สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 204 มีหมูเป็นศิษย์ร่วมสำนัก
บทที่ 204 มีหมูเป็นศิษย์ร่วมสำนัก
ได้ยินแล้ว ทุกคนก็ชูแก้วในมือต้นแล้วเอ่ยพึมพำตอบรับตามมารยาท
ชิงอวี่เลิกคิ้ว ตัดสินคนจากภายนอกไม่ได้จริง ๆ นางคิดว่าท่านเจ้าหุบเขา ในฐานะที่เป็นหัวหน้านักฆ่ามือสังหารแห่งหุบเขาแล้ว คงจะต้องมีบุคลิกดุดันน่าเกรงขาม ปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมาอยู่ตลอดเป็นแน่แท้!
ไม่คิดเลยว่าจะเป็นชายวัยกลางคนน่ามอง เห็นแล้วนึกว่าเป็นพ่อค้าท่าทางสง่างามน่าดูชมไปได้ เห็นแบบนี้ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าเขาเป็นหัวหน้าของพวกนักฆ่าเป็นโขยง
ชื่อเสียงของท่านเจ้าหุบเขานั้นไม่ได้ดีเด่นอะไรนัก ว่ากันว่าเป็นคนชั่วร้ายหักหลังพวกพ้อง เจ้าเล่ห์เพทุบาย หน้าตานี่หลอกตาคนได้จริง ๆ
“มีอะไร? เจ้าสนใจเขาหรือ?” ชายหนุ่มด้านข้างหัวเราะเสียงเบาถามขึ้น
ชิงอวี่ยยิ้มแล้วส่ายหน้า “ข้าเพียงสัมผัสไอสังหารจากเขาไม่ได้ก็เท่านั้น เขาเหมือนเป็นคนธรรมดาทั่วไปมากกว่าจะเป็นคนบำเพ็ญเพียรพลัง”
โหลวจวินเหยาประหลาดใจอยู่บ้าง “เจ้าจับประเด็นไปตรงเผงทีเดียว เจ้าหุบเขาแห่งหุบเขาไร้กังวลเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไร้พลังจริง ๆ”
“เป็นไปได้อย่างไร?” ชิงอวี่กะพริบตาไม่อยากเชื่อ “เช่นนั้น….. แล้วเขามารับตำแหน่งเจ้าหุบเขาได้อย่างไร?”
หากไร้พลังบำเพ็ญแล้วมีคนคิดร้ายต่อเขา เช่นนั้นเขาไม่อาจป้องกันตัวได้เลยไม่ใช่หรือ?
โหลวจวินเหยาเข้าใจที่นางสงสัยจึงช่วยอธิบาย “นอกจากตำหนักนักฆ่าอันลึกลับแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาขึ้นชื่อเรื่องอะไรอีก?”
“เรื่องอะไรเล่า?”
“นอกจากตำหนักนักฆ่าแล้ว ที่ผู้คนกล่าวขานกันมากที่สุดคือสี่ผีร้ายที่ไม่เคยห่างกายเจ้าหุบเขาไร้กังวล หรือก็คือจีเยี่ยน ว่ากันว่าเป็นกลุ่มคนมีฝีมือสูงส่งจนแดนมุกหยกไม่อาจต้านทาน รั้งอยู่ข้างกายจีเยี่ยนหลงเป็นเงาตามตัว คอยปกป้องคุ้มภัยให้เขา ยามนอนหลับก็เฝ้ายามอยู่ไกล ๆ ดังนั้นใครคิดลอบสังหารเขาก็คงไม่มีโอกาส”
“ทำไมสี่ผีร้ายถึงได้ภักดีต่อเขาขนาดนั้น? แล้วเจ้าหุบเขาไร้กังวลเลี้ยงพวกเขาให้เชื่องได้อย่างไร?” ชิงอวี่ถามหน้าฉงน
โหลวจวินเหยามองเด็กสาว นัยน์ตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงเอ่ยอธิบาย “ถึงจีเยี่ยนหลงจะไม่มีพลังบำเพ็ญ แต่เขามีสติปัญญาเฉียบแหลม มีความสามารถสูงส่ง สามารถชุบคนตายฟื้นคืนชีพคนได้ด้วยการฝังวิญญาณเข้าร่างคนเป็น เป็นวิธีที่ปลอดภัยและดีกว่าการบีบบังคับมามากนัก เป็นแค่การแทนวิญญาณจึงไร้ผลข้างเคียงใด ฟื้นชีวิตขึ้นใหม่ในต่างตัวตนเท่านั้นเอง”
พูดมาถึงตรงนี้เขาก็พลันหยุดไปเล็กน้อย “และก็เพราะความสามารถนี้ที่ทำให้จีเยี่ยนหลงผูกมิตรกับคนมากฝีมือทั้งหลาย อีกทั้งคนพวกนั้นยังยอมทำงานให้เขา เพราะอยู่กับเขาก็เท่ากับมีสองชีวิต สี่ผีร้ายนั่นจริง ๆ แล้วก็ได้เขาชุบชีวิตใช้ร่างคนเป็นขึ้นมาเช่นกัน”
ชิงอวี่ขมวดคิ้ว สีหน้าทะมึนลง ไม่รู้ทำไมนางถึงนึกถึงชิงเทียนหลินขึ้นมา แล้วเขา….. ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างไร? เกี่ยวข้องกับเจ้าหุบเขาไร้กังวลหรือไม่?
