สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 185 วิธีรักษาโรคกลัวความสูงที่ถูกต้อง
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 185 วิธีรักษาโรคกลัวความสูงที่ถูกต้อง
บทที่ 185 วิธีรักษาโรคกลัวความสูงที่ถูกต้อง
วันหยุด 5 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ศิษย์ทั้งหลายต่างเดินทางกลับสำนักละอองหมอก
งานสำคัญที่สุดหลังจากปีใหม่นั้น เห็นจะมีงานสานสัมพันธ์ระหว่างสามสำนักใหญ่
ฟังดูเผิน ๆ อาจดูดี แต่จริง ๆ แล้วก็คือการที่สำนักทั้งหลายมาประลองฝีมือกันนั่นเอง สำนักละอองหมอกอยู่เหนือสามสำนักใหญ่มานาน อีกสองสำนักจึงตั้งตารอจะชิงตำแหน่งมานานแล้ว
แม้ศิษย์สายหลักเฟิ่งเทียนเหิงจะไม่อยู่ แต่ก็ยังมีศิษย์อันดับสามลั่วหลานจือ และอันดับห้าซู่หลีม่ออยู่ในงานสานสัมพันธ์ครั้งนี้ด้วย เมื่อได้ทั้งสองรั้งอยู่ จึงไม่น่าแปลกใจว่าใครจะเป็นผู้ชนะในปีนี้
สามสำนักใหญ่จะเลือกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุด 30 คนออกมาทำการทดสอบวิชา และสถานที่นัดพบในปีนี้เป็นที่ปราการเมฆาคล้อยบนหุบเขาไร้กังวล มันเป็นปราการสูงนับพันลี้ ว่ากันว่าสูงเทียมเมฆ มองเห็นถึงสวรรค์ ภาพเมฆที่ลอยเอื่อยรอบกายนั้นงดงามจนลืมหายใจ
แต่ก็แน่นอนว่าย่อมมีอันตรายอยู่บ้าง หากไม่ระวังพลัดตกลงมาจากปราการนั่นคงไม่เหลือร่างเป็นชิ้นดี
“ปราการเมฆาคล้อย? ฟังดูน่าสนใจนี่” เมื่อมู่ไหลได้ยินอาจารย์กล่าวถึง นางก็ลูบคางตน ใบหน้าแสดงความสนใจทันที
แล้วนางก็หันไปหาถานหลินรั่วข้าง ๆ “ศิษย์พี่ ท่านจะเข้าร่วมด้วยไหม?”
ถานหลินรั่วสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ รีบส่ายหน้าตอบ “ข้าขอผ่าน ไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย”
“ทำไมเล่า? วิชาแพทย์ท่านก็ไม่เลว พลังบำเพ็ญก็ไม่น้อยหน้าใคร ไม่คิดอยากออกไปแสดงความสามารถหน่อยหรือ?” มู่ไหลหยอกเย้า
ถานหลินรั่วหัวเราะเสียงขื่น “ศิษย์น้องอย่าแกล้งข้าได้หรือไม่? หากเป็นเมื่อก่อนคงยอมรับว่าไม่มีใครในสำนักเอาชนะวิชาแพทย์ข้าได้ หากมีเพียงเจ้าที่เป็นศิษย์น้องเก่งกาจวิชาแพทย์เช่นกันยังพอว่า แต่มีเด็กอัจฉริยะอีกคนในภาควิชาพิเศษที่มีพลังวิญญาณขั้นสุดในสำนักอีกคนหนึ่งเข้ามา ข้าละอายใจนัก”
มู่ไหลเลิกคิ้ว “ท่านดูถูกตนเองเช่นนี้ ไม่สมกับเป็นท่านเลย!”
ถานหลินรั่วทำหน้าเหมือนคนท้องผูก ราวกับยากจะหาคำมาเอ่ย ผ่านไปชั่วครู่ใหญ่ ๆ จึงจะเค้นคำออกมาได้ “จริง ๆ แล้ว….. ข้ากลัวความสูง”
มู่ไหลชะงักไป พริบตาเดียวนางก็หัวเราะออกมา ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน “ศิษย์พี่ ท่านโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ยังกลัวความสูงอยู่หรือ?”
