สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 206 ไม่ต้องเอ่ยคำใด จูบข้าก็พอ
บทที่ 206 ไม่ต้องเอ่ยคำใด จูบข้าก็พอ
ใบหน้าเด็กสาวอยู่ใกล้มาก ทำให้ยิ่งเห็นว่าผิวนางเนียนนุ่มเพียงไหน นุ่มละมุนราวกับผิวไข่ต้มที่เพิ่งแกะเปลือก ทั้งเปล่งประกายและน่าหลงใหลนัก
เดิมทีก็เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น แต่ด้วยคนทั้งสองนิ่งไปเช่นนั้น เบิกตาโตจ้องหน้ากัน ตกใจจนไม่อาจขยับตัวได้อยู่นาน
นัยน์ตาสีม่วงน่าหลงใหลของชายหนุ่มลึกล้ำขึ้น นางเสียสติไปแล้วหรือ? กลับนั่งนิ่งให้ริมฝีปากชนกันอยู่เช่นนี้ หรือ….. นางจะคิดเล่นกับไฟเลยพยายามยั่วยวนเขา?
เริ่มแรกยามได้รู้จักกันมากขึ้น ในใจเขาก็เริ่มมีจุดเล็ก ๆ ที่เริ่มแปรเปลี่ยนไป ตอนแรกก็มองเพียงว่านางน่าสนใจ เป็นคนมีความสามารถ ดังนั้นจึงยกเว้นให้นางอยู่หลายครั้ง เมื่อเจอปัญหาก็คอยปรากฏกายขึ้นเพื่อช่วยเหลือนางอยู่ร่ำไป
คอยปกป้องนาง ไม่ยอมให้ใครทำอันตรายนาง เพราะยามเห็นนางบาดเจ็บมันเป็นภาพบาดตานัก
ดังนั้นถึงจะรู้ว่าตนมีร่างกายไม่เหมือนคนอื่น ไม่อาจปล่อยให้บาดเจ็บโดยง่าย แต่เขากลับช่วยนางโดยไม่นึกถึงตนเอง ถึงจะต้องเจ็บปวดราวกับถูกใครรุมซัดพลังใส่ บาดเจ็บแล้วความเจ็บกลับมากเจียนตาย ใช้เวลาฟื้นฟูอยู่นานก็ตามที
แต่ได้เห็นนางมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เรื่องพวกนั้นมันจะสำคัญอะไร?
มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่า ยามที่ต้องเห็นร่างเล็กนอนนิ่งสนิทอยู่บนเตียงเช่นนั้น มันทำให้เขากลัวขนาดไหน นางดูราวกับไร้ชีวิต เมื่อไหร่ที่นางหมดสติ ร่างนางจะหลั่งเหงื่อเย็น ลมหายใจแผ่วเบาเปราะบางราวกับจะหยุดลงได้ทุกเมื่อ ยามนางเป็นแบบนั้นเขาจะคอยอยู่เฝ้านางไม่วางตาไม่กล้าจากไป เกรงว่านางจะหลับใหลไม่ตื่นขึ้นมาอีก
ไป๋จือเยี่ยนยังล้อเขาอยู่ตลอดว่าเขาคิดไม่ซื่อกับแม่นางน้อยหรือไม่ แล้วเมื่อไหร่กันที่เขาเริ่มมีความคิดเช่นนั้นต่อนาง?
ให้ตายสิ หัวใจคนเรามันช่างซับซ้อนจริง….. จะมีใครเข้าใจมันได้เล่า?