“ได้ยินมาว่าปีนี้สำนักละอองหมอกรับศิษย์ฝีมือโดดเด่นมาหลายคน ทั้งยังมีอัจฉริยะผู้ครองทุกธาตุมาอีกด้วย ไม่ทราบว่าคนผู้นั้นมาด้วยหรือไม่?” จีเยี่ยนหลงเอ่ยเสียงอบอุ่นอ่อนโยน เอ่ยรอยยิ้มเคล้าไปทุกคำ
ชิงอวี่ยังไม่ทันเอ่ยถาม เหยียนเจวี๋ยก็เอ่ยมาจากที่ไกลแล้ว “ท่านเจ้าหุบเขาอาจจะยังไม่ทราบ แต่ตอนที่ข้ารู้เรื่องนี้ข้าประหลาดใจนัก เพราะอัจฉริยะผู้ครองทุกธาตุกลับยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
“โอ๋?” จีเยี่ยนหลงเลิกคิ้วประหลาดใจ หันไปมองที่นั่งของศิษย์สำนักละอองหมอกไม่ทันรู้ตัว
ชิงอวี่เห็นดังนั้นจึงจำเป็นต้องลุกขึ้นแล้วโค้งตัวเล็กน้อย “คารวะท่านเจ้าหุบเขา”
จีเยี่ยนหลงจ้องเด็กสาวผู้มีใบหน้างดงาม สีหน้าชะงักไปเล็กน้อย ราวกับไม่คิดว่าอัจฉริยะผู้ครองทุกธาตุที่ลือกันนั้นจะเป็นเด็กสาวที่มีรูปโฉมงานเช่นนี้ได้
แต่พริบตาเดียวเขาก็ตั้งสติได้ พลันพยักหน้ายิ้ม ๆ “มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเด็กเฉลียวฉลาด สำนักละอองหมอกนี่โชคดีจริง ๆ”
คำกล่าวนั้นเหมือนกล่าวตามมารยาท หากแต่ไม่ได้ออกมาจากใจจริง ชิงอวี่ยกยิ้มมุมปากไม่ตอบคำ ทักทายเจ้าบ้านแล้วก็นั่งลงตามเดิม
ทุกคนกำลังพูดคุยงึมงำกันอยู่ เสียงฝีเท้าก็พลันดังขึ้นมาจากนอกประตู
ด้านหน้าคือชายร่างสูงในชุดคลุมดำ ใบหน้าโดดเด่นเป็นยิ่งนัก นัยน์ตาเรียวยาวราวกับหงส์ ริมฝีปากยางน่ามอง เครื่องหน้าดูดีเป็นอย่างมาก บุปผางามสีดำขนาดเท่าปลายเล็บประดับอยู่ที่ใต้ตา เผยกลีบดอกบานหลายชั้น ดูเย้ายวนน่ามอง เพิ่มกลิ่นอายชั่วร้ายให้ใบหน้าหล่อเหลาได้ดี
ชายอีกสองคนเดินตามเขามา คนหนึ่งหล่อเหลาดูกล้าหาญ อีกคนดูดีตัวสูงใหญ่ ยืนเรียงซ้ายขวา ห่างจากคนหน้าไม่เท่าไหร่ เหมือนจะเป็นผู้คุ้มครองผู้ภักดีของคนหน้า
อาจเพราะมีสัมผัสเฉียบคมนัก ซีจ้านเฉินจึงเห็นใบหน้าคุ้นตามทันทีที่เดินเข้ามา สายตาจดจ้องไปยังเด็กสาวชุดม่วงที่ตัดกับผิวขาวราวหิมะ ดวงหน้าเล็กเย้ายวนน่ามอง
นางเองคงสังเกตถึงสายตาจึงค่อย ๆ หันมามองเขา เห็นเขาแล้วนางยังส่งยิ้มให้ด้วย
ซีจ้านเฉินใจเต้นแรง อดสงสัยไม่ได้ว่านางฟื้นเมื่อไหร่ แล้วบาดแผลหายดีหรือยัง
เขาเห็นนางรับการโจมตีรุนแรงครั้งนั้นให้เขาต่อหน้าต่อตา ยามเห็นนางหมดสติไปก็ไม่รู้ว่าตนรู้สึกอย่างไร แต่ในใจกลับรู้สึกเจ็บปวดเหลือทน ราวกับถูกเข็มนับพันทิ่มแทง
คิดได้ดังนี้ ซีจ้านเฉินก็สังเกตเห็นคนร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างกายนาง เป็นคนชุดคลุมม่วงดูสูงส่งที่พลันปรากฏขึ้นในวันนั้นนั่นเอง เขาพลิกสถานการณ์แล้วช่วยพวกเขาเอาไว้
