สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 205 เอะอะก็หยอกเอินกัน
บทที่ 205 เอะอะก็หยอกเอินกัน
ไม่เพียงชิงอวี่ ทว่าคนอื่น ๆ จากสำนักละอองหมอกต่างส่งสายตามองศิษย์ผู้นั้นราวกับมองหมูตัวหนึ่ง
รู้ตัวตนซีจ้านเฉินแล้วอย่างไรกัน? มีหรือที่เจ้าตัวจะกลัว? เขาเป็นถึงเจ้าตำหนักนักฆ่าแห่งหุบเขา แค่สมาชิกทั้งสิบในตำหนักเพียงหนึ่งก็ทำเอาคนปวดหัวได้แล้ว
แต่เจ้านี่กลับกล้าท้าทายซีจ้านเฉินโจ่งแจ้งเช่นนี้ คิดว่าตนมีชีวิตอยู่มานานเกินแล้วหรือไร?
ทุกคนในตำหนักนักฆ่ามีใครไม่บูชาซีจ้านเฉินราวกับเทพเซียนบ้าง? พวกเขาจะปล่อยให้คนที่ตนชื่นชมบูชาถูกคนอื่นรังแกได้หรือ?
ใบหน้าเฟิงฉีและอี้หานเปลี่ยนไปทันที กระทั่งเหยียนเจวี๋ยหน้ายิ้มที่เป็นมิตรอยู่ตลอดยังเปลี่ยนเป็นเย็นชา เจ้านี่มันเบื่อชีวิตแล้วหรือไรถึงกล้าท้าทายหัวหน้าเช่นนี้!?
ทันใดนั้นเขาก็ยังตนเองไม่อยู่ เริ่มลับฝีปากกับอีกฝ่ายทันที จ้องหน้าศิษย์สำนักละอองหมอกด้วยรอยยิ้มอ่านไม่ออก “ไม่รู้ว่าคำของเจ้ามาจากความตั้งใจของเจ้าเองหรือเป็นคำพูดของทั้งสำนักละอองหมอกหรือไม่? ดูท่าสำนักละอองหมอกจะอยากให้งานสานสัมพันธ์ครั้งนี้ออกมาดูไม่ดีเท่าไหร่”
เมื่อศิษย์คนนั้นได้ยินคำเหยียนเจวี๋ย ก็คงเพิ่งนึกได้ว่าที่นี่ไม่ใช่สำนักละอองหมอกที่จะเอ่ยอะไรก็ได้ แต่อยู่ในเขตแดนของพวกคนเลือดเย็นฆ่าคนตาไม่กะพริบ เขาทำทีเป็นไม่พอใจแต่ก็ไม่กล้ากล่าวคำอะไรขึ้นอีก
ทว่าเหยียนเจวี๋ยกัดไม่ปล่อย เขาหัวเราะเย็นชา กวาดตามองไปยังเหล่าศิษย์สำนักละอองหมอก เอ่ยเสียงเจือแววเสียดสีขึ้นมา “สำนักละอองหมอกไม่ใส่ใจงานระหว่างสำนักมากขึ้นทุกที กระทั่งในงานสำคัญอย่างงานสานสัมพันธ์สามสำนักใหญ่ยังส่งศิษย์ที่ไม่คู่ควรมาร่วมงาน ดูท่าผู้นำในสามสำนักในปีนี้คงจะมีความเปลี่ยนแปลงแล้วกระมัง”
ในหมู่คนสำนักละอองหมอกที่มาร่วมงานในครั้งนี้ นอกจากซู่หลีม่อที่เป็นที่รู้จักของหลาย ๆ คนแล้ว ศิษย์คนอื่น ๆ ต่างก็เป็นหน้าใหม่กันทั้งนั้น จึงไม่อาจปฏิเสธคำเหยียนเจวี๋ยทั้งหมดได้
ศิษย์ผู้นั้นเอ่ยขึ้นไม่ทันยั้งคิด ช่างเป็นภาพที่ดูโง่เง่ามากจริง ๆ คิดจะเปิดโปงตัวตนซีจ้านเฉินในตอนนี้ มีหรือที่หุบเขาไร้กังวลจะไว้หน้า?
