สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 178 หวนนึกถึงความทรงจำคราแรก
นางปวดหัวมากจนแทบระเบิด ตอนนั้นเอง ภาพไม่คุ้นตาทั้งหลายก็แล่นเข้ามาในความทรงจำ แต่นางกลับรู้สึกราวกับว่านางรู้จักมันมาก่อน
“ชิงหลานเฟย? เป็นชื่อแสนไพเราะเช่นนี้ แค่ได้ยินก็รู็แล้วว่าเป็นชื่อโฉมสะคราญหาผู้ใดเทียม จากนี้ไปข้าเรียกเจ้าว่าเฟยเอ๋อร์ได้หรือไม่?”
ริมฝีปากของชายหนุ่มเผยรอยยิ้มหล่อเหลาเรียบง่ายขึ้นมา มองดูแล้วเขาดูราวกับเป็นคนเจ้าชู้ที่มีสตรีรายล้อมอยู่ตลอด เพราะทักษะการเข้าหาสตรีของเขานั้นสูงส่งไม่น้อย
สีหน้าสตรีในชุดแดงไม่พอใจเล็กน้อย ดวงตางามกวาดมองชายหนุ่มด้วยความเรียบเฉย ก่อนเอ่ยขึ้นมาเพียงสองคำ “บ้ากาม”
เขาที่คุ้นเคยกับการที่สตรีทั้งหลายเป็นฝ่ายกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดก่อนไม่เคยพบเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน เขาเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนแท้ ๆ นางกลับทำเย็นชากับเขาได้เช่นนี้
ยังไม่ต้องกล่าวถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา เพราะใช้เพียงหน้าตาอย่างเดียวก็สามารถทำให้สตรีทั้งหลายตกหลุมรักเขาจนขึ้นไม่ไหวได้แล้ว
แต่สตรีนางนี้ไม่เพียงเอ่ยปฏิเสธเขา กลับยังหาว่าเขาเป็น… คนบ้ากามงั้นหรือ?
หึ ๆ น่าสนใจนัก
นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน ทั้งสองคิดเพียงว่ามันก็คงเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งในชีวิตที่เข้ามาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจากนั้นระหว่างคนทั้งสองจะก่อเกิดความสัมพันธ์ที่อธิบายไม่ได้ขึ้นมา
ชายหนุ่มอ่อนโยนน่าหลงใหล ไม่ถูกควบคุมโดยสิ่งใดที่สามารถล่อลวงเล้าโลมสตรีทั้งหลาย ให้พวกนางเฝ้าใฝ่หาแต่เขา แต่แท้จริงกลับไม่เคยใกล้ชิดกับพวกนางแม้สักคน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับสตรีที่ดูจะไม่หลงเสน่ห์เขา ดังนั้นนางย่อมกระตุ้นความสนใจเขาขึ้นมาได้ แต่เขาไม่ทันคิดเลยว่าจากที่เริ่มสนใจธรรมดา ๆ สุดท้ายสองใจกลับก่อกำเนิดเกิดเป็นความรักขึ้นมาได้
เขามีชีวิตอยู่มาหลายร้อยปี นี่นับเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มผู้มีพลังเกินหยั่งและลึกลับผู้นี้ ผู้ที่มีตัวตนสูงส่งเป็นที่เคารพนับถือ กลับกลายมาเป็นเงาที่สลัดไม่หลุด ถูกมองดูด้วยสายตาดูถูก ทว่านางไล่อย่างไรเขาก็ไม่จากไป
ว่ากันว่าความรักจะเบ่งบานเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ระหว่างพวกเขาทั้งสองก็เป็นเช่นนั้น
ความคุ้นเคยนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ ไม่ทันได้รู้ตัว คนคนหนึ่งกลับปรากฏขึ้นมาในชีวิต คอยวนเวียนอยู่ในสายตาไม่จากไป ตัวตนของเขาซึมซาบลึกเข้ามาถึงกระดูก ไม่อาจตัดเขาออกไปจากชีวิตได้อีก
