๋จือเยี่ยนไม่อาจสรรหาคำพูดใดมาเอื้อนเอ่ย “…..”
เขารู้ดีว่าตนเองไม่ควรวาดหวังให้เจ้าคนผู้นี้เอาแก่นผลึกกลับมาได้ เจ้าคนนี้ไม่รู้คุณค่าของสิ่งของสูงค่าเอาเสียเลย
“แล้วเจ้ากลับไปทำบ้าอะไรกันแน่? กลับไปทำให้ตัวเองบาดเจ็บเช่นนี้ได้” ไป๋จือเยี่ยนไม่ลืมถามประเด็นสำคัญ สิ่งที่ทำให้คนผู้นี้ยอมเสี่ยงได้รับบาดเจ็บนั้นมีอยู่น้อยนัก
เมื่อเขาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา โหลวจวินเหยาก็เผยรอยยิ้มบนหน้า มุกฟื้นคืนวิญญาณสีกระจ่างสองลูกปรากฏขึ้นในมือ ภายในมีร่างวิญญาณกำลังนอนงอตัวอยู่
“ครั้งนี้ได้ผลดีทีเดียว” โหลวจวินเหยาว่า
ไป๋จือเยี่ยนกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ “เป็นเศษวิญญาณของอาหลานหรือ? เจ้าหาพบมาจากที่ไหน?”
“ก้นผาที่ป่าหลังแคว้นมาร” โหลวจวินเหยาตอบ
ไป๋จือเยี่ยนยิ่งประหลาดใจมากขึ้น “แล้วหาเจอได้อย่างไร?” นี่มันอยู่ใต้จมูกพวกเขามาโดยตลอดเลยหรือ!?
โหลวจวินเหยาเคาะโต๊ะเบา ๆ “สัญชาตญาณ”
ไป๋จือเยี่ยนส่ายหน้าหัวเราะเบา ๆ “เจ้าพยายามเช่นนี้ ชิงอวี่รู้เข้าคงซาบซึ้งใจมากแน่”
โหลวจวินเหยานัยน์ตาเป็นประกายแวววาว แต่เมื่อนึกถึงคำของปีศาจน้อยก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ช่วงนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ก็ปกติดี ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร ยูนิคอร์นอสนีบาตนั่นก็มารายงานเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่บ้าง เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ข่าวมาว่าชิงเยี่ยหลีที่สนิทกับแม่นางน้อยไม่ธรรมดาเข้ามาเป็นอาจารย์ภาควิชาพิเศษของสำนักละอองหมอก ก็อย่างคำกล่าวที่ว่าความสำคัญของการดื่มสุราหาได้อยู่ที่สุราไม่!” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ใช่ว่าเขาเป็นชางไห่อ๋องอะไรสักอย่างของแคว้นหลินยวนหรอกหรือ?”
“เมื่อครั้งที่เขาปรากฏตัวขึ้นที่แคว้นหลินยวนและตอบตกลงจะช่วยฮ่องเต้องค์ใหม่ครองแคว้น ดูท่าจะตกลงกันไว้ที่เวลาสิบปี เมื่อถึงเวลาเขาก็จะจากไป แต่มันก็ผ่านมามากกว่าสิบปีแล้วเขาเพิ่งจะจากแคว้นหลินยวนมา เช่นนี้จึงรู้สึกแปลกอยู่บ้าง”
อีกฝ่ายดูลึกลับจนไป๋จือเยี่ยนต้องไปสืบข้อมูลมา และพบว่าชายหนุ่มมาจากโลกอื่น ไม่ใช่คนของโลกใบนี้
“ใช่แล้ว…. ไม่ใช่ว่าแม่นางชิงอวี่ก็เคยบอกไว้ว่าชิงเยี่ยหลีกับนางเป็นคนจากอีกโลกหนึ่งหรอกหรือ? เป็นไปได้ว่าชิงเยี่ยหลีอาจกำลังรอนางอยู่ เมื่อพบนางแล้วจะจากหลินยวนไปไม่ใช่เรื่องแปลก” แต่ทันใดนั้นไป๋จือเยี่ยนก็มีความคิดหนึ่ง พบว่ามันมีจุดน่าสงสัยมากเกินไป
“แต่นางเองก็เป็นลูกสาวของอาหลาน แต่กลับบอกว่าไม่ได้มาจากแดนเมฆาสวรรค์ เรื่องนี้ทำเอาข้างงไปหมดแล้ว” ไป๋จือเยี่ยนเอ่ยคิ้วขมวด จับต้นชนปลายเรื่องราวไม่ถูก
ดวงตาสีม่วงของโหลวจวินเหยาทะมึนลงเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยขึ้นช้า ๆ “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้จริง ๆ แม้นางกับอาหลานจะแตกต่างกันมาก แต่ก็เป็นไปได้ว่าร่างของนางนั้นเป็นลูกสาวของอาหลานจริง ๆ แต่วิญญาณในร่างอาจไม่ได้มาจากโลกนี้”
“เกิดใหม่จากการเปลี่ยนถ่ายวิญญาณ ฟื้นคืนร่างที่ตายแล้ว”