ศิษย์ผู้นั้นไม่พอใจจนหน้าแดงแจ๋ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอารมณ์ชั่ววูบอะไรถึงได้กล้าไปท้าทายนักฆ่าระดับตำนานเช่นเขาได้ บุรุษผู้นั้นราวกับปีศาจที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบ สองมือชุ่มเลือด…..
ซู่หลีม่อก่นด่าอยู่ภายในเงียบ ๆ ก่อนจะหันไปมองเหยียนเจวี๋ยที่มีสีหน้าไม่เป็นมิตร พยายามแก้สถานการณ์ “เจ้านั่นไม่รู้ความ ได้แต่เอ่ยอะไรไร้สาระ หวังว่าหุบเขาไร้กังวลจะไม่เก็บมาใส่ใจ เขาคงจะเห็นนักฆ่าแห่งแดนแล้วตื่นเต้นมาก โพล่งคำที่ไม่สมควรเอ่ยออกไป ซึ่งก็นับว่าเข้าใจได้ ท่านเจ้าหุบเขาคงจะเข้าใจหัวอกหัวใจของคนที่ชื่นชมบูชาเหล่าคนมีฝีมือดีนะ!”
จีเยี่ยนหลงยิ้มพยักหน้า “เป็นเรื่องเข้าใจได้ ในเมื่อเข้าใจผิดก็ช่างมันเถอะ หากเรื่องเล็กน้อยยังสามารถทำให้ความสัมพันธ์ของเราแย่ลงได้ก็มีแต่เสียกับเสีย”
ในเมื่อท่านเจ้าหุบเขายอมมอบทางลงให้สำนักละอองหมอกแล้ว เหยียนเจวี๋ยจึงรู้ดีไม่จี้ประเด็นอีก สีหน้าเขาทะมึนพลางคิดกับตนเอง คนที่กล้าดูหมิ่นหัวหน้านั่น เขาไม่อภัยให้มันแน่
ตอนนี้มันอยู่ในเขตหุบเขาไร้กังวล ถึงจะเอาชีวิตไม่ได้ แต่เอาให้บาดเจ็บสักหน่อยจะได้หลาบจำ จะได้รู้เสียบ้างว่ามันไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร อย่าได้คิดผยองเพียงเพราะตนอยู่สำนักละอองหมอกอีก
“ขออภัยด้วยที่ล่วงเกิน” ซู่หลีม่อพลันหันไปโค้งน้อย ๆ ให้ซีจ้านเฉินที่ใบหน้าเรียบสนิท
ซีจ้านเฉินเอ่ยเสียงไร้อารมณ์ “ไม่เป็นไร ข้าไม่เก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว”
บรรยากาศอันตรายเมื่อครู่พลันอันตรธานหายไป ตอนนี้เหลือเพียงความอึดอัดเล็กน้อย โดยเฉพาะฝั่งสำนักไร้สิ้นสุดที่เป็นผู้ชม ไม่รู้ว่าพวกตนควรทำตัวเช่นไร จะทำเป็นไม่เข้าใจหรือไม่ได้ยินไปเลยดี
“เช่นนั้นก็ขอให้ทุกท่านพักผ่อนเอาแรงก่อนเถอะ เมื่อหมอกรอบปราการเมฆาคล้อยจางลงแล้วเราค่อยขึ้นไปยังปราการ”
จีเยี่ยนหลงหันไปสั่งข้ารับใช้ที่รออยู่ข้าง ๆ ก่อนเอ่ยกับทุกคน “ทุกท่านเข้าไปพักผ่อนในห้องรับรองที่จัดไว้ได้ เมื่อถึงเวลาข้าจะส่งคนไปแจ้งทุกท่านเอง”
ปราการเมฆาคล้อยเป็นหนึ่งในสถานที่น่าพิศวงในแดนมุกหยก อีกทั้งยังเป็นสถานที่ลึกลับที่สุดในหุบเขา มีหมอกลอยเวียนวนปกคลุมตลอดไม่จางหาย ยามราตรีจึงจะเผยตัว มีทางขึ้นที่สูงกว่าหมื่นขั้น สูงมากจนไม่อาจเห็นปลายทางทีเดียว
