สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 220 หนูตัวไหนมันลอบวางแผนลับหลังข้า
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 220 หนูตัวไหนมันลอบวางแผนลับหลังข้า
บทที่ 220 หนูตัวไหนมันลอบวางแผนลับหลังข้า
นางสังหารพวกเขาด้วยสองมือของนางเอง
น้ำตาไหลอาบแก้มนางไม่ทันรู้ตัว หยดลงบนแก้มชายหนุ่มเป็นสาย
ม่อจิ่งอวี้ตกใจรียปล่อยนาง เชยคางน้อยขึ้นมามองด้วยความเป็นห่วง “เจ้าร้องไห้ทำไม?”
ชิงหลานเฟยได้ยินคำเขาก็ยิ่งเศร้ากว่าเดิม เอ่ยเสียงสะอึกสะอื้นไห้ “ขอ….. ขอโทษ….. จิ่ง….. อวี้….. ลูกของพวกเรา….. พวกเขา…..”
นางพูดไม่จบประโยค นางรู้สึกว่าตนกระทำเรื่องเลือดเย็นไร้จิตใจเหลือเกิน ใจหินขนาดที่ทำร้ายเลือดเนื้อตนเองได้ ไม่เหมาะจะเป็นมารดาคนจริง ๆ
ม่อจิ่งอวี้มีไหวพริบพอจะรู้ว่านางหมายจะเอ่ยคำใดออกมา ทั้งสีหน้านางยังเป็นตัวบอก เขาอดรู้สึกขำเล็ก ๆ ไม่ได้พลางยกนิ้วขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มนาง
“เจ้าเป็นแม่คนแล้วยังขี้แยเช่นนี้อีก มันไม่น่าอายหรือ? ลูกแมวน้อยน่าสงสารตัวนี้หลงมาจากไหนกัน…..” ม่อจิ่งอวี้เอ่ยล้อนางอ่อนโยน จูบหน้าผากเหนือนัยน์ตาแดงก่ำนางเบา ๆ “หยุดร้องเถอะ ข้าเพิ่งจะฟื้น หัวใจยังอ่อนแอ อย่าได้ทำร้ายมันมากนักเลย ไม่งั้นข้าอาจสิ้นใจตายเลยก็ได้นะ?”
เขารู้จักหาคำหวานมากล่อมนางเสมอ ชิงหลานเฟยจึงหลุดหัวเราะเบา ๆ ออกมา หยิกเขาไปทีหนึ่งแล้วหัวเราะต่อ น้ำตาหยุดไหลไปจริง ๆ ทว่าความเศร้านั้นยังไม่จางหายไป
ม่อจิ่งอวี้หยิกแก้มนางแล้วเลิกคิ้วขึ้น “เด็กโง่ เจ้าคิดว่าลูก ๆ ของเราไม่อยู่แล้วจึงร้องไห้เช่นนั้นหรือ?”
ชิงหลานเฟยชะงักไป “ท่าน….. หมายความว่าอย่างไร?”
ม่อจิ่งอวี้ยกยิ้มขึ้น “เจ้าคิดว่าลูก ๆ ของม่อจิ่งอวี้จะตายง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?”
ชิงหลานเฟยเบิกตากว้าง จ้องเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ม่อจิ่งอวี้กวาดมือเบื้องหน้านาง ก่อนกระจกวารีจะปรากฏ ค่อย ๆ เผยให้เห็นเงาร่างของเด็กสาวคคนหนึ่งอยู่ภายใน
เด็กสาวมีใบหน้างดงามโดดเด่น นอกจากนัยน์ตาหงส์เย้ายวนที่แฉลบขึ้นเล็กน้อยแล้ว เครื่องหน้าที่เหลือก็ดูเหมือนชิงหลานเฟยมาก
ภาพบนกระจกส่องแสงน้อย ๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปแสดงภาพของเด็กหนุ่มร่างผอมคนหนึ่ง เขามีใบหน้าหล่อเหลานัก ยามไม่ยิ้มดูเย็นชาไปสักหน่อย มีนัยน์ตาหงส์งดงามเช่นเดียวกัน ทว่าเทียบกับของเด็กสาวแล้วยังมีแววความยั่วยวนชั่วร้ายน้อยกว่ามาก ดูบริสุทธิ์กว่าเด็กสาวมากทีเดียว
ชิงหลานเฟยอ้าปากค้าง ตกใจจนพูดไม่ออก
“เจ้าดูพวกเขา เจ้าคิดว่าเด็กสองคนนี้เป็นลูกของใครกัน? ไม่เหมือนพวกเรามากเลยหรือ?” ม่อจิ่งอวี้เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ
“ได้อย่างไรกัน…..” ชิงหลานเฟยส่ายหน้า “พวกเขา…..”
