สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 224 ขอบคุณที่รักเขาขนาดนี้
ตอนที่ 224 ขอบคุณที่รักเขาขนาดนี้
“…..” ไป๋จือเยี่ยนได้ยินแล้วแทบสำลักน้ำลายตนเอง
เขาเพิ่งจะตั้งสติได้ ตวัดสายตาสับสนมองอีกฝ่าย ใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงนสงสัย “แม่นางน่ะหรือฉวยโอกาสกับเจ้า?”
ไม่น่าเป็นไปได้เลยจริง ๆ นางเย็นชาดูสันโดษอยู่ตลอด ราวกับไม่ใส่ใจใคร แล้วเหตุใดวันนี้จึงทำตัวประหลาดไปได้?
โหลวจวินเหยาพ่นลมออกจมูกท่าทางเย้ยหยัน แต่ในนัยน์ตากลับเจือแววภูมิใจอย่างน่าประหลาด “ทำไมเล่า? เมื่อครู่นางยังบอกว่าชอบข้าด้วยนะ”
เมื่อไป๋จือเยี่ยนลองจินตนาการภาพตามที่อีกฝ่ายบอกก็อดขนลุกซู่ไม่ได้
ลืมมันไปเถอะ ไม่อยากเถียงกับเขาเรื่องนี้แล้ว ถามแม่นางน้อยตอนกลับมาก็รู้แล้ว
“ใช่แล้ว เจ้าว่าเศษวิญญาณของอาหลานถูกเก็บกลับแคว้นมารไปแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดข้าจึงไม่เห็นเลย?” ไป๋จือเยี่ยนพลันนึกเรื่องนั้นขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามขึ้น
โหลวจวินเหยาตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงไร้อารมณ์ “พวกมันก็กลับไปในที่ที่สมควรจะอยู่แล้วอย่างไรเล่า”
ฮึ่ม จะว่าไป เขาอดไม่พอใจไม่ได้ คนน่ารังเกียจผู้นั้นจำต้องยุแหย่กันทันทีที่ฟื้นขึ้นมาเลยหรือ? สิ่งที่เขาอุตส่าห์ทำทั้งหลายกลับถูกคนผู้นั้นชิงไปเอาหน้ากับอาหลานจนหมด
แต่เขาไม่กลัวลูกไม้พรรค์นั้นของอีกฝ่ายแล้ว เพราะเขามีจิ้งจอกน้อยอยู่ข้างกาย หากเทียบกับบิดาที่นางไม่เคยพบหน้า ความสัมพันธ์ของเขาที่เป็นคนรักของนางย่อมหมายความว่านางรักเขากว่าอีกฝ่ายเป็นแน่
และเพื่อทำให้จิ้งจอกน้อยยอมเปิดใจรับ เจ้านั่นก็คงต้องพยายามมากหน่อย และไม่แน่ถึงตอนนั้น อีกฝ่ายก็อาจต้องมาเอาใจเขาด้วยก็เป็นได้
แค่คิดถึงตอนนั้น โหลวจวินเหยาก็โค้งริมฝีปากแสยะยิ้มมีความนัย
– แดนเมฆาสวรรค์ –
อารามจันทร์กระจ่าง
ภายในห้องป้ายวิญญาณแสงสลัว จุดแสบนับหมื่นจุดพากันส่องระยับราวแสงดาว บ้างสว่างจ้า บ้างแสงสลัวราวกับจะมอดดับได้ทุกเมื่อ
ป้ายวิญญาณที่นี่แบ่งออกเป็นสองสี ประเภทที่หนึ่งสีน้ำเงิน อีกหนึ่งประเภทสีแดง สีน้ำเงินหมายถึงบุรุษเพศ และสีแดงหมายถึงสตรีเพศ ส่วนความเข้มของแสงหมายถึงอายุขัย ป้ายวิญญาณที่ส่องแสงสลัวหมายความว่าเจ้าของป้ายจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน
อารามจันทร์กระจ่างคุมความเป็นความตายของคนในใต้หล้า ผู้คนทั้งหลายจึงนับถือพวกเขาราวเทพเซียน ด้วยพวกเขามีความสามารถในการควบคุมว่าเมื่อไหร่คนจะตายได้
หรือว่าจะยืดชีวิตใครออกไปก็ได้เช่นกัน
แต่นั่นย่อมหมายความว่าต้องจ่ายสิ่งใดแลกไปเช่นกัน