ว่ากันว่ามันเป็นสถานที่ที่ผู้มีพลังจากโบราณกาลใช้พลังเทพเสกขึ้นมา เป็นที่ที่เก็บตำรายุทธ์มหัศจรรย์พิสดารหลายเล่มไว้ หากมีใครโชคดีได้พบสมบัติล้ำค่าของทวยเทพก็นับว่าได้สั่งสมโชคมาแล้วหลายชาติด้วยกัน
ชิงอวี่หลับตานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ที่หูพลันได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ อยู่นอกห้อง เสียงไพเราะกระจ่างฟังดูรื่นหู ทว่าเจือแววแกร่งดังมาให้ได้ยินแผ่วเบา “ชิงอวี่”
นางจึงลืมตาขึ้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยังลงจากเตียงเดินไปเปิดประตู เงาร่างในชุดสีดำยืนอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นนาง ดวงตางามก็เป็นประกายสดใสชั่วขณะ
“ท่านมาทำไม?’ ชิงอวี่ยิ้มบางพลางเอ่ยถาม
ซีจ้านเฉินมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนถามขึ้นในพลัน “บาดแผลเจ้าเล่า? หายดีแล้วหรือ?”
ไม่เร็วปานนั้นหรอกกระมัง วันนั้นนางเจ็บสาหัสจนสลบไม่รู้เรื่องไป บาดแผลคงไม่ใช่น้อย ๆ แน่
ได้ยินน้ำเสียงเป็นกังวลของเขาแล้ว ชิงอวี่ก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
ซีจ้านเฉินเงียบไปชั่วขณะ ก่อนจะถามเสียงกระซิบ “ตอนนั้นเจ้าบังการโจมตีให้ข้าทำไม?”
ชิงอวี่เลิกคิ้วมองเขา “จะว่าไป ข้าอยากถามอยู่พอดี ท่านเสี่ยงชีวิตจงใจยั่วโมโหปีศาจซากผีนั่นเพื่อดึงความสนใจมันไปจากข้า เปิดโอกาสให้ข้าหนีเอาตัวรอดงั้นหรือ?”
ซีจ้านเฉินลังเลไปชั่วขณะก่อนจะตอบ “อืม”
“ทำไมเล่า? เราเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกัน หรือท่านเป็นคนมีคุณธรรมที่เงื้อดาบช่วยเหลือคนอยู่ตลอดเลยงั้นหรือ?” ชิงอวี่อดถามขึ้นยิ้ม ๆ ไม่ได้
“กับเจ้าเท่านั้น” ซีจ้านเฉินหรี่ตาลง “อีกทั้งเจ้าเคยช่วยชีวิตข้ามาก่อน เป็นผู้มีพระคุณต่อข้า”
ระหว่างพวกเขาไม่ใช่เพียงคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบหน้ากันหรอก
อย่างน้อยก็สำหรับเขา เขารู้สึกคุ้นเคยกับนางตั้งแต่แรกพบ ราวกับรู้จักกันมานานหลายปี อีกทั้งนางยังเป็นตัวตนสำคัญ ราวกับเป็นคนในความทรงจำที่หายไป
“ท่านไม่จำเป็นต้องคิดว่าติดค้างอะไรข้า ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตาและผลกรรม ชะตากำหนดให้ท่านต้องพบเจอเรื่องลำบากและได้พบข้าที่เข้ามาช่วยเหลือยามยาก ก็เป็นเช่นนี้ มันถูกกำหนดมาแล้ว” ชิงอวี่กล่าว
ซีจ้านเฉินบิดมุมปาก “ก็อาจจะ…..”