“ตายไปแล้ว?” ม่อจิ่งอวี้ถามกลั้วหัวเราะ “เจ้าดูถูกความแกร่งของสายเลือดเรางั้นหรือ? พวกเขาสืบทอดสายเลือดจากเราไป จะเป็นเด็กธรรมดาได้อย่างไรกัน? แค่พวกเขามีพลังมากมายเท่าไหร่พวกเราสองคนยังไม่อาจเข้าใจได้เลย”
พลังชีวิตของพวกเขาทั้งแกร่งทั้งฟื้นสภาพได้ดีตั้งแต่ตอนประสบภัยครั้งอยู่ในครรภ์มารดา ถูกลิขิตให้ต้องมีชีวิตที่ไม่ธรรมดา
ชิงหลานเฟยจับมือเขาไว้แน่น น้ำเสียงกระซิบถามระมัดระวัง “พวกเขา….. อยู่ที่ไหน?”
“เจ้าอยากพบพวกเขา?” ม่อจิ่งอวี้คลี่ยิ้มอ่านไม่ออก “มันยังไม่ถึงเวลา รออีกหน่อยเถอะ! ไม่นานพวกเขาจะมายังแดนเมฆาสวรรค์ ถึงตอนนั้นเจ้าค่อยไปหาก็ยังไม่สาย”
“ทำไมเล่า?” ชิงหลานเฟยถามพลางขมวดคิ้ว
ได้ยินว่าลูก ๆ ของนางยังมีชีวิตอยู่ ชิงหลานเฟยย่อมไม่อาจปิดบังความสุขไว้ได้ หวังว่าจะได้พบหน้าลูก ๆ ทันที แล้วทำไมจิ่งอวี้ถึงหยุดนางไว้เล่า?
ม่อจิ่งอวี้มองใบหน้าเล็กที่เริ่มยับย่นด้วยความไม่พอใจแล้วเอ่ยเสียงเจ้าเล่ห์ “ยังต้องถามข้าอีกหรือ? อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าวิญญาณเจ้าไม่สมบูรณ์ เจ้าคิดจะไปพบลูก ๆ ทั้งอย่างนี้ให้พวกเขาเป็นห่วงเจ้าหรือ?”
ชิงหลานเฟยยิ่งขมวดคิ้วมุ่นทันที
จริงสิ นางลืมไปเลย ตอนนี่นางยังไม่นับว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งด้วยซ้ำ
ทันใดนั้นท่าทีมีชีวิตชีวาของนางก็พลันดิ่งลงหดหู่
ม่อจิ่งอวี้ถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะจับหน้าน้อยให้หันมองเขา “เฟยเอ๋อร์ แต่ก่อนเจ้าไม่เคยมองอะไรแง่ร้ายเช่นนี้ ทุกครามีแต่ความมั่นใจสูง เป็นเพราะข้าไม่คอยอยู่เคียงข้างเจ้ามานาน เจ้าก็เลยหมดหวังกับทุกสิ่งแล้วหรือไร? แต่ตอนนี้ข้าก็กลับมาแล้ว ยังมีอะไรต้องกลัวอีกเล่า?”
