สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 174 ยัยบื้อ เป็นเจ้ามาตลอดนั่นล่ะ
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 174 ยัยบื้อ เป็นเจ้ามาตลอดนั่นล่ะ
บทที่ 174 ยัยบื้อ เป็นเจ้ามาตลอดนั่นล่ะ
นับตั้งแต่คืนนั้น เฟิ่งเทียนเหิงก็ราวกับระเหยหายไปในอากาศ ไม่มีใครเห็นเขาอีก
โชคดีที่คนในสำนักละอองหมอกและภาควิชาพิเศษคุ้นชินกับการมา ๆ ไป ๆ ของเขาอยู่แล้ว เขาจากไปแต่ละครั้งกินเวลายาวนานนัก เขาอยู่ในสำนักครั้งนี้นับว่านานที่สุดที่เคยมาอยู่แล้ว
ดังนั้นจู่ ๆ เขาหายไปตัวไปเช่นนี้จึงไม่มีใครสนใจมากนัก อีกทั้งยังไม่เกิดเรื่องวุ่นวาย
มีแต่ชิงอวี่ที่รู้ว่าเขาไม่ได้หายไปเสียเฉย ๆ แต่เป็นเพราะไม่อาจใช้วิชาเชิดหุ่นและพลังบำเพ็ญลดลงมาก เขาจึงไร้ทางเลือกต้องจากไป ไม่เช่นนั้นหากมาพบอันตรายอะไรเข้าที่นี่ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น
หากไม่ใช่เพราะเหตุนั้น แม้ตัวตนจะถูกเปิดเผย เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจอะไร เมื่อรู้ว่าแท้จริงแล้วเฟิ่งเทียนเหิงก็คือชิงเทียนหลิน ความสงสัยจิตใจของชิงอวี่ก็ได้รับการปลดปล่อยเสียที
เมื่อครั้งนั้นเจ้าปีศาจร้ายนั่นไม่เพียงคิดชิงเอาพลังของวิชาฝังวิญญาณกับตำราแพทย์แดนเซียนที่นางถือครอง แต่ยังคิดจะเปลี่ยนให้นางกลายเป็นหุ่นเชิด ให้เป็นทาสทำตามคำสั่งเขาไปตลอดกาล
ชาติที่แล้วเขาทำทุกทางเพื่อแอบร่ำเรียนวิชาลับต้องห้าม กระทำตนผิดศีลธรรมลงมือกับชิงอวี่ เขาทำไปทั้งหมดก็เพื่อยืนอยู่จุดสูงสุดเหนือใครอื่น เพื่อสนองความกระหายอำนาจและตำแหน่งฐานะอันสูงส่ง
แม้ว่าแผนจะไม่สำเร็จ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาไม่ได้ตายไปอย่างที่นางคาด แต่กลับมาเกิดใหม่ที่โลกนี้เสียได้ ไม่มีใครรู้ว่าเขามาอยู่ที่โลกนี้นานเพียงใดแล้ว ไม่รู้เลยว่ามีแผนการต่ำช้าอะไรที่ตระเตรียมไว้เพื่อรอนางปรากฏตัว
นับแต่ต้นเรื่อง จุดมุ่งหมายหนึ่งเดียวของชิงเทียนหลินก็คือการครอบครองนาง เพื่อที่จะก้าวเดียวถึงชั้นฟ้า มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขากระทำเรื่องชั่วอะไรลงไปบ้าง มีคนนับไม่ถ้วนต้องตายด้วยน้ำมือของเขาเพียงเพราะอยากปกป้องชิงอวี่
คนที่โชคดีรอดชีวิตมาได้มีเพียงชิงเยี่ยหลีที่ถือครองสายเลือดมาจากหมาป่าเท่านั้น
ชิงอวี่รู้สึกไม่สบายใจกับความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของเขานัก กลับมาครั้งหน้าเขาต้องมาพร้อมกับแผนต่ำช้ากว่าเดิมเป็นแน่
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านพ้นไป อีกไม่นานก็จะพ้นปีแล้ว แม้ว่าสำนักละอองหมอกจะมีกฎเข้มงวดนัก แต่ก็ไม่ได้ไร้เหตุผลไปเสียทั้งหมด ศิษย์ทั้งหลายไม่ได้กลับบ้านไปพบหน้าครอบครัวมานานหลายปี ดังนั้นในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ ทางสำนักจึงให้เวลาพักผ่อนแก่พวกเขา 5 วัน พวกเขาได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่จะต้องกลับมาตามกำหนด ถือเสียว่าเป็นของขวัญที่สำนักมอบให้เหล่าศิษย์
