สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 227 ข้าไม่ใช้อสูร ข้าอยากเป็นคน….. ของนาง
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 227 ข้าไม่ใช้อสูร ข้าอยากเป็นคน….. ของนาง
บทที่ 227 ข้าไม่ใช้อสูร ข้าอยากเป็นคน….. ของนาง
ชิงเทียนหลินชะงักไปก่อนหัวเราะเสียงเบา “อะไรกัน? เจ้าจะทำเป็นไม่รู้จักข้าหรือ? หากคนที่ยืนตรงหน้าเจ้าตอนนี้คือชิงชิง ไม่รู้ว่านางจะเสียใจขนาดไหนที่เห็นเจ้าเช่นนี้!”
คำเหล่านั้นกล่าวเพื่อทดสอบ สังเกตดูสีหน้าอีกฝ่ายว่าเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ แต่น่าเสียดายที่ไม่พบร่องรอยใด กระทั่งนัยน์ตายังไม่เปลี่ยนแปลง
“ผู้นำตระกูลเฟิ่งคิดจะประจบข้าด้วยการทำเช่นนี้หรือ?” ดวงตาสีเขียวของชิงเยี่ยหลีทะมึน น้ำเสียงไร้อารมณ์เอื้อนเอ่ย “หากตระกูลเฟิ่งฟูมฟักสิ่งชั่วร้ายอยู่จริง ๆ สมาพันธ์กำจัดสิ่งชั่วร้ายย่อมไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ดังนั้นท่านผู้นำตระกูลไม่ต้องเสียเวลาหรอก”
พูดจบ ร่างสูงก็หมุนกลับแล้วเดินจากไป
ท่าทางไม่ใส่ใจอะไรของเขาทำให้ชิงเทียนหลินกำมือแน่น นัยน์ตาอ่อนโยนเจือแววขุ่นเคืองที่ไม่อาจซ่อน ไอ้หมาป่าชั้นต่ำอย่างมันที่ได้แต่เงยหน้ามองชื่นชมเขากลายเป็นคนที่ใช้สายตาหยามเหยียดมองเขาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ชิงเยี่ยหลี! หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ!” ชิงเทียนหลินเอ่ยเสียงลอดไรฟัน หมายจะเข้าไปคว้าอีกฝ่ายไว้
หญิงสาวที่ครึ่งหน้ามีผมปิดไว้พลันขยับกายมาขวางชิงเทียนหลิน ก่อนเอ่ยเสียงแหบขึ้น “ผู้นำตระกูลเฟิ่งช่วยหยุดอยู่ตรงนั้นด้วยเถอะ?”
“ถอยไป!” ชิงเทียนหลินเอ่ยเสียงขุ่นพร้อมใบหน้าทะมึน
หากแต่นางทำเหมือนไม่ได้ยินคำ ยังคงขวางทางไว้เช่นนั้น
ชิงเทียนหลินไม่เคยถูกหยามเช่นนี้มาก่อน
เมื่อชาติก่อน เดินไปทางไหนก็มีแต่คนชมชอบเคารพบูชา มีใครเห็นเขาแล้วไม่ยกย่องให้ความเคารพบ้าง? กระทั่งตอนที่เขามายังโลกนี้ ยามเผยความสามารถและพรสวรรค์ทั้งหลายก็ไม่มีใครกล้าดูหมิ่นเขาเช่นนี้มาก่อน
ไม่คิดเลยว่าคนที่เขาชังน้ำหน้ามาตลอด ตอนนี้จะใช้สายตาหยามเหยียดมองลงมาหาเขาจากแท่นสูงเช่นนั้นได้ จิตใจที่รักศักดิ์ศรีของเขาไม่อาจทนรับมันได้
นัยน์ตาเรียวยาวดูอ่อนโยนพลันแต้มไปด้วยรอยสีเลือดอยู่ภายใน เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ก่อนที่นัยน์ตาสีประหลาดจะจ้องตรงไปยังนัยน์ตาสีดำหมึกของนาง
แต่เมื่อสบตากับ ชิงเทียนหลินกลับเบิกตากว้าง
