สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 223 หากกล้ายั่วยวนคนอื่นหรือข้าจะทำให้เจ้าร้องไห้เสีย
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 223 หากกล้ายั่วยวนคนอื่นหรือข้าจะทำให้เจ้าร้องไห้เสีย
บทที่ 223 หากกล้ายั่วยวนคนอื่นหรือข้าจะทำให้เจ้าร้องไห้เสีย
โหลวจวินเหยาได้แต่หัวเราะแล้วเก็บของที่นางยัดใส่มือไว้ไป
“เดินทางไปแดนเมฆาสวรรค์ครั้งนี้ข้าอาจไปนาน ช่วงนี้ข้าคงกลับมาไม่ได้” โหลวจวินเหยาขมวดคิ้ว “เจ้าต้องดูแลตนเองดี ๆ อย่าให้บาดเจ็บอีก ตอนนี้ชิงเทียนหลินคงไม่มีเวลามาใส่ใจเจ้าสักระยะหนึ่ง”
ชิงอวี่เลิกคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ท่านทำอะไรเขา?”
“ก็แค่หาเรื่องให้เขายุ่งวุ่นวายเท่านั้น เขาจะได้ไม่มีเวลามานั่งคิดแผนชั่วทำร้ายเจ้า” โหลวจวินเหยาหรี่ตาลงเอ่ยเสียงเหยียด
ชิงอวี่กัดริมฝีปากแล้วยิ้มให้ “เช่นนั้นก็หมายความว่าข้ากลับสำนักละอองหมอกได้แล้วสิ?”
“อืม สำนักละอองหมอกตอนนี้นับว่าปลอดภัย แต่มันก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้ทุกเมื่อ แม้จะมียูนิคอร์นอสนีบาตอยู่ด้วย แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่มนุษย์ อย่างไรก็มีสิ่งที่เขาไม่อาจรับมือได้ อีกทั้งให้สิ่งมีชีวิตเพศผู้คอยติดตามเจ้าอยู่ตลอดเวลาก็ไม่ใช่เรื่องที่ข้าชื่นชอบนัก”
โหลวจวินเหยาขมวดคิ้วแน่น ครุ่นคิดหนักอยู่สักพัก “ข้าจะให้ลวี่จีกลับไปกับเจ้าด้วย ให้คอยดูแลเจ้าใกล้ชิดแทน”
“ลวี่จี?” ชิงอวี่กะพริบตา เหมือนจะจำชื่อนั้นได้ “สตรีหน้าตางดงามในชุดเขียวที่หอเสาวคนธ์น่ะหรือ?”
นางจำได้ว่าอีกฝ่ายเข้ามาปกป้องนางตอนมีคนมาหาเรื่อง เป็นคนมีคุณธรรมยิ่ง
แต่นางจะรู้หรือว่าที่อีกฝ่ายทำเช่นนั้นเพราะตกหลุมรักนางเข้าแล้ว?
โหลวจวินเหยาเหลือบมองชิงอวี่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเจือแววแปลกประหลาดที่แทบจับสัมผัสไม่ได้ “ข้าให้นางติดตามข้างกายเจ้าเพื่อปกป้องเจ้าเท่านั้น นางเป็นสตรีเหมือนกัน คงจะละเอียดอ่อนและซื่อตรงกว่าบุรุษในเรื่องบางอย่าง แต่เจ้าต้องรู้เรื่องสำคัญหนึ่งเอาไว้ …..”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไป
ชิงอวี่เลิกคิ้ว “หืม?”
รู้เรื่องอะไรหรือ?
เขาพลันจับคางน้อยไว้ให้หันมามองหน้าเขาตรง ๆ
จากนั้นโหลวจวินเหยาก็ยื่นหน้าขึ้นมา ขยับริมฝีปากเรียวบอกเสียงเบา “ฟังให้ดี เจ้าห้ามทำกับนางเหมือนเหลียนจีเด็ดขาด ห้ามหยอกล้อหยอกเอินนาง”
จิ้งจอกน้อยแต่งกายข้ามเพศมานาน จนบางครั้งการกระทำของนางก็เกินเลยเกินเหตุ หยอกล้อหยอกเอินสาวน้อยคนอื่น ๆ ราวกับเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งไป
เขาเองก็เคยเห็นมาแล้ว นางหยอกล้อเหลียนจีผู้ช่ำชองเรื่องในหอเสาวคนธ์มานานหลายปีจนอีกฝ่ายเขินอายไปหมด ทำให้ตอนนั้นเขาประหลาดใจไม่น้อย
ได้ยินเขาพูดแล้ว ชิงอวี่ก็หัวเราะออกมา “เพราะเหตุใด?”