ปีศาจซากผีตัวโตถูกฝ่ามือเขาไปคราหนึ่งก็ไม่อาจต้านทานไหว สู้อีกฝ่ายไม่ได้แม้สักนิด สะบัดหนึ่งฝ่ามือสังหารมันในคราเดียว อีกฝ่ายแกร่งมากจนเขายังต้องยอมรับความพ่ายแพ้
แม้ซีจ้านเฉินจะเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ฝีมือลึกล้ำในแดน แต่ก็ยังมีพลังด้อยกว่ามาก สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้ก็คืออีกฝ่ายคงไม่ได้มาจากแดนมุกหยกที่เป็นแดนระดับต่ำเป็นแน่
อาจจะมาจากแดนที่อยู่สูงกว่า…..
เมื่อมองคนที่เดินเข้ามา จีเยี่ยนหลงก็ประหลาดใจไม่น้อย เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะขึ้น “วันนี้เจ้าไม่ออกจากหุบเขาหรอกหรือนี่ พระอาทิตย์คงขั้นทางทิศตะวันตกเสียแล้วกระมัง”
แม้ซีจ้านเฉินจะเป็นเจ้าตำหนักนักฆ่า แต่ก็ไม่ค่อยดูแลเรื่องในตำหนัก งานทั้งหมดโยนให้ลูกน้องจัดการ นิสัยเขาออกจะประหลาดอยู่บ้าง ไม่ค่อยชอบสถานที่หรืองานที่มีคนมากเสียงเยอะเช่นนี้ มักไปหาที่ซ่อนแล้วหลบไปสักหลายสิบวันหรือครึ่งเดือนกว่าจะกลับ
แต่ครั้งนี้น่าประหลาด ไม่เพียงแต่ไม่หลบงาน แต่ยังก้าวเท้าเข้ามาด้วยตนเอง และในเมื่อมาถึงแล้ว เขาก็จะเข้าร่วมงานสานสัมพันธ์ในครั้งนี้ด้วย
เหยียนเจวี๋ยเห็นซีจ้านเฉินใบหน้าก็ยินดีขึ้นทันตา รีบก้าวเท้ายาว ๆ มาหาทันที “หัวหน้า ท่านมาก็ดีแล้ว!”
คนอื่น ๆ กำลังคาดเดาตัวตนชายชุดดำไปต่าง ๆ นานา เมื่อได้ยินเหยียนเจวี๋ยเรียกเขาว่าหัวหน้าหัวหน้าจึงอดอึ้งไปไม่ได้ เหยียนเจวี๋ยเป็นนักฆ่าหนึ่งในสิบของตำหนักนักฆ่า เป็นคนที่ได้รับความเคารพเหลือล้นกว่านักฆ่าระดับทองคำของหุบเขาเสียอีก คนอย่างเหยียนเจวี๋ยเรียกอีกฝ่ายว่าหัวหน้าได้ ก็คงจะมีคนเดียวเท่านั้น
จีเยี่ยนหลงคลี่ยิ้มก่อนกล่าวกับทุกคน “นับเป็นสัญญาณดีของงานในปีนี้ กระทั่งเจ้าตำหนักนักฆ่าที่ไม่เคยร่วมงานมานานหลายปีก็ยังมา”
ซีจ้านเฉินสายตาไม่สะทกสะท้าน ยังคงเดินมายังที่นั่งที่ว่างอยู่แล้วนั่งลง ไม่เอ่ยสักคำ เขาไม่ตอบรับการต้อนรับอันอบอุ่นของจีเยี่ยนหลงและเหยียนเจวี๋ยเลยแม้แต่น้อย ดูท่าทางเย็นชาเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก
เขาในตอนนี้ต่างจากเขาที่ได้พบชิงอวี่ในสถานที่ต้องห้าม ดูไม่คุ้นตาเลย เมื่อตอนนั้นเขายังดูเป็นคนคุยง่ายน่าหลงใหลอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับดูหยิ่งยโสสันโดษ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ช่วงจังหวะที่ทุกอย่างเงียบไปนั้น คนผู้หนึ่งในส่วนที่นั่งของสำนักละอองหมอกก็จ้องมองซีจ้านเฉินอยู่นาน ฉับพลันเอ่ยปากขึ้นว่า “ขอข้าทราบนามท่านผู้นี้ได้หรือไม่?”
