สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 207 มานี่สิ ข้าจะบอกความลับอะไรให้
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 207 มานี่สิ ข้าจะบอกความลับอะไรให้
บทที่ 207 มานี่สิ ข้าจะบอกความลับอะไรให้
นอกจากค่อย ๆ เดินขึ้นปราการเมฆาคล้อยไปทีละขั้นแล้ว ยังมีเส้นทางลับที่ทำให้ไปสู่ยอดปราการได้อีก ทว่ามีเพียงจีเยี่ยนหลงเท่านั้นที่รู้ ด้วยเขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไร้พลังบำเพ็ญ ไม่อาจเทียบกับพวกที่มีพลังล้ำลึกได้
ดังนั้นเขาจึงเป็นคนเดียวที่ใช้เส้นทางลับเพื่อขึ้นยอดปราการ ส่วนคนอื่น ๆ รวมถึงศิษย์ในหุบเขาไร้กังวลก็ยังต้องใช้แรงกายตนเองขึ้นไปให้ถึงที่หมาย ไม่เลือกที่รักมักชัง
ในเมื่อบุรุษสตรีแยกกันขึ้นคนละฝั่ง ชิงเป่ยจึงติดตามชิงอวี่ไปไม่ได้ ได้แต่ส่งสายตาเป็นกังวลไปให้ ริมฝีปากขยับเล็กน้อยราวกับอยากเอ่ยคำ แต่กลับมีคนเอาแขนคล้องคอเขาไว้จากด้านหลังแล้วดึงเขาจากไป เขาหันไปมองก็พบกับดวงตาสีม่วงเป็นประกายภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี งดงามน่ามองนัก
“ข้าจะดูเจ้าเด็กนี่ให้ เจ้าเองก็ระมัดระวังด้วย” โหลวจวินเหยายกยิ้ม ส่งสายตาอ่อนโยนไปทางเด็กสาว “หากพบอันตรายใดที่ไม่อาจรับมือเองได้ ยังมีลูกแก้วสื่อสารที่ข้าให้ไว้ใช่หรือไม่? ใช้เจ้านั่นเรียกข้าก็พอ”
สีหน้าชิงอวี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้ารับน้อย ๆ เท่านั้น
แม้เขาจะมีท่าที่ประหลาดไปสักหน่อย บางครั้งก็ลงมือโหดเหี้ยมไปบ้าง แต่ยามช่วยนางก็ไม่มีรีรอ เรื่องนี้ชิงอวี่ค่อนข้างรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่บ้าง
ตอนที่นางกำลังจะเดินเข้าไปนั้นเอง เขาก็พลันเรียกนางไว้
ชิงอวี่หันไปเล็กน้อย มองเขาด้วยความประหลาดใจ
โหลวจวินเหยาหัวเราะ เป็นน้ำเสียงทุ้มน่าฟังภายใต้ฟ้ายามค่ำคืนนัก จากนั้นก็เอ่ยถามนางเสียงเบา “เรื่องตำนานปราการเมฆาคล้อย เจ้าเชื่อหรือไม่?”
ชิงอวี่กะพริบตา ประหลาดใจที่เขาดูสนอกสนใจ แต่ก็ตอบไปตามตรง “เรื่องเช่นนี้ หากเชื่อก็จริง หากไม่เชื่อก็ไม่จริงไม่ใช่หรือไร?”
รอยยิ้มที่ริมฝีปากเขายิ่งลึกขึ้น “ข้าว่ามันน่าสนใจอยู่ไม่น้อย พวกเราถึงยอดปราการเมื่อไหร่ ข้ามีเรื่องจะบอก”
“เป็นเรื่องอะไรทำไมถึงบอกตอนนี้ไม่ได้?” ชิงอวี่เลิกคิ้วถาม
“ตอนนี้ไม่ได้” ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มลึกลับ จากนั้นก็ไม่สนใจนางอีก คว้าไหล่ชิงเป่ยดันหลังให้เดินไปทางเข้าอีกฝั่งด้วยกัน
ชิงอวี่อดรู้สึกโกรธหน่อย ๆ ไม่ได้ เขาต้องการอะไรกันแน่?
นางกำลังคิดได้เช่นนั้น พลันมีลมหอบหนึ่งผ่านร่างนางไป นางหันไป พบกับร่างงามเย้ายวนกำลังเดินผ่านไป ชุดคลุมขาวพลิ้วไหว เผยกลิ่นอายสูงส่งเย็นชาจนคนไม่กล้าเข้าใกล้
เยี่ยนหนิงลั่ว?