แต่พวกเขาจำนวนไม่น้อยที่ตัวคนเดียว ไร้บิดาไร้พี่น้อง ใช้ชีวิตไร้กังวล ดังนั้นเวลา 5 วันนั้นจึงเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาได้ดื่มด่ำมีความสุขอย่างเต็มที่
พายุหิมะลูกแรกอยู่นานถึงครึ่งเดือน หิมะที่สะสมมาตั้งแต่ต้นฤดูเริ่มละลายลงบ้างแล้ว ทำให้อากาศยิ่งหนาวกว่าตอนที่หิมะโปรยเสียอีก แม้ว่าเหล่าศิษย์จะมีพลังวิญญาณที่ต้านทานความหนาวเย็นได้ แต่ส่วนมากก็ยังสวมชุดหนาหลายชั้นเมื่อเดินทางออกไปอยู่ดี
หมิงอีอีที่มักจะสวมชุดหนาราวกับทุกวันเป็นฤดูหนาวอยู่ตลอด ในฤดูหนาวครั้งนี้กลับถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกของนางออกได้แล้ว
เมื่อหมิงจิ้งเปิดประตูเข้าห้องมาก็พบกับเด็กสาวที่กำลังยืนยิ้มอยู่ อาจเพราะแก้มทั้งสองถูกลมหนาวกระทบ มันจึงขึ้นสีแดงเล็กน้อย ดูน่ารักน่าชังนัก “ท่านพี่…
หมิงจิ้งชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะสังเกตเห็นว่านางสวมชุดบางขนาดไหน ใบหน้าเขาทะมึนลงทันที ก่อนจะถอดชุดคลุมไปคลุมร่างให้เด็กสาว “ทำไมเจ้าสวมชุดบางเช่นนี้ได้?”
หมิงอีอีเห็นท่าทางเขาดูเป็นกังวลมากเช่นนั้น แก้มแดงก็ดูขัดเขินนัก “ท่านพี่ ข้าไม่หนาวเลย ข้าไม่ต้องกลัวหนาวเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว”
หมิงจิ้งตะลึงไปชั่วขณะ “เจ้าหมายความว่าอะไร?”
หมิงอีอียกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นลักยิ้มที่แก้มทั้งสอง “อาการป่วยข้าหายขาดแล้ว ชิงอวี่กำจัดพิษเยือกแข็งออกจากร่างข้าให้แล้ว ต่อไปนี้ข้าจะไม่ป่วยง่ายอีก สุขภาพเองก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ”
หมิงจิ้งร่างแข็งค้าง เป็นครั้งแรกที่เขามีสีหน้าดูบื้อใบ้เช่นนี้ มือของเขาสั่นเล็กน้อยขณะจับไหล่เด็กสาวไว้ “จริง… หรือ? อีอี เจ้าหายดีแล้วจริง ๆ… ”
“เป็นความจริง” หมิงอีอีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ยกมือนุ่มขึ้นสัมผัสใบหน้าชายหนุ่มแผ่วเบา “ท่านพี่ ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นไรแน่ ดูสิ พ้นปีนี้ไปข้าก็จะอายุเข้าสิบหกปีแล้ว พวกหมอปลอมทั้งหลายต่างบอกว่าข้าจะอยู่ไม่ถึงวัยปักปิ่น คำเหล่านั้นเป็นเพียงคำโกหก อีอีจะยังมีชีวิตอยู่ และจะอยู่เคียงข้างท่านพี่ตลอดไป”
ร่างกายของหมิงจิ้งแข็งค้างมากขึ้น
เขานึกย้อนไปยังวันต้อนรับศิษย์ใหม่ เด็กสาวมาปรากฏตัวตรงหน้าเขา สายตานางดูดื้อรั้นไม่ยินยอม จ้องตรงมายังเขาแน่วแน่
จากนั้นนางก็เอ่ย… คำพูดน่าเหลือเชื่อพวกนั้นออกมา
ท่านพี่ ข้าชอบท่าน ชอบมากมาตั้งแต่ยังเด็ก ๆ ท่านพี่รอข้าหน่อยได้หรือไม่? รอจนกว่าข้าจะหายป่วย เช่นนั้นแล้วเราจะได้อยู่เคียงข้างกันได้ ได้หรือไม่?