เขาเห็นลูกตาสีดำของนางเริ่มแผ่ขยายออกจนเต็มนัยน์ตาไม่เหลือสีขาวอีก มันดูน่าประหลาดและน่าดึงดูด พลันมีลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ผมที่ยาวปรกหน้านางปลิวขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นนัยน์ตาอีกข้างที่ดูเหมือนนัยน์ตาอสูร มันส่องสว่าง เต็มไปด้วยกลิ่นอายกระหายเลือด
ชิงเทียนหลินชะงักจนนิ่งไป ไม่รู้ว่าชิงเยี่ยหลีเดินจากไปไหน กระทั่งเงาก็ไม่เห็นแล้ว
จากนั้นหญิงสาวตรงหน้าที่มีนัยน์ตาไม่เหมือนมนุษย์ก็เอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ข้าขอตัว”
ชิงเทียนหลินยังคงยืนอึ้งอยู่ยามมองแผ่นหลังนางเดินจากไป ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
นางไม่ใช่มนุษย์แน่นอน เหมือนกับเป็นอสูรที่ยังพัฒนาไม่เต็มร่างมากกว่า แต่กลับห่มหนังมนุษย์ไว้
เหตุใดสิ่งมีชีวิตประหลาดเช่นนั้นจึงมาอยู่กับชิงเยี่ยหลีได้?
ในมุมหนึ่งที่ไม่อาจมีใครเห็น ร่างสูงพลันชะงักเกร็ง ก่อนจะงอร่างลง มือหนึ่งกำลำคอตนเองไว้ บนหลังมือเห็นเส้นเลือดเขียวเป่งขึ้นมา ดูน่ากลัวไม่น้อย
เขาทำท่าราวกับกลืนของน่ารังเกียจมา ก่อนจะไออย่างรุนแรงราวกับจะเอาเครื่องในออกมาด้วย
เมื่อหญิงสาวที่เดินตามมาเห็นเข้า นางจึงรีบสาวเท้าเข้ามาพร้อมกับมือที่ถือบางอย่างไว้ และเหมือนนางกำลังจะป้อนมันให้เขา แต่เข้าใกล้ร่างสูงไม่เท่าไหร่เขาก็พลันคว้าข้อมือนางไว้แล้วปัดมือนางออกไป
ยามมือถูกปัด ของในมือก็กระเด็นตกลงพื้น
มันเป็นเม็ดยารูปหยดน้ำใส ภายในมีเส้นสีแดงหมุนวนอยู่
“นายท่าน…..” นางขยับปากเล็กน้อยพลางขมวดคิ้วมุ่น เหมือนจะลังเลไม่กล้าเอ่ย แต่อึดใจหนึ่งก็ถอนใจแล้วเอ่ยคำต่อ “ทำไมท่านต้องทำเช่นนี้? หากต่อต้านหัวหน้าสมาพันธ์ไปอย่างไรก็จบไม่สวย”
ชิงเยี่ยหลีร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ สีหน้าดูอ่อนแอราวกับกำลังพบความเจ็บปวดใหญ่หลวง ริมฝีปากบางเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดน่าสยดสยอง มีรอยแผลจากการกัดริมฝีปากเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดทรมานมากเพียงไหน
“ข้า….. ไม่มีวัน….. แตะต้องมัน…..” ชิงเยี่ยหลีฝืนความเจ็บปวดในร่าง เอ่ยเสียงตะกุกตะกักออกมาพรางกัดฟันแน่น
ในใจเขาเห็นเพียงรอยยิ้มน่ารักสดใสของเด็กสาว เป็นภาพที่สมบูรณ์แบบนัก เขาตัดสินใจมานานแล้ว ว่ามันเป็นโชคชะตาของเขาที่ต้องคอยเฝ้ามองคอยปกป้องนางอยู่เงียบ ๆ
หากเขาแตะต้องของพรรค์นั้นไปเกรงว่า….. เขาคงไม่อาจยืนเคียงข้างนางได้อีก
นัยน์ตาสีหมึกของนางพลันฉายแววโศกเศร้า ก่อนน้ำเสียงแหบจะเอ่ยขึ้น “นายท่านฝืนได้อีกไม่นานหรอก คนจากชนเผ่าหมาป่าเกิดมาพร้อมกับความกระหายเลือดและนิสัยเลือดเย็น ท่านไม่ได้แตะต้องสันดานที่มีมาแต่กำเนิดมานานเกินไป ท่านคิดจะถดถอยกลับไปเป็นมนุษย์ธรรมดางั้นหรือ?”