หัวหน้านักบวชชางเจี้ยนแห่งอารามจันทร์กระจ่างเป็นชายหน้าตาดีคนหนึ่งที่ดูท่าจะอายุยังไม่ถึงสามสิบปีดี
แต่แน่นอนว่าหากเทียบกับอายุขัยปกติของคนบนแดนเมฆาสวรรค์ ชางเจี้ยนย่อมมีอายุอย่างน้อยราวสามร้อยปี เพราะกว่าจะก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งหัวหน้านักบวชได้ไม่ใช่ว่าใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืน
ในตอนนี้ เขากำลังยืนไพล่หลังอยู่ภายในห้องป้ายวิญญาณ มองป้ายวิญญาณแต่ละป้าย ทันใดนั้น ที่จุดสูงสุดท่ามกลางหมู่ดาวนับไม่ถ้วนก็มีแสงจ้าสีเงินหนึ่งส่องสว่างขึ้น ไม่ไกลจากกันนักยังมีแสงสีแดงเหลือบทองเองก็ปรากฏกายขึ้นเช่นกัน
แสงทั้งสองสว่างบดบังแสงจากป้ายวิญญาณอื่น ๆ จนมิด
ที่น่าตกใจกว่าคือแสงสองดวงนั้นดูแปลกตานัก นับแต่โบราณมาก็ไม่เคยเกิดเรื่องประหลาดเช่นนี้มาก่อน ดวงดาราพร่างแสงสองดวงนี้จู่ ๆ ก็ปรากฏทั้งที่ไร้ป้ายวิญญาณ ราวกับว่ามีชะตาแกร่งเกินกว่าใครจนไม่อาจหยุดยั้งได้ พลันปรากฏขึ้นในห้องป้ายวิญญาณขึ้นมาเองเสียอย่างนั้น
ชางเจี้ยนเปลี่ยนสีหน้าทันที กำลังคิดจะไปแจ้งท่านเจ้าอารามก็พลันได้ยินเสียงเบาของสตรีดังที่ด้านหลัง น้ำเสียงนั่นไพเราะเสนาะหู “ปรากฏขึ้นแล้วสินะ ดูท่าทั้งหมดนี่….. จะถูกกำหนดไว้แล้ว”
เป็นชะตาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ท่านเจ้าอาราม ท่านว่าอะไรนะ?” ชางเจี้ยนหันไปดูสับสน สายตาจับจ้องไปยังร่างในชุดผ้าไหวพลิ้วไหวสีชมพู เป็นสตรีที่งามราวกับเซียนลงมาจากสวรรค์ชั้นเก้า
นางซ่อนใบหน้าไว้หลังผ้าแพรไว้อย่างลึกลับมาโดยตลอด ลูกศิษย์ของอารามทั้งหลายต่างไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของ ท่านเจ้าอารามมาก่อน รู้เพียงแต่ท่านเจ้าอารามไม่ชอบพบหน้าใครและมักใช้ผ้าปิดบังใบหน้าไว้ตลอดเพื่อรักษาระยะห่างกับคนอื่น
ในฐานะหัวหน้านักบวช ชางเจี้ยนเป็นผู้ช่วยที่ท่านเจ้าอารามไว้ใจคนหนึ่ง ย่อมเคยเห็นนางตัวเป็น ๆ มาก่อน กระทั่งแอบมีความชอบต่อนางอีกด้วย
แต่นั่นเป็นเรื่องที่เขาไม่กล้าเอ่ยออกมา แม้ท่านเจ้าอารามจะงดงามน่าหลงใหล แต่นางเกลียดคนที่ถูกใจรูปโฉมภายนอกของนางมาก ทั้งยังเกลียดชังบุรุษนัก หากไม่ใช่เพราะชางเจี้ยนยังมีประโยชน์กับนาง เขาก็คงไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นี่ต่อ
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมท่านเจ้าอารามเกลียดบุรุษมากมายนัก ชางเจี้ยนก็ยังเก็บงำความรู้สึกของตนไว้ ไม่เคยเผยความคิดนั้นของตนสักครั้ง
ชิงลั่วเยี่ยนยกยิ้มมุมปากดูสง่างาม แต่ไม่ตอบคำถาม นางเพียงจ้องไปยังแสงสีเงินที่ส่องสว่างแสบตาแล้วพึมพำกับตนเอง “ข้ารอให้ท่านกลับมาอยู่ รอให้ท่านกลับมาแก้แค้นข้า…..”