คำพูดเขาทำให้ชิงหลานเฟยขอบตาแดงก่ำทันที
เขาพูดถูกแล้ว ทำไมนางถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเช่นนี้? ไหวพริบนางขึ้นสนิม กลายเป็นหญิงงามอ่อนแอเปราะบางไปแล้ว
ม่อจิ่งอวี้ตระกองกอดนางไว้เอ่ยคำปลอบโยน “เจ้าวางใจ ข้าจะรวมเศษวิญญาณของเจ้ากลับมา ถึงวันนั้นครอบครัวเราจะได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้า คนที่ปองร้ายเราเมื่อกาลก่อนข้าจะไม่มีทางให้อภัยพวกมัน”
ในมุมที่นางไม่อาจมองเห็นได้ นัยน์ตากระจ่างสีดำของเขานั้นเต็มไปด้วยแววกระหายเลือดโหดเหี้ยมนัก
— แดนธาราขาว —
ตระกูลเฟิ่ง
แม้จะรั้งอยู่ในหุบเขาไร้กังวลหลายวัน แต่ก็ไม่พบร่องรอยของชิงอวี่แม้สักนิด ชิงเทียนหลินไม่อาจอยู่ในดินแดนระดับต่ำนานเกินไป จึงกลับไปยังแดนธาราขาว สั่งซีจ้านเฉินให้ทำการค้นหาต่อไป
ในสี่ตระกูลใหญ่แห่งแดนธาราขาว เขากำราบไปได้สองตระกูล รวมทั้งคนในตระกูลเฟิ่ง หลังจากที่เขาทำการล้างบางและใส่คนใหม่ ๆ ลงไป ตอนนี้หนามยอกอกอันดับหนึ่งคือตระกูลไป๋หลีที่ไม่ว่าจะบังคับหรือเกลี้ยกล่อมก็ไม่หวั่นไหว อีกทั้งคุณชายคนปัจจุบันก็ดูจะไม่ใช่คนขี้ขลาด
ตระกูลไป๋หลี่นับเป็นตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในแดนธาราขาวเมื่อกาลก่อน ทั้งมีอำนาจและมีอิทธิพลสูง ความสัมพันธ์ใกล้ชิด แม้ภายในจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่เมื่อเผชิญศัตรูภายนอกทุกคนก็จะร่วมมือกันต่อต้าน จะล้มพวกเขาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
อีกตระกูลคือตระกูลหนานกง คนตระกูลนี้วางตนเป็นกลางมาโดยตลอด ใครแกร่งกว่าก็มักโน้มไปหาทางนั้น เมื่อเห็นว่าชิงเทียนหลินยังโค่นตระกูลไป๋หลี่ไม่ได้ พวกเขาจึงถอยกลับกระดองตน ปากบอกว่าขอให้โชคดี แต่ก็ไม่เคยวางตนเป็นมั่นเป็นเหมาะ ยืนแอบอยู่ด้านข้าง มองเขาต่อสู้กับตระกูลไป๋หลี่อยู่เช่นนั้น
หึ! เขาเป็นผู้ที่สั่งการคนอื่น ๆ ให้กระทำการใดแทนตนมาตลอด คนที่กล้าต่อต้านเขามีแต่ต้องตาย รอเขากำราบตระกูลไป๋หลี่และตระกูลหนานกงได้จะได้เป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้เห็น
เขาเกลียดพวกลังเลไร้จุดมุ่งหมายใดเป็นของตนเองที่สุด
แต่ราวกับว่าเขาทำชั่วมามากจนสวรรค์ระคายเคืองใจ ตอนนี้จึงโยนปัญหาเข้าใส่เขาบ้าง
“คุณชายรอง! เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!”
น้ำเสียงตื่นตระหนกดังขึ้นที่นอกประตู ก่อนเงาร่างลุกลี้ลุกลนจะพุ่งเข้ามาไม่ทันระวัง เกือบจะสะดุดขาตนเองล้มคว่ำ
ชิงเทียนหลินตวัดสายตามองข้ารับใช้ดุดัน อีกฝ่ายขนลุกซู่ทันที คำที่จะเอ่ยติดอยู่ในลำคอ
ไม่นะ ไม่….. เขาลืมไปได้อย่างไรว่าคุณชายรองน่ากลัวขนาดไหน!? แล้วเขากลับวิ่งร้องลั่นมาเช่นนี้ ครั้งนี้คงไม่รอดเป็นแน่แท้
“เกิดอะไรขึ้น?” ชิงเทียนหลินเอ่ยเสียงไร้ความสนใจ ไม่รู้ว่าอารมณ์ใดกันแน่ หากแต่นัยน์ตานั้นเห็นได้ชัดว่าหากข้ารับใช้ไม่ได้มีเรื่องสำคัญแล้วกล้ามารบกวนเขา อีกฝ่ายต้องชดใช้
ข้ารับใช้กลืนน้ำลายหน้าเศร้า ก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น “คุณชายรอง ไม่รู้ว่าลือกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มีข่าวลือมาว่าคุณชายรองหล่อเลี้ยงควบคุมปีศาจอยู่ภายในตระกูลเฟิ่ง ใช้เลือดคนสด ๆ หล่อเลี้ยงดูพวกมัน เอาชีวิตคนไปนับไม่ถ้วน ข่าวลือนี้ไปถึงหูคนจาก สมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้าย ตอนนี้พวกเขามารอกันอยู่ที่โถงใหญ่ตระกูลเฟิ่งแล้วขอรับ บอกว่าต้องการคำตอบจากคุณชายรอง”
สมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้าย เป็นกลุ่มก้อนอิสระบนแดนธาราขาว ไม่ได้ถูกตระกูลใดบงการ ก่อตั้งมาเพื่อควบคุมดูแลการกระทำชั่วร้ายนอกรีตต่าง ๆ
เมื่อครั้งที่แดนธาราขาวเพิ่งก่อตั้งขึ้นมา สมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายเองก็มีมาก่อนแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมีอำนาจไม่น้อย การเลี้ยงดูปีศาจร้ายนั้นนับว่าร้ายแรงมาก เป็นการกระทำที่ไม่อาจอภัยให้ได้ ด้วยเมื่อไหร่ที่พวกมันแข็งแกร่งก็อาจทำให้ทั้งแดนตกอยู่ในอันตราย กลายเป็นสิ่งที่จะทำความหายนะมาสู่ทุกคน
นับตั้งแต่กำเนิดแดนธาราขาวก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครหาญกล้าทำเช่นนี้มาก่อน แต่เมื่อไม่นานมานี้กลับลือกันว่ามีคนลงมือ คงไม่เห็นสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายอยู่ในสายตา แล้วจะให้ทนรอได้อย่างไร? พวกเขาจึงเดินทางมาพบตัวคนร้ายในทันที
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่มีหรือชิงเทียนหลินจะไม่รู้?