คิ้วที่ขมวดแน่นของชิงหลานเฟยคลายลงเล็กน้อย ความทรงจำที่สวยงามเหล่านั้นดูเหมือนจะบรรเทาอาการปวดหัวของนางลงได้บ้าง แต่ไม่นาน สีหน้านางก็เปลี่ยนไป กลิ่นอายรอบตัวกลายเป็นเศร้าโศกหดหู่นัก
“เฟยเอ๋อร์ ข้าขอโทษ ชาตินี้ข้าอาจจะ… ไม่อาจอยู่เคียงข้างเจ้าได้อีกแล้ว”
ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพบกัน เขาที่มักจะสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์อยู่ตลอด วันนี้กลับสวมชุดดำดูหม่นหมองเป็นคราแรก เขารั้งร่างนางไว้ในอ้อมกอด กระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูของนาง
นางไม่รู้ว่านางเข้าใจผิดไปหรือไม่ แม้เขาจะมีรูปร่างผอมไปสักหน่อย แต่ก็มีกล้ามเนื้อ แข็งแรงมาก ทว่าคนที่โอบกอดนางอยู่ในตอนนี้กลับราวกับน้ำหนักตัวหายไปจนกระทั่งดูเปราะบางไปเล็กน้อย
ได้ยินคำเหล่านั้นแล้ว นางก็ไม่รู้จะเอ่ยอะไร ได้แต่ถามขึ้นเสียงสงบ “ทำไมเล่า?”
“ข้าตกหลุมรักคนอื่นไปแล้ว” นั่นคือคำที่เขาตอบกลับมา
ตอนนั้น ในใจนางราวกับกระตุกไป รู้สึกได้ถึงความเจ็บแปลบบังเกิดขึ้น
นางเป็นคนเย็นชาอยู่อย่างสันโดษมาตลอด นับเป็นครั้งแรกที่นางรักคนผู้หนึ่งได้มากขนาดนี้ แต่สุดท้าย นางกลับได้รับเพียงคำพูดนั้นกลับมา
ตกหลุมรักคนอื่นหรือ?
ฮ่า! เขาเป็นคนเริ่มต้นทุกอย่าง และก็เป็นคนจบมันลงเช่นกัน เขาเห็นข้าเป็นตัวอะไร?
หลังจากปรนเปรอนางราวกับองค์หญิงผู้งดงาม จนกระทั่งนางพร้อมจะมอบใจดวงนี้ให้ ไม่อาจมีชีวิตอยู่โดยไร้เขาอีกต่อไป ตอนนี้เขากลับบอกว่าหมดรักนางแล้ว กลับไปตกหลุมรักสตรีอื่นเข้าอย่างนั้นหรือ?
นี่คงเป็นเรื่องน่าขันที่สุดในชีวิตของนางเลยทีเดียว
หากแต่นางไม่ยอมเสียน้ำตา เพียงเผยรอยยิ้มงดงามเช่นแต่ก่อนขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ เช่นนั้นข้าคงต้องขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย”
พูดจบ นางก็หันกลับไป จากไปโดยไม่ทันเห็นว่าในนัยน์ตาของชายหนุ่มมีน้ำตารื้นขอบขึ้นมา อาจเพราะนางเอาชนะความเศร้าโศกไปได้ จึงไม่ทันสังเกตเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มนั้นซูบผอมซีดเซียวถึงเพียงไหน
นางเคยพูดหยอกเขาว่าวันหนึ่งหากเขาเกิดหน้าตาอัปลักษณ์ขึ้นมา ไม่หล่อเหลาอีกต่อไป นางก็จะไม่ต้องการเขาอีก
ชายหนุ่มขี้ใจน้อยจำคำนางได้เสมอ คอยดูแลรูปร่างหน้าตาตนไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด กระทั่งใช้สมุนไพรที่ล้ำค่าที่สุดเพื่อใช้รักษาแม้รอยขีดข่วน ไม่ยอมให้มีร่องรอยใดทำให้ใบหน้าเขาต้องมีตำหนิ
เมื่อไหร่กันที่เขาเคยปล่อยให้ตนเองดูเละเทะและไม่เรียบร้อยขนาดนี้ได้
ชายหนุ่มใช้นัยน์ตาแดงก่ำมองแผ่นหลังนางที่ค่อย ๆ เล็กลงยามนางเดินจากไป ไม่นาน สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว “เจ้าโกหกข้า!”