ท่านพี่ ข้าจะไม่มีทางตาย ข้าอยากอยู่เคียงข้างท่านไปตลอด ท่านช่วยอย่าเพิ่งชอบใครจะได้หรือไม่?
นับแต่ที่จำความได้ อีอีจะติดตามอยู่ด้านหลังเขาเสมอ นัยน์ตานางเต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ ความรัก และความไว้วางใจ ราวกับเขาเป็นตัวตนที่นางนับถือบูชา แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเรื่องจะไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้ แต่ถึงจะยังเล็กนัก เด็กสาวก็คิดจะแต่งงานกับเขายามนางโตขึ้นแล้ว
หลังจากที่รู้ว่าหมิงอีอีออกจากชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณ เดินทางนับพันลี้มาเพื่อมาหาเขาที่สำนักละอองหมอก ในใจเขาก็ทั้งโกรธและเจ็บปวดนัก
เขาโกรธคนเหล่านั้นที่กล้ารังแกกล้ากดขี่นางตอนที่เขาไม่อยู่
เขาเจ็บปวด เป็นเพราะองค์หญิงน้อยที่เขารักและดูแลมาอย่างดีราวกับไข่มุกในอุ้งมือ คนที่เขาไม่เคยปล่อยให้ประสบเรื่องร้ายอะไร กลับต้องออกมากินนอนอยู่ข้างนอก ต้องเดินทางรอนแรมพบอันตรายนับไม่ถ้วน และทั้งหมดมันเป็นเพราะเขา
เด็กน้อยผู้โง่เขลา คิดว่าเขาไม่รู้อะไรมาโดยตลอด ทั้งที่ลึก ๆ แล้วในใจเขารู้ดี
เป็นเพราะเขา นางจึงเก็บตัวเงียบเชียบยามอยู่ในเผ่า ร่างกายขี้โรคของนางก็มีเหตุมาจากเขา และตอนนี้นางยังออกจากเผ่ามาก็เพราะเขาอีก ทั้งหมดนี้เพราะนางไม่อยากเป็นภาระให้เขา ความทุกข์ทั้งหลายที่เด็กน้อยต้องฝืนทนกล้ำกลืนอยู่เงียบ ๆ เช่นนี้ คนหลายคนไม่อาจรู้ได้เลย
นางรักเขามาก แต่กลับไม่กล้าเอ่ยออกมา แต่นางกลับไม่รู้เลยว่านางเป็นแสงในใจที่เขาคอยรักษาดูแลไว้มาโดยตลอด เป็นแสงที่ทำให้ใจเย็นชาของเขาอบอุ่นขึ้นได้
มือทั้งสองถูกมือเล็กกุมไว้เช่นนี้ ใจเขาก็เต้นแรงนัก
หมิงจิ้งโอบร่างน้อยไว้ในอ้อมกอด ก่อนจะเอ่ยเสียงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนออกมา “เด็กโง่ ข้าไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าแล้ว”
ถูกกอดไว้แนบอกกว้างเช่นนี้ หมิงอีอีใบหน้าร้อนเป็นไฟ เอ่ยถามเสียงแผ่ว “หมายความว่าท่านพี่ตกลงใช่หรือไม่? ว่าท่านจะไม่ไปชอบคนอื่น?”