– ค่ายหลักชนเผ่าหมาน –
“ม่อจิ่งอวี้ เจ้าลองพูดอีกทีสิ!”
ทางตอนเหนือของค่ายหลักชนเผ่าหมาน เสียงคำรามลั่นดังออกมาจากกระโจมใหญ่แห่งหนึ่ง
ที่นี่ยังเช้าตรู่อยู่ บางคนเพิ่งจะตื่นนอนมาได้ไม่นาน บ้างก็ยังนอนเกียจคร้านอยู่บนที่นอน ได้ยินเสียงสะเทือนลั่นเช่นนั้นต่างก็ตกใจตื่น ตัวแข็งค้างไม่รู้จะตอบสนองอย่างไรไป
เพียงชั่วจังหวะใจเต้นเพียงครั้งเดียวพวกเขาถึงรู้ว่านั่น….. เหมือนจะเป็นเสียงของท่านหัวหน้าเผ่า!
เกิดอะไรขึ้น? กินดินปืนเป็นอาหารเช้าหรือไรจึงระเบิดอารมณ์ในฉับพลันเช่นนี้??
ไม่รู้ว่าใครเคราะห์ร้ายไปล่วงเกินท่านหัวหน้าเผ่ากันแน่ แต่ถึงแม้จะสงสัยในใจก็ไม่มีใครกล้าถาม หัวหน้าเผ่าอารมณ์ร้ายนัก หากเสนอหน้าเข้าไปผิดจังหวะก็ไม่รู้ว่าจะโดนลงโทษอะไรบ้าง
และในกระโจมใหญ่ตอนนั้นเอง นอกจากหัวหน้าชนเผ่าหมานที่นั่งหน้าทะมึนนามเหยียนจูแล้ว ก็ยังมีคนอีกสองคนอยู่ในนั้นด้วย
ชายหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีงาช้าง ร่างสูงยืนพิงเก้าอี้อยู่ด้านข้าง นัยน์ตาหงส์เรียวยาวโดดเด่น ดูงดงามกว่าของสตรีนางไหน เป็นคุณชายหน้าตางดงามอย่างชั่วร้ายที่งามราวกับออกมาจากภาพเขียน น่ามองน่าชมนัก
ข้างกายเขาชื่อหญิงสาวในชุดแดงที่นั่งอยู่ ใบหน้านางงดงามอย่างหาได้อย่าง นัยน์ตาปรากฏเค้าความอ่อนโยนอบอุ่น ไม่ละสายตาไปจากชายหนุ่มเลย
สองคนนี้คือม่อจิ่งอวี้และชิงหลานเฟยนั่นเอง
เผชิญหน้ากับนัยน์ตาดุดันของเหยียนจูแล้ว ราวกับม่อจิ่งอวี้ไม่เห็นใบหน้าโกรธขึ้งของอีกฝ่าย กลับเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะไม่สนโลกขึ้นมา “ขออภัยด้วยพี่น้องข้า พวกเราไม่ได้เจอกันนาน ข้าเองก็เพิ่งจะฟื้น นับได้ว่าเพิ่งฟื้นจากความตายก็ว่าได้ ทำไมเจ้าถึงดูไม่คิดถึงข้า กลับทำหน้าไม่พอใจเช่นนั้นเล่า?”