ถานหลินรั่วถอนใจ รู้สึกจนใจอยู่บ้าง “เมื่อครั้งยังเด็ก ข้าเคยตกจากที่สูงตอนออกไปเก็บสมุนไพรบนเขา จากนั้นข้าก็กลัวความสูงเรื่อยมา ปราการเมฆาคล้อยอยู่สูงเทียมฟ้าเช่นนั้น แค่มองลงมาก็คลื่นไส้ได้แล้ว ขนาดที่โรงเตี๊ยมข้างนอกข้ายังไม่กล้าพักห้องชั้นบนเลย”
“ขนาดนั้นเชียว?” มู่ไหลเบิกตาค้างอย่างตกใจ “แล้วท่านไม่คิดจะเอาชนะมันเลยหรือ?”
“ข้าอยาก แต่ก็ไร้ประโยชน์” ถานหลินรั่วเอ่ยเสียงสิ้นหวัง
มู่ไหลใช้นิ้วเคาะมุมโต๊ะ “ให้ท่านเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ แม้พวกเราภาควิชานักปรุงยาจะมีกันหลายคน แต่ภาควิชาจะถูกมองอย่างไรหากศิษย์คนโตของเราไม่อาจเข้าร่วม? พวกเราต้องช่วยท่านหาทางเอาชนะความกลัวนี้ให้ได้”
“เจ้ามีวิธีงั้นหรือ?” ถานหลินรั่วถามขึ้นในพลัน หน้าตามุ่งหวัง
มู่ไหลยิ้ม “แน่นอนว่ามี”
ไม่รู้ทำไม ถานหลินรั่วเห็นรอยยิ้มนั้นแล้วรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาไม่ได้
——————————-
“อ๊ากกกกกก~”
“ศิษย์น้องเล็ก! รีบดึงข้าขึ้นเลยนะ! ศิษย์น้องเล็ก! ศิษย์น้อง ข้ากลัวแล้ว…..”
“ข้าจะตายแล้ว! ข้าจะตายแล้วจริง ๆ!”
“มันสูงเกินไป! เช่นนี้สูงเกินไปจริง ๆ! ข้าไม่อยากรักษาแล้ว! ข้าแค่ไม่เข้าร่วมการแข่งก็พอ ให้เจ้าเป็นตัวแทนภาควิชาไปก็ดีพอแล้ว!!”
“ศิษย์น้อง เจ้าได้ยินข้าไหม? ดึงข้าขึ้นไปเถอะ! ข้ากลัวจะตายอยู่แล้ว อ๊ากกก….”
ที่เขาหลังสำนักละอองหมอก ปกติแล้วยามอรุณในฤดูหนาวเช่นนี้มักจะเงียบสงบไร้เสียงใด กระทั่งเสียงนกยังไม่ได้ยิน ทว่าวันนี้กลับมีเสียงร้องโหยหวนฟังดูน่าสยดสยองดังก้องอยู่ ณ ที่นั่น
ห้อยลงมาจากหน้าผาที่ยื่นออกมาโดยมีเชือกหนาราวหนึ่งนิ้วคนผูกต้นไม้อยู่ไกล ๆ ส่วนปลายเชือกอีกด้านนั้น ลากยาวลงหน้าผานั่นไป เป็นคนคนหนึ่งที่กำลังใบหน้าซีดขาว เหงื่อเย็นแตกพลั่ก คือถานหลินรั่วนั่นเอง
เขากำลังคว้าเชือกที่ผูกรอบเอวตนไว้แน่น พยายามจะปีนขึ้นไป ทว่าด้วยความสูงเช่นนี้มันกลับน่ากลัวเกินกว่าเขาจะขยับตัว จึงไร้ทางเลือกอื่น ต้องร้องขอความช่วยเหลือจากคนด้านบน
มู่ไหลนั่งอยู่บนขอบผ้าไม่รู้เรื่องรู้ราว ฟังเสียงร้อนสะเทือนจิตนั่นแล้วก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “ศิษย์พี่ ที่ข้าทำก็เพื่อตัวท่านเอง จากนี้ไป พวกเราจะห้อยท่านไว้ที่ผานี่ทุกวันวันละสองชั่วยาม ท่านคุ้นเคยกับมันเมื่อไหร่ย่อมหายกลัวความสูงไปเอง”