ท้องฟ้าสีครามที่คล้ายกับเพิ่งถูกล้างมาใหม่ ๆ พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับถูกแต้มด้วยสีเลือด และระหว่างคนทั้งสองคน จู่ ๆ ค่ายกลรูปดาวหกแฉกขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น โครงกระดูกสีแดงน่าขนลุกยืนอยู่ที่กลางค่ายกล
สตรีที่เพิ่งเดินจากไปไม่เท่าไหร่พลันชะงักฝีเท้าแล้วมองค่ายกลที่อยู่ใต้เท้าตนเอง ยังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร กลิ่นอายชั่วร้ายก็พลันเข้าล้อมกาย โครงกระดูกน่ากลัวนั่นพุ่งเข้าใส่นางทันที
“เฟยเอ๋อร์”
หญิงสาวพบว่าตนเองถูกผลักล้มลงกับพื้นอย่างแรง ความเจ็บปวดแล่นวาบขึ้นที่แผ่นหลังยามร่างนางครูดไปกับพื้น นางยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มที่คร่อมอยู่บนร่างส่งเสียงร้องออกมา ก่อนโลหิตจะไหลออกมาจากมุมปากเขา
หญิงสาวเบิกนัยน์ตากว้าง ร้องเสียงเบาออกมา “ท่านบาดเจ็บ!”
เขายกมือขึ้นปาดเลือดที่มุมปาก พยุงนางลุกขึ้นจากพื้น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นไร”
หญิงสาวจ้องเขาด้วยสายตาดุดัน “ไม่ใช่ว่าท่านบอกว่าไม่รักข้าแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วมายุ่งกับข้าอีกทำไม? ข้าตายไปน่าจะดีกว่า ท่านจะได้ไร้ปัญหาอีกต่อไป”
ยามได้ยินคำเจือแววโกรธเช่นนั้น ชายหนุ่มก็หัวเราะเบา ๆ ออกมา “ดูเจ้าพูดเข้า ราวกับว่าเจ้าอยู่ไม่ได้หากไม่มีข้า เจ้ารักข้ามากขนาดนี้เลยหรือ?”
ในอดีต เขาเป็นคนที่คอยไล่ตามนางมาตลอด คอยตามตื๊อนาง กระซิบถ้อยคำอ่อนโยนอ่อนหวานให้นางฟังอยู่เสมอ
บางทีนางอาจไม่ได้รักเขามากจริง ๆ ก็ได้กระมัง
ซึ่งนั่นก็ดี เขาจะได้ปล่อยนางไปได้ ไม่คิดอะไรมากอีก
คำของเขาเอ่ยขึ้นมาเพียงต้องการหยอกเอินคน แต่กลับทำให้สีหน้านางชะงักค้างไป ก่อนนางจะลดสายตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ใช่แล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงรู้สึกว่าหากไร้ท่านแล้วคงผ่านวันคืนไปอย่างยากลำบากนัก ที่ผ่านมาข้าไม่จำเป็นต้องมีท่านข้าก็ยังใช้ชีวิตได้ดีแท้ ๆ”
ชายหนุ่มชะงักไป ราวกับไม่คิดว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ถึงวันที่นางยอมสารภาพความในใจที่มีต่อเขาออกมาได้เช่นนี้
“ตอนข้ารู้จักท่านเป็นคราแรก ข้าคิดกับตนเองว่า ในใต้หล้านี้ยังมีบุรุษหนังหน้าหน้าไม่อายที่เลวจนถึงแก่นเช่นท่านอยู่อีกหรือ? ทว่าหลังจากนั้น ข้าก็ราวกับถูกพิษ ไม่อาจหักใจหยุดรักคนต่ำช้าคนนั้นได้เลย คนอื่นข้าก็ไม่อาจมองได้อีก นัยน์ตาคู่นี้… ไม่อาจมองใครอื่นได้อีกแล้ว”
นางหัวเราะประชดเล็กน้อย จากนั้นเงยหน้าขึ้นจ้องตาเขา “ตอบข้ามา หากท่านตกหลุมรักคนอื่นจริง ๆ แล้วเหตุใดจึงเสี่ยงชีวิตช่วยข้าไว้? หากไม่รักข้าอีกต่อไปแล้ว เหตุใดในนัยน์ตาท่านจึงยังเจือความอ่อนโยน มีความลังเล ไม่อาจปล่อยมือข้าไปได้เช่นนี้?”