ชิงอวี่เลิกคิ้วแต่ก็ไม่ได้สังเกตว่าแปลกที่ตรงไหน มู่ไหลกับหมิงอีอีเดินออกมาจากอีกด้าน แต่ละคนเดินประชิดซ้ายขวา ชิงอวี่จึงไม่สนใจอีกฝ่ายอีก
ณ ปราการเมฆาคล้อย มีแต่ต้องยืนอยู่บนจุดสูงสุดเท่านั้นจึงจะมองเห็นทิวทัศน์งดงามเบื้องล่างได้
ตอนนั้นจีเยี่ยนหลงและสี่ผีร้ายที่ไม่เคยห่างกาย ขึ้นมาถึงด้านบนสุดผ่านทางลับแล้ว เขามองมาจากมุมสูงแล้วหัวเราะเบา ๆ “ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีคนร่วงจากปราการเมฆาคล้อยจนร่างแหลกไม่มีชิ้นดีไปกี่คน นับแต่โบราณมา คนที่ขึ้นมาถึงยอดได้ก็มีเพียงหยิบมือเท่านั้น”
หนึ่งในสี่ผีร้ายเอ่ยตอบเสียงแหบ “ถึงจะขึ้นมาได้แต่ก็คงไม่สลักสำคัญอะไรนัก เพราะมีเพียงแต่ท่านเจ้าหุบเขาที่มีสติปัญญาล้ำเลิศเท่านั้น ถึงจะสามารถเป็นเจ้าภาพสุดท้ายแห่งปราการเมฆาคล้อยได้”
จีเยี่ยนหลงพลันคลี่ยิ้มลึกลับมีความนัยที่มุมปาก เอ่ยพึมพำเสียงเบา “ถูกต้อง ปราการเมฆาคล้อยไม่ใช่สถานที่ที่ใครคิดจะมาจะไปได้ง่าย ๆ แต่ในเมื่อพวกเขารนหาที่ตายเอง ข้าจะทำอย่างไรได้…..”
กลุ่มคนที่เดินทางขึ้นมาไม่ได้มีเพียงศิษย์ที่เข้าร่วมงานสานสัมพันธ์เท่านั้น ยังมีคนมีอำนาจจากสำนักต่าง ๆ เข้าร่วมด้วย กระทั่งเหล่าคนฐานะสูงจากทั้งสองสำนักยังจะมาเข้าร่วมชมการแข่งขันอีกต่างหาก
ฮ่า ๆ เขามีเวลานั่งรอคนทั้งหมดเหลือเฟือ แต่จะมีกี่คนที่ขึ้นมาได้นั้นเขาก็ยังไม่รู้ได้
ที่เขาเตือนก่อนก็นับว่ามีเมตตามากแล้ว!
ในคืนนั้นเอง ปราการเมฆาคล้อยก็สำแดงฤทธิ์ให้ทุกคนได้เห็น
ทางเดินนั้นค่อนข้างตะปุ่มตะป่ำไม่ราบเรียบ รอบกายมืดสนิท แต่กลับมีแสงราวกับแสงดาวสว่างเรืองรองเป็นจุด ๆ อยู่ทั่ว บ้างสีเขียว บ้างสีน้ำเงิน เป็นภาพงดงามจนลืมหายใจภายใต้ท้องฟ้าอันมืดมิดยามค่ำคืน
“อะไรกันเนี่ย? สวยจังเลย”
เชียนอวิ๋นที่อยู่ข้างกายหมิงอีอีเห็นแล้วก็ชื่นชอบ เอ่ยปากชมออกมา
หญิงสาวทั้งหลายเห็นของสวยงามก็ชอบใจ อยากจะเอื้อมมือไปลองแตะดูให้ได้ เชียนอวิ๋นรู้ดีว่าสิ่งใดที่งดงามย่อมอันตราย แต่ก็ยังยื่นมือออกไปราวกับต้องมนตร์
ยามยื่นแขนออกไปสีหน้านางระแวดระวังไม่น้อย ทว่ายังไม่ทันแตะโดนแสงเรืองนั่นก็มีฝ่ามือหนึ่งสะบัดตีเข้าให้
เชียนอวิ๋นรู้สึกราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน มองหลังมือที่เริ่มแดงของตนด้วยความฉงน จากนั้นหันมามองเด็กสาวข้างกายตน “อีอี เจ้าตีข้าทำไม?”
“หากไม่ได้ข้าตีเรียกสติ เจ้าก็คงตายไปแล้ว” หมิงอีอีย่นคิ้วแล้วว่าต่อ “เจ้าดูให้ดีว่าพวกมันคืออะไร ดูแล้วยังกล้าจะเอื้อมแตะมันอีกหรือไม่”
ได้ยินแล้วเชียนอวิ๋นก็เรียกเพลิงสีเขียวเป็นก้อนกลมขึ้นมาที่ฝ่ามือ มันคือไฟวิญญาณที่ชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณมีมาแต่กำเนิด แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีพลังวิญญาณกล้าแข็งนัก
เปลวเพลิงก้อนนั้นส่องสว่าง คลายบรรยากาศชั่วร้ายโดยรอบลงได้บ้าง เมื่อมองดูดวงไฟสลัวนั่นดี ๆ เชียนอวิ๋นก็พลันหน้าซีด เกือบร้องเสียงหลงออกมา ไฟจากเปลวเพลิงเหมือนจะทำเอาแสงเรืองเหล่านั้นตกใจ เปล่งเสียงร้องบาดหูขึ้นมา
แสงสลัวเล็ก ๆ สีเขียวสีน้ำเงินพวกนั้น มีหรือจะเป็นแค่แสงธรรมดาดูสวยงามไปได้?