แต่อย่างหนึ่งที่เขามั่นใจคือเด็กสาวนั้นไม่เหมือนใคร เขาอยู่มากว่าสองร้อยปี เห็นคนมานักต่อนัก กลับไม่เคยมีใครดึงความสนใจเขาได้ ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกเช่นนี้มาก่อน
เช่นรู้สึกอยากให้อยู่ข้างกายเขาไปตลอด
ตอนนั้นเอง เหมือนโลกกลับมาหมุนอีกครั้ง เด็กสาวพลันได้สติ คิดจะเบี่ยงกายหลบ แต่เขากลับเอื้อมมือมาดันนางเข้าอ้อมกอด ริมฝีปากที่ผละออกจากกันชั่วประเดี๋ยวกดทับเข้าหากันอีกครั้ง
ใกล้กันเช่นนี้ เห็นนัยน์ตาหงส์งามของนางเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง ทั้งยังดูลนลานทำอะไรไม่ถูก
หึ แม่นางน้อย เจ้าพาตัวเองมาส่งให้ถึงถ้ำเสือเช่นนี้แล้วคิดจะหนีไปอย่างนั้นหรือ? ไม่มีทางเสียล่ะ!
ชิงอวี่ได้แต่เบิกตากว้าง ในหัวว่างเปล่าไปหมด บนริมฝีปากรู้สึกเจ็บเล็กน้อยด้วยชายหนุ่มขบเม้มมันอย่างรุนแรงจนนางไม่อาจต้านทานได้
นี่เขา….. ทำอะไรอยู่กัน?
หากนางเข้าใจไม่ผิด เขากำลังจูบนางใช่หรือไม่?
แต่ว่า….. พวกนางใกล้ชิดสนิทสนมกันจนถึงขั้นทำอะไรแบบนี้ได้แล้วหรือ?
จนกระทั่งอีกฝ่ายเริ่มบุกรุกเข้าไปนั่นเองนางจึงได้สติ นัยน์ตานางฉ่ำน้ำไปเล็กน้อย ดูมีสเน่ห์พริ้มพรายอย่างบอกไม่ถูก
เห็นเด็กสาวมีสีหน้างุนงงไปน้อย ๆ โหลวจวินเหยาก็หัวเราะเสียงเบา เห็นนางใจเต้นแรงเช่นนี้มันน่าดีใจนัก ทั้งดูเรื่อยเฉื่อยและมีเสน่ห์ เขาก้มหน้าลงกัดริมฝีปากที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มจากแรงจูบเบา ๆ ก่อนเอ่ยเสียงติดจะแหบไปสักนิดขึ้น “หากต่อไปอยากจูบข้าก็ไม่ต้องทำหลบ ๆ ซ่อน ๆ ข้าจะไม่ขัดขืน ยอมให้เจ้าข่มเหงแต่โดยดี”
ชิงอวี่ “…..”
นางอยากทำเมื่อไหร่? แล้วหลบ ๆ ซ่อน ๆ อะไรกัน??
คนผู้นี้ยังหน้าไม่อายได้มากกว่านี้อีกหรือไม่? เขาเป็นฝ่ายล่วงเกินนางแท้ ๆ แต่กลับพ่นคำเช่นนี้ออกมางั้นหรือ?!
คำคนเฒ่าคนแก่นี่ว่าไว้ไม่มีผิดจริง ๆ พวกคนหน้าไม่อายมักอายุยืน!
ชิงอวี่ส่งยิ้มไร้ขันให้ก่อนจะสะบัดตัวหลุดจากวงแขนแล้วเอ่ยเสียงมีเหตุผลยิ่ง “ข้าจะถือว่าวันนี้ท่านลืมกินยาแล้วเกิดสติหลุดขึ้นมา จะไม่ถือโทษโกรธกัน อย่างไรข้าก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากท่าน แต่หากครั้งหน้าท่านบ้าอยากกัดคนขึ้นมาอีกก็อย่าลืมบอกข้าก่อน ให้ข้าใช้เข็มจิ้มสักทีสองทีก็หายดีแล้ว และไม่ต้องห่วง ในเมื่อเราเป็นสหายกัน ข้าย่อมไม่คิดเงิน”
โหลวจวินเหยาได้ยินก็ชะงักไปเล็กน้อย เขาคิดว่านางจะเป็นเช่นแต่ก่อน ที่ถ้าไม่ระเบิดเสียเดี๋ยวนั้นก็จะทำหน้าขุ่นเคืองราวกับถูกลูบคม ตวัดสายตาจ้องหน้าเหมือนอยากสังหารคน หรือไม่ก็เก็บความโกรธไว้แล้วเมินเขาไปสักหลายวัน….. ไม่คิดเลยว่านางจะดูสงบนิ่งได้มากเช่นนี้!?