หากนางหยอกล้อสตรีด้วยกันเขาจะหึงหรือ?
โหลวจวินเหยาจ้องนางด้วยใบหน้าจริงจัง “เพราะนางจะตกหลุมรักเจ้าได้”
เรื่องที่ลวี่จีชอบสตรีนั้นเขาเคยได้ยินมาก่อน แต่นอกจากความชอบที่ออกจะประหลาดไปสักหน่อยแล้ว ด้านอื่น ๆ ของนางก็ล้วนโดดเด่น ทั้งยังมีฝีมือสูงส่งในหมู่ข้ารับใช้สาวงามทั้งสิบสอง มีไหวพริบดียิ่ง ดังนั้นเขาจึงคิดจะให้ลวี่จีคอยตามดูแลเด็กสาว
เขามั่นใจในความภักดีและความสามารถของลวี่จีมาก
แต่หากเด็กสาวเที่ยวไล่หยอกล้อหยอกเอินนาง ใครจะไปรู้ว่าอาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นก็เป็นได้?
“ตกหลุมรักข้า?” ชิงอวี่หัวเราะ ทิ้งร่างแนบชิดเขา “ขอบคุณท่านที่มองข้าไว้สูงส่ง นับเป็นคำยืนยันต่อเสน่ห์ในตัวข้าเลยทีเดียว ถือเป็นเกียรตินัก”
ดูท่านางจะคิดว่าเขาเพียงพูดเล่นไปเท่านั้น
โหลวจวินเหยาใบหน้าเคร่งขรึม จับไหล่นางที่นั่งหัวเราะไว้ให้นางนั่งดี ๆ จากนั้นเอ่ยเสียงเข้ม เน้นย้ำทุกคำพูด “ข้าไม่ได้พูดเล่น ลวี่จีชอบสตรี หากเจ้ากล้าไปหยอกล้อเกี้ยวพานางโดยไม่ยั้งคิดเหมือนที่ทำกับสตรีคนอื่น ๆ จะทำให้นางเริ่มชอบเจ้าได้ หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น กลับมาข้าจะจัดการเจ้า”
ชิงอวี่ที่นั่งหัวเราะไม่สนโลกหน้าค้างไปทันใด “…..”
ชอบสตรีหรือ?
ทำไมนางรู้สึกเหมือนจะเข้าใจเรื่องประหลาดบางอย่าง…..
วันนั้น ตอนที่ลวี่จีปกป้องนาง….. นางไม่ได้ทำไปเพราะความมีคุณธรรม แต่เป็นเพราะนางชอบสตรีด้วยกันจึงกระโดดเข้าปกป้องนาง เพราะนางเป็นสตรีคนหนึ่งงั้นหรือ?
แล้วดูเหมือนว่า….. แววตาที่อีกฝ่ายใช้มองนางก็ดูน่าคิดไม่น้อยเช่นกัน!
ชิงอวี่เบิกตากว้างทันที “ท่านพูดจริงหรือ?”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าขันแล้วกระมัง?
โหลวจวินเหยาพึมพำเสียงเบา “จำคำข้าไว้ อย่าไปยั่วยุนางเข้าเล่า”
“ก็ได้ ๆ ข้ารู้แล้ว” เพื่อไม่ให้โหลวจวินเหยาจ้ำจี้จ้ำไชไม่หยุด ชิงอวี่จึงพยักหน้ารับโดยเร็วไม่ลังเล “ข้าจะทำตัวดี ๆ ไม่ก่อปัญหาใด ไม่ปล่อยให้ตนเองบาดเจ็บ แล้วก็จะไม่ไปเกี้ยวพาหรือหยอกเอินบุรุษหรือสตรีที่ไหนด้วย ทีนี้ท่านวางใจจนจากไปได้หรือยัง?”
เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ดูจะไม่จริงจังแม้แต่น้อย เขาประวิงเวลามานานเช่นนี้ หากยังรอต่อไปอีก พระอาทิตย์คงได้ตกดินแล้วกระมัง
แต่เขากลับเข้าใจคำนางแตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง
นัยน์ตางดงามอย่างชั่วร้ายของเขาหรี่ลงท่าทางอันตราย ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำออกมา “เจ้าไล่ข้าหรือ?”
“…..”