ซีจ้านเฉินไม่ตอบ แต่จ้องตาเขากลับสีหน้าเรียบเฉย
ทุกคนสับสนเล็กน้อย จะถามชื่อเจ้าตำหนักนักฆ่าไปเพื่ออะไร? แม้จะไม่ได้ฟังดูไร้เหตุผลเสียทีเดียว แต่ทำเช่นนั้นก็น่าประหลาดใจอยู่มาก
เมื่อศิษย์สำนักละอองหมอกเห็นว่าอีกฝ่ายเมินคำถามเขาก็ไม่โกรธแต่คลี่ยิ้มออกมาแทน “นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งแดน ซีจ้านเฉิน ฉายานักคร่าวิญญาณ สังหารคนตายทั้งที่ยังหลับฝันหวาน ใบหน้าเหยื่อบิดเบี้ยวขวัญผวา วิญญาณพลันถูกปลิดจากร่าง ว่ากันว่ามีแต่คนตายที่ได้เห็นใบหน้าเขา แต่ก็นับว่าเป็นลางร้าย ครั้งหนึ่งภารกิจลอบสังหารถูกเปิดเผย เหยื่อหนีรอดมาได้แต่ก็พิการไปชั่วชีวิต”
เขาคิดจะพูดอะไรกัน?
ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้คนรอนาน ว่าต่อทันที “คนที่ได้เห็นโฉมหน้านักฆ่านั้นเห็นใบหน้าเขาไม่ชัดเจน แต่บนใบหน้าเขามีรอยสะดุดตาประดับอยู่ นั่นก็คือบุปผาดำที่อยู่ใต้ตาซ้าย”
บุปผาสีดำหรือ…..
ทั้งยังอยู่ใต้ตา เป็นบุปผาคลี่ดอกบานจริง ๆ ด้วย
หรือว่าคนคนนี้….. จะเป็นนักฆ่าในค่ำร่ำลือจริง ๆ?
เขาเป็นตัวตนที่ผู้คนมากมายเคารพนับถือ สองมือเขาเปื้อนเลือดคนมีอำนาจมานักต่อนัก
เงินค่าหัวซีจ้านเฉินนั้นคือทองสิบล้าน หากมีคนได้ไปจริงก็คงใช้ชีวิตสบายไปตลอดชาติ ใช้เงินมือเติบได้ทุกวี่วันไม่ต้องสนใจใคร
เฟิงฉีมองกลุ่มคนสายตาระแวดระวังทันที ราวกับกลัวว่าจะมีคนมาลอบสังหารซีจ้านเฉินได้ทุกขณะ
กล่าวถึงขนาดนี้แล้ว หากซีจ้านเฉินไม่เอ่ยปากสักหน่อยก็คงไม่ดี ดังนั้นเขาจึงส่งสายตาไร้อารมณ์ให้อีกฝ่ายแล้วกล่าวขึ้นมา “หากจริงแล้วอย่างไร?”
เขาตอบมาสงบนิ่งนัก ราวกับไม่คิดกลัวเลยว่าจะถูกคนจำได้
แต่ก็เป็นเพราะท่าทีสงบนิ่งของเขาที่ทำให้น่าโมโห ศิษย์สำนักละอองหมอกหัวเราะหึเยาะเย้ยออกมา “ก็ไม่อย่างไร เพียงแต่ข้าสงสัยว่าจะป่าวประกาศไปดีหรือไม่ว่าท่านหลบซ่อนอยู่ในหุบเขาไร้กังวล เพราะนั่นก็อาจทำให้หุบเขาไร้กังวลมีเรื่องเอะอะมากกว่าเดิม”
“ก็มีชีวิตรอดไปให้ได้ก่อนก็แล้วกัน” โหลวจวินเหยาพลันเอ่ยไม่ไยดี
ชิงอวี่ด้านข้างไม่คิดจะเอ่ยอะไรขึ้นด้วยซ้ำ
สำนักละอองหมอกยังอุตส่าห์จะมีเจ้าคนโง่เง่าที่กล้าท้าทายเจ้าบ้านในบ้านของตนเองด้วยงั้นสินะ นี่เขาไม่กลัวตายหรือแค่คิดว่าหุบเขาไร้กังวลที่มีพวกนักฆ่าเลือดเย็นมากมายสุมอยู่เช่นนี้เป็นเพียงเรื่องตลกกันแน่?
สมองหมูของเขาพาคนอื่นซวยไปด้วยจริง ๆ