“สันดานที่มีมาแต่กำเนิด? หึ”
ชิงเยี่ยหลีพลันส่งเสียงหัวเราะหยันออกมา ริมฝีปากชุ่มเลือดที่เขากัดข่มความเจ็บปวดไว้จึงมีเลือดไหลรินลงมาอีกครั้ง เป็นภาพที่ทั้งเศร้าและงดงามไปในเวลาเดียวกัน
น้ำเสียงเขายามเอ่ยขึ้นช้า ๆ แหบแห้งอยู่บ้าง “นับตั้งแต่วันที่นางพาข้ากลับมา ข้าก็กลายเป็นมนุษย์ไปแล้ว นางเป็นคน….. ที่มอบเหตุผลให้การมีชีวิตอยู่ให้ข้า หาข้ากลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ไป แล้วข้าจะหาเหตุผลอะไร….. ให้ไปพบนางอีก?”
“หากหัวหน้าสมาพันธ์รู้ตัวตนของเด็กสาวที่นายท่านพูดถึง เขาคงไม่อาจยอมรับมันได้แน่”
“หึ เขาไม่กล้าหรอก” ชิงเยี่ยหลีหลุบตาลงเพื่อปิดบังอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ภายใน “เขารู้ดีว่ายามข้าโกรธขึ้นมาจริง ๆ จะเป็นอย่างไร”
สีหน้าหญิงสาวเปลี่ยนไป แต่นางไม่พูดอะไรอีก เพียงยืนเป็นเพื่อนเขาเงียบ ๆ เท่านั้น
ชิงเยี่ยหลยังยืนตัวเกร็งอยู่เช่นนั้น ไม่ขยับแม้สักนิด ราวกับเป็นรูปปั้นหิน สายตาทอดมองไปไกลราวกับกำลังนึกถึงสถานที่อันห่างไกลอยู่
ในตอนนั้นเขาคิดถึงใครคนหนึ่งจับใจ มีหลายเรื่องนักที่เขาเอ่ยปากกับนางได้ แต่พูดกับคนอื่นไม่ได้
แต่เขาทำไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยของนาง เขาได้แต่กัดฟันฝืนทนทุกอย่างเอาไว้ แม้ยามไร้นางข้างกายเขาจะรู้สึกสิ้นหวังและโดดเดี่ยวนัก ราวกับวิญญาณขาดหายไป เป็นปีศาจไร้อารมณ์ตัวหนึ่งก็ตาม
—————————————————-
“โครม~”
ชิงอวี่เผลอเดินชนโต๊ะจนกระถางต้นบอนไซงดงามต้นน้อยร่วงลงกับพื้น
“โห โห ๆ! เจ้า….. เจ้า….. เจ้า….. ศิษย์น้องเล็ก! เจ้าจะมากไปแล้วนะ!! กลับมาเจ้าก็สังหารดอกไม้น้อยของข้าเลย!!!”