ชิงอวี่รู้สึกเหมือนถูกกล่าวหา ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ข้าเพียงกลัวว่าท่านจะไปจัดการเรื่องสำคัญสาย ข้าย่อมอยากให้ท่านอยู่กับข้า แต่ว่า….. ท่านต้องรู้ว่าสถานการณ์โดยรวมมันสำคัญกว่า”
นิ้วเรียวงามที่เจือกลิ่นสมุนไพรข้าง ๆ ให้สัมผัสเย็นสบาย มันไล้ไปตามแก้มเขาช้า ๆ และราวกับว่ามีพลังน่าประหลาดติดมาด้วย พวกมันช่วยบรรเทาความไม่พอใจของเขาได้ในทันที
อีกทั้งท่าทางว่านอนสอนง่ายของนางยังเกือบสังหารเขาได้
น้ำเสียงอ่อนโยนรื่นหูเอ่ยคำหวานซึ้งเช่นนั้น กระตุ้นความรู้สึกบางอย่างในใจเขาเข้าให้อย่างจัง
ดวงตาสีม่วงจ้องใบหน้างามไร้ที่ตินิ่ง เร่าร้อนราวกับอยากจะแผดเผานาง ชิงอวี่เห็นสายตานั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่านางทำเช่นนี้เขาชอบหรือไม่ ทำให้นางเผลอเก็บมือกลับไปทันที
นางเพิ่งจะรู้ว่าท่าทางที่นางทำเพื่อเอาใจเสี่ยวเป่ยเช่นนี้ เมื่อนำมาใช้กับเขาที่ได้รับความเคารพนับถือ ยืนอยู่จุดสูงสุดเหนือใคร ทำเช่นนี้อาจนับเป็นการล่วงเกินเขาได้
แต่พริบตาที่มือน้อยกำลังจะจากไป ข้อมือนางก็ถูกเขากำไว้แน่น เขาจ้องหน้านางตาไม่กะพริบก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม “อย่าขยับ เจ้าวางมือไว้เช่นนั้นล่ะ รู้สึกสบายดี”
ชิงอวี่ยอมวางมือกลับไปแต่โดยดีพลางส่งยิ้มให้เขา เห็นเขาทำท่าทางเหมือนเด็กตัวน้อยเช่นนี้น่ารักน่าชังนัก
“จวินเหยา เจ้าหลับไปหรือไร? นี่มันจะชั่วยามหนึ่งแล้วนะ! หากไม่รีบไปตอนนี้จะให้รอถึงวันพรุ่งหรือ?!”
ไป๋จือเยี่ยนส่งเสียงดังมาจากนอกประตู
หากเป็นเช่นแต่ก่อน จะเดินทางไปตอนไหนก็คงไม่สำคัญ แต่เพราะยอดเขาใจสงบกำลังจะเปิดออกทันทีที่แดนเมฆาสวรรค์เกิดความเปลี่ยนแปลง พวกเขาจึงต้องเข้าอุโมงค์มิติก่อนยามซื่อช่วงเช้าเพื่อไปให้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นความผันผวนในอุโมงค์มิติอาจส่งเขาไปยังสถานที่อื่นได้
แดนเมฆาสวรรค์กว้างใหญ่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะไปโผล่ที่ห่างไกลตรงไหนบ้าง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือมันจะทำให้พวกเขายิ่งช้าเกินที่คาดการณ์ไปอีก
โหลวจวินเหยาบอกว่าจะเข้าไปบอกลานาง แต่กลับอยู่ในห้องนางเสียนาน เห็นว่าเวลาจะหมดแล้ว ไป๋จือเยี่ยนจึงพุ่งเข้าห้องมา หมอนั่นทำอะไรอยู่กันแน่?
จังหวะอบอุ่นหัวใจถูกขัดเช่นนี้ โหลวจวินเหยาหน้าทะมึนลงทันที ดูท่าไป๋จือเยี่ยนจะโชคไม่ดี ไม่อาจหนีไปไหน ต้องถูกคนฟาดเสียแล้ว
“ท่านไปได้แล้ว ระวังตัวด้วย” ชิงอวี่ยังไล้มือที่ใบหน้าเขา และอย่างที่เขาชอบทำบ่อย ๆ นางหยิกเข้าที่แก้มเขาเบา ๆ
โหลวจวินเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อย มือที่จับเอวนางไว้ส่งแรงบีบไปเล็กน้อย ก่อนจะก้มตัวลงจนใบหน้าชิดกับนางแล้วเอ่ยถามขึ้น “ข้าจะไปแล้ว เจ้า….. จะจูบลาข้าหน่อยได้หรือไม่?”