นางยังไม่ลืมภาพเมื่อครั้งที่เห็นท่านพี่ดูสนิทสนมกับสตรีอื่น ยังไม่อาจลืมความรู้สึกขื่นขมนั้นได้
ชายหนุ่มเงียบไปสักพัก ในตอนที่ใจหมิงอีอีเต้นตึกตักด้วยความไม่สบายใจอยู่นั่นเอง จู่ ๆ เสียงทุ้มนุ่มลึกก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ มันกระซิบบอกคำหวานล้ำที่สุดเท่าที่นางเคยได้ยินออกมา
“ยัยบื้อ ข้าเคยชอบใครเมื่อไหร่กัน? เป็นเจ้ามาตลอดนั่นล่ะ”
————————–
“คิดอะไรอยู่หรือ?”
ชิงอวี่หลุดออกจากภวังค์ พลันเห็นว่าชิงเยี่ยหลียืนอยู่ข้าง ๆ
“หากมีคนซุ่มรอโจมตีอยู่ก็คงไม่ทันการณ์ไปแล้ว เจ้าไม่สนใจรอบข้างตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ชิงเยี่ยหลีถามเสียงเบา
นางไม่เห็นหน้าเขามาหลายวัน ไม่รู้ทำไมกลิ่นอายจากร่างเขาจึงเยียบเย็นกว่าแต่ก่อน
ชิงอวี่เลิกคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น?”
“ชิงเทียนหลินปรากฏตัว เจ้าเองก็คงสัมผัสได้แล้ว” ชิงเยี่ยหลีมองหน้านางพลางเอ่ยคำ
ชิงอวี่นัยน์ตาเป็นประกายวาบ “อืม พวกเราแลกกระบวนท่ากันไปแล้ว ข้าใช้ผนึกสังเวยเลือดข่มวิชาเชิดหุ่นเขาเอาไว้ ไม่รู้ว่าเขาหนีไปที่ไหนแล้ว”
“มิน่า วันนั้นพบหน้ากันเขาจึงไม่คิดสู้” ชิงเยี่ยหลีพลันเข้าใจเรื่อง เอ่ยคำขึ้นด้วยหัวคิ้วขมวดแน่น “เจ้าต้องคอยระวังตนให้ดี ข้ารู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม”
ชิงอวี่ทำเสียงจุปาก “เขาย่อมแข็งแกร่งขึ้น เฟิ่งเทียนเหิงเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา เกรงว่าจะเป็นคนที่ลงมาจากแดนสูงกว่า หรือว่าชิงเทียนหลินอาจจะกลืนกินวิญญาณของเขาไปแล้วและเข้ายึดครองร่าง เพราะร่างเก่าเมื่อชาติที่แล้วนั้นสภาพย่ำแย่พอ ๆ กับข้า จึงไม่อาจใช้ร่างเดิมต่อได้กระมัง?”
“แต่ตอนนี้เขาถูกเจ้าทำให้บาดเจ็บ คงไม่ปรากฏตัวอีกสักระยะ” ชิงเยี่ยหลีเอ่งพลางจ้องหน้าเด็กสาว “สัญญากับข้า ไม่ว่าอย่างไร เจ้าต้องไม่ให้เรื่องเมื่อชาติก่อนต้องเกิดซ้ำรอย เจ้ายังมีข้า มีสหายคนอื่น ๆ อีกมาก กระทั่งยังมีผู้ชายคนนั้น พวกเราช่วยเจ้าได้ เพื่อให้เจ้าปลอดภัย หากพวกเราต้องสละก็ไม่เป็นไร”
“เสี่ยวเยี่ย ข้ากับชิงเทียนหลินต่างกันที่สุดคือ เพื่อความสำเร็จแล้วเขายอมแลกทุกอย่าง แต่ข้าทำไม่ได้ ในสายตาข้า ข้ามีชีวิตอยู่ก็เพื่อปกป้องคนที่ข้ารัก แค่ได้เห็นพวกเขาใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยมีความสุขข้าก็พอใจแล้ว”
ชิงอวี่ดวงตาจริงจังยามมองเขา ดวงตาสีเขียวเข้มของเขาจ้องกลับมาด้วยความไม่ยินยอม ราวกับไม่คิดจะยอมแพ้โดยง่าย