เสียงร้องเกินจริงจะมาจากใครได้อีกนอกจากชายหนุ่มหน้าหวานจากภาควิชาพิเศษแห่งสำนัก ที่มีจริตงดงามยิ่งกว่าหญิงสาวจริง ๆ?
ว่ากันว่าหลังจากชิงอวี่สั่งสอนพวกเด็กอหังการเย่อหยิ่งภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณที่ชอบรังแกคนอ่อนแอกว่าแล้ว เรื่องกลั่นแกล้งทั้งหลายก็ไม่เกิดขึ้นอีกอย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากคนทั้งหลายรู้ว่าชิงเป่ยกับชิงอวี่เป็นพี่น้องกัน พวกเขาก็เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อชิงเป่ยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงสุภาพขึ้นมาก แต่ยังมีพวกขี้ประจบพากันมาเลียแข้งเลียขาเขาเสียยกใหญ่
จะมีใครไม่รู้อีกว่านอกจากชิงอวี่จะเป็นอัจฉริยะผู้ครองทุกธาตุแล้ว นางยังสนิทสนมกับศิษย์สายหลักห้าอันดับแรกอยู่หลายคน ใครกล้าล่วงเกินนางย่อมไม่อาจรั้งอยู่ในสำนักได้อีก
แม้ชิงอวี่จะไม่รู้เรื่องว่าตนไม่สนิทสนมกับพวกเขาตอนไหนก็ตาม
เฟิ่งเทียนเหิงออกจากสำนักละอองหมอกไปหลายเดือนแล้ว ลั่วหลานจือเองก็รั้งอยู่เพียงหนึ่งเดือนก่อนจะออกท่องใต้หล้าอีกครา ดังนั้นภาควิชาพิเศษจึงกลับคืนสู่สภาพเดิมที่มีแต่พวกลิงป่าซุกซนหาใครคุมไม่ได้ มีอิสรเสรีเต็มที่ แต่ละวันทำอะไรได้ตามใจ
กระทั่งชายหนุ่มหน้าหวานที่ปกติรักสวยรักงามยังน้ำหนักขึ้นมาสองจินเพราะไม่ได้ฝึกฝนบำเพ็ญเพียร
แต่ชิงอวี่ก็ไม่สนใจอีกฝ่ายที่กระโดดกระทืบเท้าโกรธส่งเสียงครวญเกรี้ยว กลับจ้องกระถางที่แตกกระจายแล้วมุ่นคิ้ว
นางเป็นอะไรไป?
พริบตานั้นในใจก็พลันรู้สึกหดหู่เจ็บปวดทรมานนัก
นางเป็นคนระแวดระวังตื่นตัวอยู่ตลอด กลับเดินชนโต๊ะจนกระถางแตกได้
หรือจะเกิดเรื่อง….. กับคนที่นางรู้จักหรือ?
คงไม่ใช่โหลวจวินเหยากระมัง นางเพิ่งจะคุยกับเขาผ่านลูกแก้วไปเมื่อวาน ต้องเป็นคนอื่นแน่
หากไม่ใช่เขา แล้วเป็นใครกันที่ทำให้นางรับความรู้สึกได้ชัดเจนเช่นนี้?
ชิงอวี่เริ่มปวดหัวจึงยกมือขึ้นนวดขมับ แต่พริบตานั้นนางก็หยุดมือ นัยน์ตาหงส์ชะงักไป ทำไมจู่ ๆ ถึงนึกถึงเสี่ยวเยี่ยขึ้นมาได้? เป็นเพราะนางไม่ได้เห็นเขามานานงั้นหรือ?
หรือนางจะคิดมากไป?