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ แต่นางอดรู้สึกว่าคำของเขาซ่อนความหมายลึกซึ้งอะไรไว้อีก ฟังดูราวกับจนใจอย่างไรก็ไม่รู้
เมื่อทั้งสองเงียบไปนั่นเอง ประตูห้องถัดไปก็เปิดออก
โหลวจวินเหยาเดินออกมา เมื่อเห็นซีจ้านเฉินก็สีหน้าไม่เปลี่ยนราวกับไม่ได้ตกใจอะไร แต่หันไปมองชิงอวี่ “มากินยา”
ชิงอวี่ที่ยังมีรอยยิ้มติดริมฝีปากใบหน้าแข็งค้างไปทันใด “ข้าหายแล้วนี่?”
“ก่อนแผลนั่นจะหายสนิท เจ้าต้องดื่มยาทุกวัน รีบมาเถอะ” โหลวจวินเหยาพูดจบก็หันหลังเดินกลับห้องไปทันที
ชิงอวี่มีสีหน้าเศร้าใจเหลือแสน นางที่ใส่ใจกับมารยาทมากกลับไม่กระทั่งเอ่ยคำลากับชายหนุ่มตรงหน้าที่ยังยืนนิ่งอยู่ สับขาเดินเข้าไปในห้องข้าง ๆ อย่างไม่สบอารมณ์ทันที
ซีจ้านเฉินหรี่ตาลง มือภายใต้แขนเสื้อกำแน่น
ภายในห้องด้านข้าง ชิงอวี่ที่เตรียมใจมาพลีชีพและเผชิญความกลัวอย่างกล้าหาญกลับไม่เห็นยาต้มอันน่ากลัววางอยู่ที่ไหนเลย นางดมกลิ่นฟุดฟิดก็ไม่พบกลิ่นยาหรือสมุนไพรอะไร
นางพลันทำหน้าฉงนแล้วเอ่ยถาม “ไหนท่านว่าข้าต้องดื่มยาไม่ใช่หรือ?”
“ข้าโกหก”
ชายหนุ่มนั่งอยู่หน้าโต๊ะเตี้ย นิ้วเรียวประคองการินชาใส่ถ้วย ควันพวยพุ่งขึ้นมาช้า ๆ ปิดบังใบหน้าหล่อเหลา ปกปิดความงามอย่างชั่วร้าย เพิ่มความอบอุ่นอ่อนโยนขึ้นมาอีกนิด
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็อึ้งไป เมื่อตั้งสติได้จึงถามขึ้นอีก “โกหกหรือ?”
นางสับสนอะไรอยู่หรือไม่?
โหลวจวินเหยาจิบชาแล้วค่อย ๆ เอ่ย “กับซีจ้านเฉินผู้นั้น เจ้าต้องเว้นระยะห่างให้มาก ถึงเขาจะมาสอพลอเจ้าแต่ก็อย่าไปเชื่อทุกคำของเขา”
ชิงอวี่ประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยเรื่องนี้ขึ้น ได้แต่เดินไปนั่งตรงข้ามกับเขาแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านกล่าวเช่นนี้เพราะรู้อะไรมาหรือ?”