“ศิษย์น้องรัก เราเปลี่ยนวิธีได้หรือไม่? เอาวิธีที่มันเบากว่านี้…..” ถานหลินรั่วเสี่ยงสั่น รู้สึกชาไปทั้งร่าง
ร่างที่ถูกห้อยของเขาถูกแรงลมจากก้นเหวพัดไปมา เชือกเส้นบางเองก็ทำท่าราวกับจะขาดผึงอยู่ทุกขณะ หวาดเสียวเกินจะมองจริง ๆ
มู่ไหลฟังเสียงร้องชายหนุ่มแล้วก็ให้ส่ายหัวด้วยความเศร้าใจ ในใจคิดว่าเขาควรจะดีกว่านี้สิ “ศิษย์พี่ ท่านจะกลัวอะไรนักหนา? มีหรือที่ข้าจะทำร้ายท่าน? ในฐานะที่ท่านเป็นถึงศิษย์คนโตภาควิชานักปรุงยาแห่งสำนักละอองหมอกที่น่านับถือ เป็นศิษย์รักของผู้อาวุโสจิน ท่านคิดจะละทิ้งโอกาสแสดงฝีมือในงานสานสัมพันธ์สามสำนักใหญ่งั้นหรือ หากผู้อาวุโสจินได้ยินเข้าไม่โกรธตายเลยหรือไร?”
ถานหลินรั่วได้ยินคำนางก็ละอายอยู่ในใจ ทว่าความกลัวภายในกลับเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก ได้แต่กลืนน้ำลายถาม “ศิษย์น้อง….. เชือกเส้นนี้…..”
“ท่านไม่ต้องกลัว เชือกของข้าไม่ใช่เชือกธรรมดา อย่าคิดว่ามันเป็นเชือกเส้นบาง ๆ เส้นหนึ่ง แท้จริงแล้วมันเป็นของวิเศษที่แข็งแกร่งมาก ใช้ดาบตัดยังไม่ขาด เว้นเสียแต่ท่านจะโชคร้ายเจอแมลงฟันเลื่อยข้า เจอฟันมันแล้ว กระทั่งดาบดีที่สุดยังถูกมันกัดเป็นชิ้น…..”
ถานหลินรั่วเอ่ยเสียงสูง “แมลงฟันเลื่อยนี่…… ตัวสีเขียวเหมือนหยก รูปร่างกลม ปากฟันแหลมคมใช่หรือไม่?”
“เอ๋? ท่านรู้ได้อย่างไร?” มู่ไหลถามเสียงฉงน ยื่นหน้ามาดูที่ริมผา
“ข้า….. ข้าคิดว่าข้าเห็นพวกมันกำลังกัด….. อ๊ากกก~” เสียงร้องหวาดกลัวของถานหลินรั่วพลันหายไป กลายเป็นเสียงกรีดร้องสูงไม่เป็นคำแทน
มู่ไหลพลันเห็นว่าเชือกที่พันกับต้นไม้หย่อนไปราวกับตรงกลางขาดผึง นางหรี่ตาลงทันที “ไม่นะ!”
ทันใดนั้นร่างสูงของนางก็กระโจนลงไป นางร่วงลงมาด้วยความเร็ว มือหนึ่งคว้าเถาวัลย์ที่กำลังพุ่งลงมาด้วยเช่นกัน อีกมือหนึ่งดึงที่เอวออกมา มันฟาดออกไปอย่างรวดเร็ว รัดเข้าที่เอวชายหนุ่มที่หน้าซีดขาวจากความกลัว ก่อนจะดึงเขาขึ้นมา
ถานหลินรั่วเกือบน้ำลายฟูมปากตายไปแล้ว เขาเพิ่งจะทรงตัวได้เล็กน้อยก็พบว่าจู่ ๆ ร่างถูกดึงขึ้น ตกใจจนอยากร้องออกมาอีกครั้ง
มู่ไหลขมับเต้นตุบ ตะโกนเสียงไม่พอใจ “หุบปาก!”