นางกลัวว่ามันจะเกี่ยวพันกับเรื่องที่เกิดขึ้นบนแดนระดับสูง ดูท่านางคงต้องรีบจัดการเรื่องที่นี่ให้จบแล้วขึ้นไปบนดินแดนระดับสูงเสียแล้ว
นางคงรอให้โหลวจวินเหยากลับมาพานางเข้าไปสถานที่ต้องห้ามไม่ได้แล้ว นางคงต้องเข้าไปดูด้วยตนเอง
— แดนเมฆาสวรรค์ —
แคว้นมาร
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงเอนหลังพิงพนักอย่างเกียจคร้าน ชุดคลุมม่วงดูหรูหราขับให้ร่างสูงของเขาดูดีหล่อเหลาเป็นพิเศษ สีม่วงนับเป็นสีที่เหมาะกับกลิ่นอายชั่วร้ายลึกลับที่เขาแผ่ออกมาที่สุดแล้ว
ในตอนนั้นใบหน้าหล่อเหลาแต่งแต้มไปด้วยรอยอ่อนล้า มือหนึ่งยกขึ้นเท้าแก้ม ดวงตาหรี่ลงครึ่งหนึ่ง มองภาพคนทั้งหลายที่ดูลุกลี้ลุกลนอยู่เบื้องล่าง เสียงคุยกันดังโหวกเหวก
“ชางเจี้ยนเป็นผู้ทำนายว่ายอดเขาใจสงบใกล้จะปรากฏขึ้นแล้ว แม้ตาแก่นั่นจะไม่ใช่พวกเดียวกับเรา แต่ก็มีความสามารถ ดูเหมือนว่าปีนี้มันจะปรากฏขึ้นจริง ๆ!”
“แล้วเจ้าจะตื่นเต้นไปทำไม? ถึงมันปรากฏขึ้นจริง คนไปก็คือนายท่าน พวกเราไม่มีใครมีคุณสมบัติมากพอได้เข้าไปด้วยซ้ำ!”
“นายท่านหายตัวไปไร้ร่องรอยนานหลายปี ทำให้ผู้คนสงสัยว่าหลายปีมานี้พลังบำเพ็ญถดถอยไปหรือไม่! รู้ไหมว่าเมื่อก่อนนายท่านกล้าหาญมีกำลังวังชาขนาดไหน? หากนายท่านไม่ตกหลุมพรางชั่วร้ายที่พวกคนชั่วจากสมาพันธ์นักล่านั่นวางเอาไว้ แคว้นมารก็คงครองแดนเมฆาสวรรค์ไปแล้ว! แล้วคนพวกนั้นพล่ามอะไรกัน…..”
“พอนายท่านขึ้นยอดเขาใจสงบแล้วนำสมบัติบนนั้นกลับมาได้เมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นแคว้นมารยังต้องกลัวว่าจะไม่ได้ครองแดนเมฆาสวรรค์อีกหรือ?”
“ใช่แล้ว ๆ จะมีใครมาเทียบเทียมนายท่านได้เล่า!”
“…”
สรุปโดยย่อก็คือ พวกเขาต่างชื่นชมยกย่องบูชาคนจนเกินเหตุ
สวินลั่วยืนห่างไปไม่ไกลจากบัลลังก์ กำลังมองชายหนุ่มที่นั่งนิ่งไม่กะพริบตาอยู่เบื้องบน ทำให้เขาอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
หรือว่านายท่าน….. จะหลับไปแล้ว?
แต่พอเขาจะส่งเสียงปลุกเบา ๆ ก็เห็นอีกฝ่ายพลันคลี่ยิ้ม ก่อนน้ำเสียงทุ้มน่าหลงใหลจะเอ่ยออกมา “เงียบ”
เสียงนั้นเป็นดั่งมนตรา
เสียงอึกทึกครึกโครมที่ดังก้องห้องโถงพลันเงียบลงทันใดราวกับถูกสกัดจุดใบ้ กลายเป็นเงียบงั้นอย่างน่าประหลาด ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงใดอีก
สวินลั่วมุมปากกระตุกยิก ๆ
นี่ล่ะคือนายท่าน พูดเพียงคำหนึ่งแต่ทรงประสิทธิภาพมากกว่าเขาพูดเป็นพันคำ