ชายหนุ่มนัยน์ตาเป็นประกายวาบ เขาทำท่าราวกับจะพูดบางอย่าง ทว่านางกลับใช้นิ้วกดริมฝีปากเขาไว้ ใบหน้างามไร้ที่ติดื้อรั้นนัก “ข้า ชิงหลานเฟย ไม่ใช่คนที่ใครกล้าล่วงเกิน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าล้วนเป็นฝ่ายปฏิเสธผู้อื่น ไม่เคยมีใครที่เลือกจะปฏิเสธข้าก่อนด้วยซ้ำ และในเมื่อท่านล่วงเกินข้าเช่นนี้ ท่านไม่ใช่คนที่มีสิทธิ์คิดจะจากไปอีกต่อไป”
“ถึงจะบอกว่าไม่รักข้าอีกต่อไป แต่ก็ไม่เป็นไร ข้าจะทำให้ท่านตกหลุมรักข้าอีกครั้งเอง คำที่ท่านพูดมาเมื่อครู่ทำข้าโกรธเกรี้ยวนัก ที่ผ่านมาข้ายังแสดงออกไม่ชัดเจนพองั้นหรือ ท่านจึงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกข้าได้?”
พริบตาต่อมา หญิงสาวก็ยื่นหน้าเข้าไปปิดริมฝีปากเคล้ากลิ่นเลือด ไม่ให้เขาพูดคำใดออกมาอีก กระทั่งกัดจนเกิดรอยฟันเล็ก ๆ ขึ้นบนนั้น
“ไม่รู้เลยหรือว่าข้ารักท่านมากแค่ไหน? แล้วจะทิ้งข้าไปเช่นนั้น… ท่านคิดจะสังหารกันหรือไร?”
นางพลันมีสีหน้าเหมือนเด็กที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ น้ำตาใสราวผลึกไหลอาบแก้ม ได้เห็นคนงามหลั่งน้ำตาเช่นนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนถูกควักหัวใจออกมาได้จริง ๆ
ชายหนุ่มใจบีบจนเจ็บปวด เอื้อมมือใหญ่ขึ้นเช็ดน้ำตานางให้อย่างอ่อนโยน น้ำเสียงอ่อนโยนพลันเอ่ยขึ้น “เฟยเอ๋อร์ของข้า อย่าร้องอีกเลยนะ? เป็นความผิดข้าเอง เห็นเจ้าร้องไห้เช่นนี้ข้าเจ็บปวดใจนัก”
“แล้วท่านยังจะไปจากข้าอีกหรือไม่?” นางยังคงสะอึกสะอื้นน้ำตาไหล
เขาร่างแข็งทื่อไปด้วยความตกใจ ไม่อาจเอ่ยคำใดได้ ได้แต่ยืนอยู่เช่นนั้น
เขายังจะทิ้งนางลงได้หรือ? เขาจะไม่รักนางได้อีกหรือ?