หลังจากบอกความรู้สึกไปแล้ว เขาก็ไม่คิดเก็บงำความคิดใดไว้อีก ภายในดวงตาน่ามองของเขาเต็มไปด้วยความรักที่มีต่อสตรีตรงหน้า
ยามถูกชายหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับสวรรค์ประทานพรจ้องไม่วางตาเช่นนี้ มันช่างทำให้อยาก….. ก่ออาชญากรรมเหลือเกิน
ชิงอวี่ไม่กล่าวคำ เพียงแต่ดึงเขาเข้ามาใกล้แล้วประกบริมฝีปากลงกับเรียวปากบางเท่านั้น ทั้งยังกัดมันเล็กน้อย ส่งผลให้เขาร่างแข็งค้างไป
ไม่เท่านั้น เขาไม่คิดว่านางจะกล้าหาญชาญชัย ปลาตัวน้อยของนางยังรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของเขา แหวกว่ายไปมาอย่างสุขีอยู่ภายในอีกด้วย
ร่างเขาไม่เพียงแข็งค้างไป แต่เกือบจะได้กลายร่างเป็นหมาป่าหิวกระหายยามถูกนางกระตุ้นเช่นนั้น ปล่อยให้นางมอบความรักให้เขาไปไม่คิดต่อต้านแต่อย่างไร
ชิงอวี่นั้นเป็นคนที่แสดงความรู้สึกและความรักออกมาตรง ๆ แต่ไหนแต่ไรมา เมื่อตัดสินใจดีแล้ว นางก็จะไม่ขวยเขินลังเลอะไรอีก ดังนั้นบางครั้งได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้นางก็ชอบใจเช่นกัน ทั้งยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์อีกด้วย
ทว่าท่าทีที่ชะงักค้างไปของใคร บางครั้งกลับทำให้รู้สึกราวกับว่าเขาตกตะลึงไปกับการกระทำของนางเสียอย่างนั้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชิงอวี่ก็ถอนริมฝีปากออก ก่อนจะคลี่ยิ้มเอ่ยถาม “พอใจหรือไม่?”
เมื่อครู่นางอาจจะรุนแรงไปหน่อย ด้วยกลีบปากน้อยในตอนนี้แดงก่ำจนช้ำอยู่บ้าง แต่ก็นับว่ายิ่งน่ามอง มองแล้วทำอีกฝ่ายเกือบเสียความควบคุม
โหลวจวินเหยาถอนหายใจยาว ในดวงตาราวกับมีไฟลุกท่วมจนเกือบแผดเผาคนมอง เขาฝังใบหน้าลงบนผิวกายนวลภายใต้คอเสื้อหลุดลุ่ยแล้วกัดแรง ๆ หนึ่งครา ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบแห้ง “หากข้าไม่จำเป็นต้องจากไปตอนนี้ ข้าต้องทำให้ปีศาจน้อยใจกล้าเช่นเจ้าร้องไห้ให้ได้”
“แล้วข้าจะรอ” ชิงอวี่ไร้สีหน้าเขินอาย เพียงแต่ยิ้มกว้างตอบคำเขากลับไป
โหลวจวินเหยาไม่ตอบ เพียงแต่ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปเท่านั้น
เกรงว่าหากเขาไม่รีบจากไปตอนนี้จะยิ่งตัดใจยากขึ้นเรื่อย ๆ นางทรมานใจคนเก่งนัก ก่อนจากกันนางต้องทำถึงเช่นนั้นเลยหรือ ทำให้แค่ห่างกันเท่านี้เขาก็คิดถึงนางแล้ว
แต่ว่า…..
เขาหรี่ตาลง นิ้วเรียวยาวยกขึ้นแตะริมฝีปาก แม่นางน้อยไม่จุมพิตช่ำชองไปหน่อยหรือ?
หรือนางจะเคยทำกับบุรุษอื่นมาก่อน?
เรื่องนั้น เขากลับมาเมื่อไรจะต้องค้นหาความจริงให้ได้
ริมฝีปากโหลวจวินเหยานั้นทั้งบางทั้งไร้สีมาแต่ไหนแต่ไร แต่ตอนนี้มันกลับเจือสีแดงฉ่ำเย้ายวน เจ้าโง่ที่ไหนก็เดาได้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรในห้องบ้าง
ไป๋จือเยี่ยนเหลือบมองอีกฝ่ายก่อนกล่าว “อะไร? เจ้าเอาเปรียบแม่นางน้อยอีกแล้วหรือ? เห็นเจ้าทำหน้าแบบนั้น”
โหลวจวินเหยาได้ยินแล้วก็ใช้ดวงตาสีม่วงมองอีกฝ่ายด้วยความสงบไร้แรงกระเพื่อมใด สีหน้าไร้อารมณ์ “นางต่างหากที่ฉวยโอกาสกับข้า”