“แล้วข้ามีเหตุผลบัดซบอะไรให้ต้องดีใจ!” เหยียนจูไม่คิดรักษาเกียรติศักดิ์ของหัวหน้าเผ่า เผยคำผรุสวาทออกมาทันใด
ใบหน้าที่แก่ชราไปตามกาลเวลาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว สายตาจับจ้องไปยังชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะเคลื่อนไปมองร่างสตรีชุดแดงข้าง ๆ กัน จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นชี้นางแล้วหันไปพูดกับม่อจิ่งอวี้ ความโกรธทำให้เอ่ยเน้นทุกคำ พ่นมันลอดไรฟันออกมา “เจ้านอนเหมือนตายมาร้อยปีเต็ม เพราะนางมันยังไม่พออีกหรือ? ตอนนี้เจ้าตื่นขึ้นแล้ว ยังคิดจะใช้วิชาลับของเผ่าเพื่อออกตามหาเศษวิญญาณของนางอีก? เจ้าบ้าไปแล้วใช่หรือไม่?”
เห็นเหยียนจูจ้องคนรักราวกับจะจับนางกินเช่นนั้น ม่อจิ่งอวี้ก็เลิกคิ้วแล้วโอบร่างนางไว้ในอ้อมกอดอย่างปกป้องทันที จากนั้นเอ่ยเสียงขุ่นกับเหยียนจู “ข้าไม่รู้ว่าเฟยเอ๋อร์ไปล่วงเกินอะไรเจ้า ทำไมเจ้าถึงชอบรังแกนางนัก?”
“ข้ารังแกนางหรือ!?” เหยียนจูเกือบสิ้นสติ หัวเราะลั่นออกมาราวกับคนคลั่ง จากนั้นกัดฟันแน่นแล้วเอ่ยคำ “เกรงว่าหนึ่งร้อยปีที่เจ้าสลบไสล เจ้าคงจะลืมไปแล้วว่าใครเป็นคนช่วยประคับประคองชนเผ่าหมานที่มีแต่ความวุ่นวายไม่เว้นวัน ทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าฟื้นสติ ข้าทำถึงขนาดนั้น แต่กลับกลายเป็นไอ้ชั่วจิตใจชั่วร้ายเย็นชา กลายเป็นคนหัวรั้นไร้เหตุผลไปได้!”
“ม่อจิ่งอวี้! เจ้าต้องจำไว้ให้ดี! ชนเผ่าหมานเป็นของเจ้า มันไม่ใช่หน้าที่ข้าที่ต้องช่วยเหลือเจ้าเลย! แต่ข้าเห็นเจ้าเป็นดั่งพี่น้องคนหนึ่งจึงไม่คิดลังเลที่จะยื่นมือเข้าช่วยปกป้องของของเจ้า! แล้วตอนนี้เพราะสตรีนางหนึ่ง เจ้ากลับเลือกปฏิเสธสิ่งที่ข้าทำมาให้เจ้ามานานหลายปีโดยที่ไม่ได้ร้องขออะไรเลย!”