ถูกนัยน์ตาคมของนางตวัดมองเข้า ถานหลินรั่วจึงปิดปากเงียบแต่โดยดี
จากนั้นจึงได้ยินเสียงเย็นชาทว่าปลอบโยนอยู่ในทีของนางขึ้นอีกครา “ท่านก้มหน้าลงมองด้านล่าง”
ถานหลินรั่วทำตามคำนาง เมื่อเห็นหมอกที่ลอยคลุ้งอยู่ที่เหวไร้ก้นเบื้องล่างเขาก็เบนสายตาหนีทันที
“จากนี้ไปข้าจะให้ท่านมองลงไปยังก้นเหวเช่นนี้วันละหนึ่งเค่อ หากท่านไม่ยอม ข้าจะปล่อยให้ท่านตกลงไปเดี๋ยวนี้” มู่ไหลขู่เสียงเข้ม
“ศิษย์น้อง…..”
“ไม่มีข้อต่อรอง!”
ถานหลินรั่วรู้สึกเสียใจมาก แต่ก็ต้องยอมทำตาม ทำไมเขาจึงไม่สังเกตว่าศิษย์น้องของเขาผู้นี้ที่มักจะยิ้มอยู่ตลอด แท้จริงแล้วกลับเป็นสตรีปีศาจกันนะ? โหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งนัก!
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับหยาดน้ำหยด ถานหลินรั่วถูกแส้พันเอวห้อยไว้เช่นนี้ย่อมรู้สึกไม่สบายตัว จึงพยายามขยับร่าง มู่ไหลเห็นว่าเขาขยับตัวจึงโยนเถาวัลย์ข้าง ๆ ให้เขาแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านจับไว้เองแล้วกัน”
ถานหลินรั่วคว้าเถาวัลย์ไว้แล้ว แส้ที่พันรอบเอวอยู่ก็คลายออก มู่ไหลเก็บแส้กลับไปเสียบไว้ที่ข้าวเอวดังเดิม
เมื่อห้อยอยู่เช่นนั้นนานเข้า ฝ่ามือเขาจึงเริ่มชื้นเหงื่อ ถานหลินรั่วหันไปมองหญิงสาวข้าง ๆ “ศิษย์น้อง เจ้าไม่กลัวหรือ?”
“มีตรงไหนให้กลัว?” มู่ไหลหัวเราะหยัน “หากท่านกลัวความสูง ท่านก็ตายเสียวันนี้ คิดได้อย่างนั้นแล้วท่านยังจะกลัวอยู่อีกไหม? เกิดวันหนึ่งท่านตกผา แท้จริงแล้วมีโอกาสรอด แต่กลับทิ้งไปเพราะความกลัว สุดท้ายก็คงตายไปทั้งอย่างนั้น”
ถานหลินรั่วเงียบไป เขาก้มลงมองก้นเหวอีกครั้ง ดูเหมือนความกลัวในใจจะไม่ได้รุนแรงมากแล้ว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หญิงสาวจึงเอ่ยขึ้น “ท่านยังกลัวอยู่หรือไม่?”
“ดีขึ้นหน่อยแล้ว” ถานหลินรั่วตอบ
“เช่นนั้นก็ขึ้นได้แล้ว”
นางพูดจบก็เอาแขนเกี่ยวเอวถานหลินรั่ว ดีดเท้าจากหน้าผาเบา ๆ ครั้งหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาด้านบนได้แล้ว
เขาหลงใหลด้านการแพทย์มามากกว่ายี่สิบปี นับเป็นครั้งแรกที่ถานหลินรั่วได้ใกล้ชิดกับสตรีถึงเพียงนี้ ใบหน้าหล่อเหลากลายเป็นสีแดงจาง ๆ ก้มหน้าลงอยู่ตลอด ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ พรุ่งนี้เราค่อยมาฝึกต่อ วันนี้จบเท่านี้ ข้าไปก่อนล่ะ” มู่ไหลไม่เห็นท่าทางประหลาดของเขา พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
“ศิษย์น้อง…..”