แต่คำพูดเหล่านั้นก็ทำให้เห็นว่านางโกรธไม่ใช่น้อย
โหลวจวินเหยาหลุบตาลงหัวเราะเสียงเบา “ในเมื่อยังต้องให้ช่วยก็ต้องมีสินน้ำใจกันบ้าง แต่ด้วยความสัมพันธ์ของเราเป็นเช่นนี้ ของอย่างเงินหรือของจับต้องได้อื่น ๆ มันไร้ค่าเกินไป เพราะฉะนั้น…..”
ชิงอวี่เลิกคิ้ว “เพราะฉะนั้น?”
แค่เห็นสีหน้าเขานางก็รู้แล้วว่าปากนั่นคงพ่นอะไรดี ๆ ออกมาไม่ได้เป็นแน่ แล้วยัง….. ความสัมพันธ์ของเราประเภทไหนกัน? พูดเสียกำกวมดูว่าสนิทสนมกันนัก อยากโดนฟาดมากนักหรือ?
“อืม….. ต่อไปหากข้าเสียสติอยากกัดคนขึ้นมาอีก เจ้าไม่ต้องเสียเวลาใช้เข็มจิ้มข้าหรอก เสียสละตัวเองมาเลยดีกว่า!” โหลวจวินเหยาว่าแล้วก็กะพริบตา เอ่ยหน้าตาเฉย
ชิงอวี่ “…..”
หมายความว่ายังไง? ให้นางเสียสละตนเองหรือ??
นางไม่อาจตอบกลับไปได้ทันที แต่พลันคิดเชื่อมคำเขากับเรื่องน่าละอายที่เขาเพิ่งกระทำไปอย่างหน้าไม่อาย นางก็อยากหัวเราะดัง ๆ ด้วยความโกรธ
“โหลวจวินเหยา” นางเอ่ยเสียงเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นยิ่งนักทั้งยังยิ้มมุมปาก
เมื่อครู่นางยังทำทีเย็นชาเหินห่าง แต่ตอนนี้กลับดูอบอุ่นอ่อนโยน โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วประหลาดใจ ไม่รู้ว่านางวางแผนร้ายอะไรอยู่บ้าง
ฉับพลันเห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากนางผลิบานราวบุปผางาม คนที่อยากออกห่างจากเขาเมื่อครู่กลับเอนร่างเข้ามาใกล้ นัยน์ตาหงส์เย้ายวน น้ำเสียงฉอเลาะ และใบหน้างดงามที่กำลังคลี่ยิ้มนั่นทำเอาใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ ทุกจังหวะเคลื่อนไหวของนางช่างน่าหลงใหล
เป็นนางปีศาจที่เกิดมาเพื่อล่อลวงผู้คนจริง ๆ
นางเผยอริมฝีปากออกน้อย ๆ แล้วเอ่ยถามเสียงน่าฟัง “ท่านตกหลุมรักข้างั้นหรือ?”
โหลวจวินเหยาดูลังเลไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าจะถูกนางถามเช่นนั้น เขาจึงทำอะไรไม่ถูกไม่ชั่วขณะ
เขาหรี่ตาลง ไม่ตอบนางตามตรง เพียงหัวเราะแล้วเคลื่อนกายเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนหน้าผากแทบชนกัน “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
กระแสน้ำวนน่าพิศวงในดวงตาสีม่วงคู่นั้น ราวกับสามารถดูดจิตวิญญาณคนเข้าไปได้ สุดท้ายชิงอวี่ก็ไม่อาจต้านทานจอมมารที่มีชีวิตมากว่าสองร้อยปีได้ ยามเขาพูดริมฝีปากก็เกือบสัมผัสกัน ด้วยเขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ดูท่าจะฉวยโอกาสกับนางจนติดเป็นนิสัยเสียแล้ว
ชิงอวี่สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วใช้มือหนึ่งผลักอกเขาออกห่าง หันหน้าไปอีกด้านเพื่อสงบสติอารมณ์จากจูบเมื่อครู่
โหลวจวินเหยายกมือหนึ่งขึ้นเท้าคางเอียงหน้ามองนางไม่วางตา ที่ริมฝีปากมีรอยยิ้มมีความสุขแต้มอยู่
เมื่อครู่เขาเล่นแรงไปจนเจ้าตัวเล็กกลัวงั้นหรือ?
อืม เรื่องเช่นนี้ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า ไม่เช่นนั้นหากทำนางเกลียดเขาเข้าคงแย่
——————————————–
ท้องฟ้าเริ่มมืด ใกล้ถึงเวลาเดินทางไปยังปราการเมฆาคล้อยแล้ว
“ซีจ้านเฉินไปหาเด็กสาวอัจฉริยะจากสำนักละอองหมอก?”
ได้ยินลูกน้องมารายงานเช่นนี้ จีเยี่ยนหลงก็หัวเราะด้วยรู้สึกขัน “เขาไม่เคยมีทีท่าเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยใส่ใจเรื่องทางโลกมาก่อน หากไม่ทำภารกิจก็จะเก็บตัวอยู่ในเรือนไม้ไผ่ไม่ย่างกรายออกมา มีเหตุผลอะไรให้ต้องทำตัวเช่นนี้กัน?”
“ได้ยินว่าเด็กสาวมีใบหน้างดงามไร้ที่ติ เป็นคนงามที่หาได้ยาก ทั้งยังเป็นอัจฉริยะผู้ครองทุกธาตุ ดังนั้นนางย่อมแตกต่างไม่ธรรมดา อาจเพราะนางแตกต่างเช่นนี้เขาจึงสนใจกระมังขอรับ” ลูกน้องที่มารายงานด้านหลังหาญกล้าเดาสุ่มเอาเอง
จีเยี่ยนหลงยิ้มมีความนัยก่อนส่ายหน้าเบา ๆ “ซีจ้านเฉินเป็นคนประหลาด นับตั้งแต่วันที่ข้าพาเขามาที่นี่ เขาก็ตัดสินใจจะก่อตั้งตำหนักนักฆ่าขึ้นเอง ที่ข้าปล่อยเขาทำตามใจชอบเพราะการกระทำของเขาเป็นผลดีต่อหุบเขา ช่วยเสริมสร้างความแกร่งให้หุบเขาได้ แต่ถึงจะมีอำนาจสูงส่งเช่นนั้น เขากลับไม่เคยใส่ใจชื่อเสียงตำแหน่งไร้สาระใด เก็บตัวเงียบอยู่ภายในหุบเขา ไม่คิดลงมือหรือมีแผนอะไรเลย ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเขามองหาอะไรอยู่กันแน่…..”
“ว่าซีจ้านเฉินคิดยังไงหรือขอรับ? ยังไม่ต้องคิดเรื่องว่าทำไมเขาถึงเข้าหาเด็กสาวหรอกขอรับ ข้าน้อยไม่เข้าใจตรงอื่นมากกว่า”
จากนั้นเขาก็ครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ซีจ้านเฉินทำภารกิจไม่เคยพลาด ไม่ว่าจะเป็นการหาของหรือสังหารคน แต่กับดอกบัวหัตถ์พระโพธิสัตว์ในครั้งนี้เขากลับทำพลาดไปได้ ท่านเจ้าหุบเขาไม่คิดว่า….. มันดูแปลกหรือขอรับ?”
จีเยี่ยนหลงเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย “แล้วเจ้าคิดอย่างไร?”