อีกฝ่ายว่ามาเช่นนี้ ม่อจิ่งอวี้จึงได้แต่นิ่งเงียบไป
ใช่แล้ว หลายปีมานี้ หากไม่ได้เหยียนจู ชนเผ่าหมานก็คงตกอยู่ในความโกลาหลไม่รู้จบ กลายเป็นผืนทรายว่างเปล่าไปแล้ว เขาสิเป็นฝ่ายที่ไม่มีสิทธิ์ไปว่ากล่าวเหยียนจู
แต่เขาก็ไม่อยากให้สหายสนิทที่เป็นเหมือนพี่น้องคนหนึ่งเข้าใจสตรีที่เขารักผิด เพราะเขาจะเป็นฝ่ายที่ต้องอยู่ตรงกลางด้วยความอึดอัด
บรรยากาศจึงกลายเป็นกดดันอย่างหนักหน่วงไป
ชิงหลานเฟยพลันยื่นมือออกมาคลายมือที่โอบเอวนางไว้ ก่อนจะเงยหน้ามองสายตาประหลาดใจของชายหนุ่ม นางยิ้มปลอบเขาแล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง
นางมองขึ้นไปยังแท่นสูงที่เหยียนจูนั่งหน้านิ่งอยู่ ชิงหลานเฟยพลันคลี่ยิ้มแล้วโค้งคำนับให้อีกฝ่ายอย่างถึงที่สุด
ทำให้ม่อจิ่งอวี้จ้องตาค้าง “เฟยเอ๋อร์ เจ้าคิดจะทำอะไร?”
แม้เขาจะรู้ว่าตนติดค้างเหยียนจู เป็นฝ่ายที่มีความผิด แต่เขาก็ไม่ยอมให้เฟยเอ๋อร์ต้องทำเช่นนี้เพื่อเขา พวกเขาเป็นพี่น้องกันมานานหลายปี รู้จักกันดียิ่ง ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำพวกเขาก็เข้าใจกันได้
แล้วเฟยเอ๋อร์ทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน?
เหยียนจูเองก็อึ้งไปเช่นกัน ราวกับไม่คิดว่านางที่เย่อหยิ่งมาตลอดจะกล้าทำเช่นนั้นได้ แต่ก็เปลี่ยนกลับไปเป็นหน้านิ่งดังเดิมอย่างรวดเร็ว หึ นางคิดวางแผนอะไรกันแน่
ชิงหลานเฟยคำนับเสร็จก็ยืดตัวตรง มุมปากเผยรอยยิ้มบางแล้วเอ่ยเสียงค่อย “ขอบคุณท่าน จิ่งอวี้มีคนที่คอยห่วงใยเขาอย่างแท้จริงเช่นนี้ นับเป็นเกียรติของเขาแล้ว”
เหยียนจูตอบเสียงเรียบ ไม่เย็นชาแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ “เขาเป็นพี่น้องข้า ข้าย่อมดีกับเขา ไม่ต้องให้เจ้ามาบอกหรอก”
คำของเขานับว่าไร้มารยาท ม่อจิ่งอวี้พลันรู้สึกโกรธทันทียามได้ยิน เขามีสิทธิ์อะไรมากล่าวกับเฟยเอ๋อร์เช่นนี้? ตัวเขาเองยังไม่กล้าเอ่ยคำบาดหูใดกับเฟยเอ๋อร์เลย
ชิงหลานเฟยรั้งม่อจิ่งอวี้ที่กำลังพิโรธไว้แล้วเอ่ยคำต่อ “ข้าไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงเป็นปฏิปักษ์กับข้านัก แต่ข้าอยากบอกว่าข้าอยู่เคียงข้างจิ่งอวี้เพียงเพราะเราสองคนรักกัน ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอื่นเ ข้าอยากให้พวกเรามีความสุข และข้าไม่สนว่าคนอื่น ๆ จะคิดเห็นหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร จิ่งอวี้ก็คงคิดเช่นกัน”
นางเห็นเหยียนจูสีหน้าย่ำแย่กว่าเก่าดังคาด แต่นางก็ยังเอ่ยต่อเสียงเบา “แต่กับท่านมันไม่เหมือนกัน ท่านเป็นดั่งพี่น้องของจิ่งอวี้ นับเป็นญาติสนิทของเขา สิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือให้ท่านยอมรับเรื่องของเรา”