โหลวจวินเหยาเพียงแค่ยิ้ม ก่อนจะดื่มชาจนหมดด้วยท่าทีสงบ ชิงอวี่ยังนั่งรอคำตอบ ทว่าผ่านไปนานแล้วเขาก็ยังไม่ปริปากพูด
ชิงอวี่รู้สึกโกรธอยู่บ้าง “ท่านพูดมาครึ่ง ๆ กลาง ๆ เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
“หากพูดชัดไป เรื่องบางอย่างก็จะไร้ความหมาย ให้เจ้าได้ค้นหามันเองจะรู้สึกได้ถึงความสำเร็จดีกว่า” โหลวจวินเหยาตอบ
“ข้าไม่อยากมานั่งหาเอง ท่านบอกข้ามาเลยไม่ได้หรือ?” ชิงอวี่เลิกคิ้วถามหน้ามุ่ย
“อยากให้ข้าพูดชัด ๆ เลยงั้นหือ?” โหลวจวินเหยายกยิ้ม เป็นยิ้มที่เกือบมองไม่เห็น ด้วยตอนนี้มีเพียงสองคนเขาจึงไม่ได้ใช้วิชามายาเปลี่ยนสีตาอีก ก้อนผลึกสีม่วงงดงามเต็มไปด้วยดวงดาราพราวระยับ เพียงสบตามองก็สามารถทำให้หลงใหลมัวเมาได้
แม้นางจะเห็นใบหน้าหล่อเหลาที่เหล่าเทพเซียนคงโปรดปรานเป็นยิ่งนักของเขาจนชินตาแล้ว แต่ก็ยังเผลอใจหลงใหลไปชั่วขณะ
มุมปากนางพลันกระตุก พูดอะไรไม่ออกชั่วครู่ “ท่านมองข้าเช่นนั้นทำไม….. นี่ท่านคิดจะใช้หน้าตาหลอกลวงแม่นางน้อยผู้ใสซื่อให้กระทำเรื่องชั่วช้างั้นหรือ? น่าเสียดายที่ข้าจิตแข็งนัก เพราะฉะนั้นถูกมนต์ท่านเข้าไปข้าก็ไม่หวั่นไหวหรอก”
“งั้นหรือ?” โหลวจวินเหยาเห็นนางทำหน้านิ่งก็หัวเราะ พลันยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ลมหายใจอุ่น ๆ เป่ารดเข้าที่แก้มนาง รู้สึกจั๊กจี้นิด ๆ
นางเบี่ยงศีรษะหลบอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับได้ยินเสียงทุ้มดังชัดแจ่มแจ้ง “จิ้งจอกน้อย เจ้าน่ะหรือแม่นางน้อยผู้ใสซื่อ? หืม?”
หากฟังดี ๆ จะพบว่าน้ำเสียงเขาเจือแววขัน ราวกับกำลังล้อนางอยู่ ชิงอวี่พลันรู้สึกเคือง หันกลับมาโดยเร็ว “แล้วมีตรงไหนที่ไม่ใช่…..”
เวลาหยุดลง ณ ตอนนั้น
คำที่พูดค้างถูกหยุดชะงักไว้เมื่อนางสัมผัสบางสิ่งอุ่น ๆ เข้า
ม่านตาโหลวจวินเหยาหดตัวลง ไม่คิดว่านางจะหันกลับมาเช่นนี้จนริมฝีปากนุ่มสัมผัสเข้ากับเรียวปากเขาได้
นอกจากตอนป้อนยายามนางหมดสติแล้ว ทั้งสองก็ไม่เคยใกล้ชิดกันมากขนาดนี้อีก โดยเฉพาะยามนางมีสติ หรือก็คือจะนับว่านี่นับเป็นครั้งแรกก็ว่าได้
บนร่างเด็กสาวมีกลิ่นหอมจาง ๆ ไม่ใช่กลิ่นชาดหรือกลิ่นเครื่องประทินโฉมใด แต่เป็นกลิ่นหอมธรรมชาติ คละเคล้าไปกับกลิ่นสมุนไพรสดชื่น เมื่อรวมกันแล้วเป็นกลิ่นหอมรู้สึกสบายใจกลิ่นหนึ่ง ที่ทำให้ยิ่งอยากเข้าใกล้นาง