จนกระทั่งดวงตาที่หรี่ลงของเด็กสาวเริ่มแต้มไปด้วยสีแดง นางเผยอริมฝีปากขึ้นเอ่ย “ข้าไม่อยากเห็นคนอีกมากมายต้องล้มลงเพราะข้าอีก เมื่อก่อนข้าเคยฝันร้ายอยู่หนึ่งเดือนเต็ม ฝันถึงเรื่องราวการตายของทุกคน ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็ยังไม่อาจให้อภัยตนเองได้”
“แต่สุดท้ายเจ้าก็สังหารเขาไม่ใช่หรือ?” ชิงเยี่ยหลีถามเสียงทุ้ม
อาจไม่มีใครรู้เท่าชิงเยี่ยหลีว่าชิงเทียนหลินมีความสำคัญในใจชิงอวี่มากเพียงไหน
ชิงเทียนหลินเคยเป็นคนที่ปฏิบัติกับนางดีที่สุด แต่ก็เป็นคนที่ทำร้ายนางมากที่สุดเช่นกัน
ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดไปกว่าการพบว่าคนที่มอบหัวใจให้นั้น แท้จริงแล้วมีแต่คำลวง สุดท้ายก็วางแผนชั่วร้ายใส่
ชิงอวี่หัวเราะเบา ๆ นางเงยหน้าขึ้นมองคิ้วของชายหนุ่มที่ขมวดมุ่นด้วยความกังวลก่อนเอ่ย “เขาทำร้ายคนมากมายนัก สักวันเขาจะต้องชดใช้ หนี้กรรมครั้งนี้… ให้ข้าได้เป็นคนจบมันเถอะ”
ความมุ่งมั่นและเด็ดขาดในดวงตานางเปล่งประกายเป็นสิ่งที่ชิงเยี่ยหลีไม่เคยเห็นมาก่อน ในใจพลันรู้สึกถึงเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา
— หอเมฆาเคลื่อน —
“ได้อย่างไรกัน? มีข่าวเกี่ยวกับคนผู้นั้นหรือไม่?” โหลวจวินเหยาเอ่ยถามเสียงสบาย ๆ พลางปรายตามองอีกฝ่ายด้วยความเกียจคร้าน
หลิงซูหาวหวอดใหญ่คราหนึ่ง “ ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่แดนธาราขาว ดูจะมีลูกหลานชาติกำเนิดธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่าเฟิ่งเทียนเหิงจากตระกูลเฟิ่ง แต่ก็อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่มีชื่อเหมือนกันก็เป็นได้”
แล้วเจ้าได้สืบถึงอุปนิสัย นิสัยใจคอ ความสำเร็จของเขาด้วยหรือไม่?”
หลิงซูกลอกตา “จำเป็นต้องสืบเรื่องนั้นด้วยหรือ? เขามีชาติกำเนิดธรรมดา ก็คงจะเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีความสำเร็จอันใด ถูกตระกูลมองข้ามไปกระมัง ท่านต้องรู้นะว่าสี่ตระกูลใหญ่แบ่งแยกลูกหลานระหว่างพวกที่มีชาติกำเนิดธรรมดากับสูงส่งเข้มงวดกว่าในแดนมุกหยกนัก ทำให้พวกชาติกำเนิดธรรมดาไม่อาจโดดเด่นขึ้นมาได้เลย”
โหลวจวินเหยาเดาะปากคราหนึ่ง “แต่จากที่ข้ารู้ เฟิ่งเทียนเหิงคนนี้พลังบำเพ็ญล้ำลึกเกินหยั่ง อีกทั้งยังมีไหวพริบเยี่ยมยอด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเชี่ยวชาญการเชิดหุ่น ไม่มีทางเป็นคนธรรมดาไปได้หรอก”
หลิงซูเลิกคิ้ว “เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง เขาอาจจะซ่อนความโดดเด่นไว้ แสร้งทำเป็นคนซื่อมาโดยตลอด หรือไม่เฟิ่งเทียนเหิงที่ท่านกำลังพูดถึงก็อาจเป็นตัวปลอม ข้อมูลที่ข้ารวบรวมมาได้บ่งบอกว่าเขาเป็นเพียงศิษย์ฝีมือโดดเด่นที่มีชาติกำเนิดธรรมดาก็เท่านั้น”