เขาหล่อเลี้ยงปีศาจและสิ่งชั่วร้ายไว้มากจริง ๆ ทั้งยังมีหุ่นเชิดคนเป็นอยู่จำนวนไม่น้อย มีแต่สวรรค์และปฐพีที่รู้เรื่องนี้ ไม่มีใครอื่นอีก แล้วจะมีใครแพร่ข่าวออกไปได้?
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น ข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างรวมความกล้าร้องเตือนขึ้นมา “คุณชายรอง ให้ข้าไปถ่วงเวลาพวกเขาก่อนไหมขอรับ? พวกเขาบอกจะรอแค่เวลาหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น หากท่านยังไม่ออกไปพบ พวกเขาก็จะบังคับค้นจวนตระกูลเฟิ่ง และบอกว่าหากพบสิ่งที่ไม่ควรพบ เช่นนั้นก็อย่ากล่าวโทษกัน…..”
ชิงเทียนหลินสีหน้าทะมึน เจ้าพวกคนไร้ยางอายชั่วช้า! แต่ตอนนี้เขาจะยังตั้งตนเป็นศัตรูกับสมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายไม่ได้
หากให้พวกเขาค้นจวนตอนนี้ก็ได้เจอบางอย่างแล้วสร้างปัญหาให้เขาแน่
บัดซบ อย่าให้รู้นะว่ามีหนูตัวไหนมันลอบวางแผนลับหลังเขา!
ตอนนี้ชิงเทียนหลินยังแทบเอาตัวไม่รอดแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีเวลาไปตามหาชิงอวี่ หมายความว่าตอนนี้นางปลอดภัยไปได้สักระยะ
ชีวิตชิงอวี่ในหลายวันมานี้เต็มไปด้วยความเกียจคร้าน แทบไม่ต้องยกนิ้วสวมชุดหรือกินข้าวเอง อาจจะกล่าวเกินไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ต่างจากความจริงมาก ความต้องการทุกอย่างของนางต่างมีคนคอยดูแลจัดหาให้ นางยังรู้สึกว่ารอบเอวนางมันหนาขึ้นหรือไม่ด้วยซ้ำ
สิบวันที่ต้องกลืนยาต้มขม ๆ นั่นไม่ได้สูญเปล่าจริง ๆ
บาดแผลบนหลังนางหายดีแล้ว โหลวจวินเหยาใช้อำนาจกดดันให้ไป๋จือเยี่ยนเอาวิชาลับที่เก็บงำไว้หลายปีออกมา ทำให้เนื้อหนังชิงอวี่งอกขึ้นมาใหม่ ไม่เห็นร่องรอยว่าเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน
“ท่านจะไปอีกแล้วหรือ?”
เช้าตรู่วันหนึ่ง ชายหนุ่มเดินเข้ามาเอนหลังพิงกำแพงอยู่นอกห้องนาง ก่อนบอกลาด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาเกียจคร้านนัก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางชินตาที่คอยเห็นเขาอยู่ตลอดหรือไม่ พอได้ยินว่าเขาจะจากไป ในใจนางก็เกิดความรู้สึกแปลก ๆ
รู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย
โหลวจวินเหยาเห็นนางขมวดคิ้วขึ้นก็คลี่ยิ้ม จากนั้นเอื้อมมือไปลูบหัวนางแล้วเอ่ยเสียงทุ้มน่าฟัง “หากทนเห็นข้าจากไปไม่ได้ ทำไม….. ไม่ไปพร้อมกันกับข้าเลยเล่า?”