แต่มันคือแมลงดูดเลือดที่มีปีกขนาดใหญ่กว่าตัวต่างหาก ส่วนแสงเรืองเหล่านั้นแผ่ออกมาจากดวงตาของมัน
พวกมันขี้อายมาก หากไม่มีใครไปทำมันโกรธก็จะไม่เป็นอันตรายอะไร แต่หากถูกตัวมันเข้ามันจะบ้าคลั่งทันที มันจะคิดว่าถูกโจมตี และโจมตีอีกฝ่ายกลับอย่างเลือดเย็น
คิดดูแล้ว ปราการเมฆาคล้อยอยู่สูงเช่นนี้ ต้องขึ้นบันไดนับหมื่นขั้น ระหว่างทางยังเต็มไปด้วยแมลงดูดเลือดน่ากลัวพวกนี้อีก แค่คิดก็เสียวสันหลังวาบแล้ว
เห็นว่าอีกฝ่ายตะลึงไป หมิงอีอีก็ถอนใจแล้วตบหลังปลอบนาง “ทำให้เจ้ารู้ว่าอย่าคิดประมาทเลินเล่ออีก เจ้าจะพลาดเช่นนั้นได้อย่างไร? เจ้าน่าจะรู้ดีว่าไม่ควรไปแตะโดนของอันตรายอย่างนั้น”
เชียนอวิ๋นยังตะลึงค้างไม่หาย ใบหน้าซีดเผือดพลางพูดตะกุกตะกัก “ข้า….. ข้าก็ไม่รู้ทำไม แต่มัน….. แขนมันเอื้อมออกไปอยากแตะพวกนั้นเอง…..”
“โทษนางทั้งหมดไม่ได้หรอก” ชิงอวี่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดพลันเอ่ยขึ้น “แมลงพวกนั้นมีนัยน์ตาประหลาด จ้องนานเข้าจะรู้สึกราวกับต้องมนตร์ได้ ทำให้ทำอะไรไปไม่รู้ตัว…..”
พูดยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงหัวเราะบ้าคลั่งดังขึ้น หลาย ๆ คนพยายามหยุดการกระทำบ้าบิ่นของนางอยู่
“ฮ่า ๆ….. ข้าแกร่งที่สุดในใต้หล้า…… ข้ามีพลังมากที่สุด….. ดู….. ข้าบินได้….. ข้าเหาะเหินได้ ฮ่า ๆ…..”
นางพูดจบ ร่างอรชรก็กระโดดลงจากปราการเมฆาคล้อย คนอื่น ๆ ไม่ทันตั้งตัวนางก็ร่วงหายไปแล้ว
“ศิษย์น้อง-”
คนข้าง ๆ ต่างพากันชะโงกหัวมองก็ร้องลั่น
เรื่องเกิดขึ้นเร็วนัก ไม่มีใครห้ามนางไว้ได้ทัน แม้พวกนางจะไม่ได้เคลื่อนไหวรวดเร็ว ขึ้นมาเพียงไม่กี่ร้อยขั้นเท่านั้น แต่ความสูงระดับนี้กับหญิงสาวที่สิ้นสติไปแล้วจนไม่อาจป้องกันตนเองได้ กระโดดลงไปก็มีแต่ความตายเท่านั้น
“ทำไม…..” เชียนอวิ๋นเบิกตากว้าง เอ่ยเสียงสั่น
ชิงอวี่มองภาพนั้นด้วยความเสียใจพลางส่ายหน้า จากนั้นหันมามองหญิงสาวข้าง ๆ “ดีที่เจ้าไม่จ้องมันนานเกินไป อีอียังเรียกสติเจ้าคืนมาได้ ไม่เช่นนั้นร่างเจ้าก็จะถูกพวกมันดูดเลือดจนแห้งไปแล้ว”
“จากนี้พวกเราระวังให้มากอีกหน่อย รวมกลุ่มกันไว้ดีกว่า อย่าเดินห่างจากเพื่อน ๆ ไปมาก หากเกิดอันตรายจะได้ช่วยเหลือกันทัน” มู่ไหลเอ่ยด้วยใบหน้าขรึม น้ำเสียงเยียบเย็น
หลังจากผ่านเหตุการณ์หญิงสาวกระโดดลงปราการไปแล้ว หญิงสาวทั้งหลายที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังจึงตื่นตัวและระวังมากขึ้น กลัวว่าจะต้องเอาชีวิตมาทิ้ง
และในเส้นทางหลังจากนั้น นอกจากยังเห็นแสงจากแมลงดูดเลือดบ้างแล้ว ก็ไม่พบอะไรแปลก ๆ อีก
แต่ความสงบสุขชั่วขณะไม่ทำให้ชิงอวี่ลดความระวังลงแต่อย่างไร เพราะพวกนางเพิ่งจะขึ้นมาได้ไม่เท่าไหร่ จะมีใครรู้ว่ามีอันตรายใดซุกซ่อนอยู่อีกบ้าง?