“ข้าน้อยคิดว่าเขาไม่มีทางทำภารกิจพลาด คงมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทำภารกิจเป็นแน่”
“เรื่องนั้นย่อมแปลก” จีเยี่ยนหลงพยักหน้าลูบคาง ใบหน้าเป็นมิตรดูไร้พิษภัยของเขาครุ่นคิดหนัก “ดูท่าจากไปครั้งก่อนคงจะเกิดเรื่องน่าสนใจขึ้นกระมัง!”
ค่ำคืนมาถึงในที่สุด คนจากสามสำนักใหญ่ต่างพากันมารวมตัวที่ห้องโถงใหญ่ นอกจากศิษย์ที่เข้าร่วมงานแล้ว ผู้ชมที่อยากมาร่วมดูงามก็ได้รับอนุญาตให้ตามขึ้นมาด้วย
ทว่าปราการเมฆาคล้อยก็ไม่ใช่ว่าจะขึ้นไปง่าย ๆ ต้องเดินขึ้นบันไดกว่าหมื่นขั้น และไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกค่ายกลป้องกันของปราการดีดออกไป ด้วยความสูงระดับนั้นแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ หากขึ้นไปได้ครึ่งทางแล้วถูกดีดลงมา หึ ๆ ไม่ต้องกล่าวเรื่องความพยายามที่ผ่านมาถูกทำลายสิ้นและถูกตัดสิทธิ์การแข่งขัน แต่ยังจะเหลือศพสมประกอบหรือไม่ก็ยังไม่รู้ได้
ดังนั้นแม้ปราการเมฆา คล้อยจะเป็นหนึ่งในสถานที่น่าพิศวงแห่งแดนมุกหยก แต่ก็ไม่มีใครกล้าขึ้นไปง่าย ๆ ไม่เพียงแต่ต้องเคี่ยวกรำความอดทนและความแกร่งของร่างกายอย่างหนักหน่วง ยังต้องมีความมุ่งมั่นเหนือคนธรรมดา เพราะหากไม่อาจขึ้นไปบนสุดได้จริง ๆ แล้วยอมแพ้กลางทางก็มีแต่ตายเท่านั้น
แต่ปราการเมฆาคล้อยก็ยังมีตำนานอันงดงามร่ำลืออยู่
ว่ากันว่ามันเป็นสถานที่ทดสอบหัวใจของคนที่รักกัน หากรักกันจริงทั้งคู่จะสามารถขึ้นไปถึงปราการเมฆาคล้อยได้เพื่อคนที่ตนรัก เพื่อไปขอพรในปราการเมฆาคล้อยให้คำขอบุคคลอันเป็นที่รักเป็นจริงขึ้นมา
หากเป็นบุรุษกับสตรี โชะตาที่หลบซ่อนอยู่จะเป็นฝ่ายนำพาพวกเขาไป สุดท้ายก็จะได้จับมือเคียงคู่กัน
“ไม่ว่าว่าตำนานปราการเมฆาคล้อยจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้อย่างไรทุกคนก็ต้องขึ้นไปให้ถึงยอด พวกท่านต้องพากเพียรขึ้นไปให้สุดทาง ไม่เช่นนั้นจะต้องพบความตาย ขอให้พวกท่านตัดสินใจให้ดีด้วย” จีเยี่ยนหลงยิ้มแล้วกล่าวคำเตือนกับทุกคน กวาดตามองหน้าทุกคน
“ทางเรายินดีให้ทุกท่านได้พิสูจน์ ตำนานเรื่องคนรักว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเล่าปรัมปรา ด้วยที่นี่มีคนมากมาย ไม่แน่ว่าคนที่ชะตาลิขิตของพวกท่านอาจอยู่ด้วยก็เป็นได้ ดังนั้นการขึ้นปราการเมฆาคล้อยในครั้งนี้จะแยกบุรุษและสตรี แต่ละกลุ่มขึ้นคนละฝั่ง ส่วนพวกข้าจะรอฟังข่าวดี”