ทว่า…
พลันมีเรื่องหนึ่งแล่นเข้ามาในจิตใจ ใบหน้าเขาซีดเผือด ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมอก
ภายในนั้น มันมีบางอย่างที่ชั่วร้ายนักที่กำลังกัดกินหัวใจเขาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เขาไม่อาจคิดถึงความรักความอ่อนโยนได้อีก
เขาสู้กัดฟันระงับความเจ็บปวดนั้น พยายามคุมน้ำเสียงตนเองแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เฟยเอ๋อร์ เจ้าฟังข้า ข้าจะเปิดทางออกค่ายกลนี้ให้ เจ้ารีบหนีออกไปเสีย ได้ยินหรือไม่?”
หญิงสาวขมวดคิ้ว “ท่านจะบอกว่าให้ข้าหนีออกไปคนเดียวงั้นหรือ?”
“หากไม่มีคนอยู่ภายในค่ายกล อีกคนก็จะออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
“ข้าไม่ไป! ข้าขอบอกท่านไว้ ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะพบกับความยากลำบากเช่นไรที่ท่านบอกข้าไม่ได้ แต่ข้าจะไม่ทิ้งท่านไว้คนเดียวแน่นอน!”
“เฟยเอ๋อร์ อย่าดื้อเช่นนี้!” ชายหนุ่มเสียงหงุดหงิดอยู่เล็กน้อย
“ข้าไม่ได้ดื้อ อย่าคิดเองเออเองว่าสิ่งที่ท่านทำลงไปนั้นก็เพื่อข้า” สีหน้านางเรียบเฉยนัก “หากพวกเราออกไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ตายไปด้วยกันนี่ล่ะ”
“เฟยเอ๋อร์…”
“ท่านพูดไว้เอง ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่อาจพรากเราจากกันได้นอกจากความตาย”
ชายหนุ่มสีหน้าตกตะลึงไป หากเป็นในอดีต นางเอ่ยมาเช่นนี้ย่อมทำให้ใจเขาเต้นระรัวแน่นอน ทว่าตอนนี้ เขาเพียงอยากให้นางได้ใช้ชีวิตต่อให้ดี
“ฮ่า ๆๆ ช่างเป็นความรักลึกซึ้งเสียจริง! ข้ามองดูเช่นนี้ยังรู้สึกสะเทือนใจ” ไม่มีใครรู้ว่าเสียงนั้นมาจากไหน ทว่ามันเป็นเสียงอ่อนโยนน่าฟังของหญิงสาวคนหนึ่งที่ฟังแล้วสะท้านถึงจิตวิญญาณ
ทว่าในหูของชายหนุ่มราวกับได้ยินเสียงเพรียกจากปีศาจ อาจเพราะนางมาถึงแล้ว ความเจ็บปวดในอกเขาจึงทวีความรุนแรงขึ้น เขาขบกรามแน่น พูดเสียงลอดไรฟัน “เจ้ากลับคำ!”
สตรีคนนั้นหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้ากลับคำพูดงั้นหรือ? ข้าให้โอกาสนางจากไปแล้ว แต่นางเลือกที่จะอยู่ ท่านจะโทษใครได้?”
มันเป็นน้ำเสียงคุ้นหูนัก แม้จะอีกฝ่ายจะไม่เผยตน ทว่าแค่ได้ยินเสียง ชิงหลานเฟยก็รู้แล้วว่านางเป็นใคร ราวกับถูกความเจ็บปวดร้าวลึกโจมตีร่างนางจนซวนเซไป “เจ้าจะสังหารข้างั้นหรือ?”
“เจ้าน่าจะตายไปตั้งนานแล้ว หากไม่ใช่ม่อจิ่งอวี้ปกป้องเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าคิดว่าจะรอดพ้นมาถึงวันนี้หรือ?” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเหยียด
“ให้เหตุผลข้ามาสักข้อ” ชิงหลานเฟยเอ่ยพลางหลุบตาลง เล็บยาวจิกเนื้อตนแน่น
นางไม่อยากเชื่อเลย อีกทั้งนางยังไม่อาจทำใจให้เชื่อได้ ว่าคนที่ครั้งหนึ่งนางเคยสนิทสนมราวกับเป็นพี่น้องกลับอยากเห็นนางจบชีวิตลง