ที่อีกด้านก็สถานการณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก กว่าครึ่งเริ่มมีบาดแผลและรอยฟกช้ำบนร่าง ใบหน้าเปื้อนฝุ่น สภาพดูแทบไม่ได้
แต่กลับมีคนบางคนยื่นเด่นไม่เหมือนคนอื่น ไม่เพียงแต่ทั่วร่างสะอาดสะอ้านเหมือนแต่ก่อน ยังดูหล่อเหลาดังเดิมราวกับตอนขามา ผมสักเส้นไม่หลุดลุ่ย คนอื่นเห็นก็ได้แต่กัดฟันมองไปเท่านั้น
มีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเมื่อครู่พวกเขาประสบพบเจออะไรมา
พื้นดินใต้สองเท้าพลันสั่นสะเทือน ปีศาจหินนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาจากพื้นแล้วเข้าโจมตีคนทั้งหลายโดยไม่ทันตั้งตัว
ที่ขั้นบันไดขึ้นนั้นมีพื้นที่จำกัด ไม่อาจขยับเคลื่อนได้ดั่งใจหมาย อีกทั้งจีเยี่ยนหลงยังบอกไว้ว่าห้ามใช้พลังวิญญาณ ไม่เช่นนั้นจะถูกปราการดีดออกไป ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้ มีแต่หาทางป้องกันตัว ไม่ต้องอธิบายยว่าน่าขุ่นเคืองขนาดไหน
มีทั้งอสูรดุร้ายและปีศาจหินรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่ร่างเป็นหิน พวกมันทั้งทรงพลังและแข็งแกร่ง ไล่ล่าติดตามไม่หยุดหย่อน ไม่อาจสลัดหลุด อีกทั้งยังไร้จุดอ่อนใด
ซู่หลีม่อและซีจ้านเฉินรับมือได้ไม่ยาก ทว่าคนอื่น ๆ กลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้น กระทั่งซวนหยวนเช่อที่เป็นศิษย์สายหลักลำดับที่ 7 ก็ยังเสียท่าที เนื้อตัวเปรอะฝุ่นไม่น้อย
แต่ยังมีคนคนหนึ่งที่ถูกยกเว้นไว้
ไม่แน่ว่าคนอื่น ๆ อาจไม่ทันสังเกต ทว่าชิงเป่ยนั้นเห็นเต็มสองตา
โหลวจวินเหยา บุรุษลึกลับเกินหยั่งที่ไม่ขยับแม้เพียงนิ้วมือมาตั้งแต่ต้น
ปีศาจพวกนั้นไม่มีตัวไหนกล้าเข้าใกล้เขา อาจเพราะพวกมันหวาดกลัวกระมัง ยามเขาก้าวไปข้างหน้า เจ้าพวกนั้นก็จะหลีกทางให้โดยไม่ต้องร้องขอ อ้อมไปโจมตีคนข้างหลังเขาแทน
ชิงเป่ยนั้นโชคดีที่สุด ผมสักเส้นก็ไม่มีหลุด ด้วยถูกชายหนุ่มคอยปกป้องเขามาตลอดทาง
เขามองคนที่จมูกบวมใบหน้าฟกช้ำดำเขียวด้านหลัง เสื้อผ้าหลุดลุ่ยขาดวิ่น อดมุมปากกระตุกไม่ได้ รู้สึกราวกับตนกำลังกอดต้นขาบุคคลที่สูงส่งราวกับเทพเซียนไว้ ดังนั้นหนทางข้างหน้าจึงไม่มีอันตรายมากล้ำกรายได้
ไม่ต้องหันไปมองก็รู้สึกได้ถึงสายตาริษยาเกลียดชังที่ส่งมาทิ่มแทงหลังเขาแทบเป็นรูแล้ว
“เอ่อ….. ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงไม่โจมตีท่านเล่า?” หลังจากลังเลมาเกือบครึ่งวัน ชิงเป่ยก็อดถามคำถามที่คาใจมาตลอดไม่ได้