ร่างสูงเพรียวของหญิงสาวค่อย ๆ เล็กลงยามเดินจากไป นางยกแขนข้างหนึ่งขึ้นโบกลาโดยไม่หันกลับมามอง
“ที่นางช่วยข้า เพียงเพราะห่วงชื่อเสียงของภาควิชานักปรุงยากระมัง!” ถานหลินรั่วพึมพำเสียงเบา มองเงาร่างที่ค่อย ๆ เดินหายไป ไม่รู้ทำไมในหัวใจจึงรู้สึกผิดหวังอยู่เล็ก ๆ
———————————–
หุบเขาไร้กังวลนั้นอิงแอบอยู่ระหว่างยอดเขาหลายลูก โดยมีฐานใหญ่ตั้งอยู่ที่ช่องเขาด้านล่างที่มีผาหินสูงชัน
และเพราะดังนั้น แม้คนในหุบเขาไร้กังวลทุกคนจะไม่ได้มีพลังบำเพ็ญล้ำลึกเกินหยั่ง แต่ทุกคนก็มี “วิชาตัวเบา” ที่ทำให้สามารถโหนร่างหรือกระโดดไปเป็นระยะไกลได้ ขึ้นลงผาชันที่คนอื่น ๆ เอาแต่มองแล้วรู้สึกกลัวได้อย่างง่ายดายราวกับเดินบนทางราบ
เรื่องที่สถานที่จัดงานสานสัมพันธ์ในครั้งนี้เป็นที่หุบเขาไร้กังวล จริง ๆ แล้วก็เป็นเรื่องท้าทายสำหรับคนจากอีกสองสำนักไม่ใช่น้อย
แม้หุบเขาไร้กังวลจะรั้งท้ายในสามสำนักใหญ่ แต่เรื่องอำนาจก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน อีกทั้งยังรู้กันทั่วแดนมุกหยกว่ามีนักฆ่ามือฉมัง นับเป็นกลุ่มที่ลึกลับสูงมาก
ที่ตั้งฐานใหญ่ของหุบเขาไร้กังวลนั้นอันตรายนัก แค่เดินทางผ่านผาก็มีแต่อันตรายเต็มไปหมด ทั้งยังมีพืชพิษนับไม่ถ้วน เท่านี้ก็นับเป็นฝันร้ายแล้ว
“พวกตาแก่เค้นหัวแทบแตกเพื่อจะหาทางขู่สำนักละอองหมอกและสำนักไร้สิ้นสุด ข้าว่าพวกสิ่งที่อยู่บนผ้าเหล่านั้นคงเตรียมไว้พร้อมแล้วกระมัง” เฟิงฉีเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ มองชายหนุ่มที่นั่งจิบชาอยู่ที่โต๊ะ
ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย จิบชาสดชื่นอีกจิบหนึ่ง แต่ยังไม่ตอบความ
เฟิงฉีชินกับนิสัยเขาแล้ว ดังนั้นจึงเดินเข้าไปนั่งเองทั้งที่ไม่มีใครเชิญ รินชาแก้วหนึ่งในตนเองแล้วยกซด “ข้าว่าเจ้าไม่สนใจงานสานสัมพันธ์เลยแม้แต่นิด ปกติเจ้าก็เอาแต่หนีไปหาที่ซ่อนคนเดียวเงียบ ๆ”
เขาพูดจบ ที่นอกหน้าต่างก็ได้ยินเสียงพึ่บพั่บดังมา นกตัวสีขาวราวหิมะ ระหว่างดวงตาทั้งสองมีรอยแต้มสีทอง บินเข้ามาเกาะบนโต๊ะภายในห้อง ขาข้างหนึ่งพันกระบอกไม้ไผ่ไว้
เฟิงฉีเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “นี่มันนกอะไรกัน? ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!”