สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 234 ลงมือกลางดึก
บทที่ 234 ลงมือกลางดึก
บทที่ 234 ลงมือกลางดึก
หลังจากเงียบงันไปนาน หญิงสาวหลังม่านก็เอ่ยน้ำเสียงเดาอารมณ์ไม่ถูกขึ้น “เจ้าชื่ออะไร?”
ทำไมคนสองคนจึงดูเหมือนกันได้มากเช่นนี้?
แม้ชิงอวี่จะฉงนกับคำถาม แต่ก็ยังตอบพร้อม “อวี่ชิง”
สมัยนางแต่งตัวเป็นบุรุษนางจะใช้ชื่อนี้เสมอ สตรีนางนี้คงล้อเล่นเป็นแน่ ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปรารถนาดีหรือไม่ แต่อีกฝ่ายจับตัวนางมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้เช่นนี้ นางย่อมไม่เผยชื่อจริงง่าย ๆ หรอก
นางตอบไปสองคำแล้ว อีกฝ่ายก็ถามกลับมา “ตัว “ชิง” ในชื่อเจ้าคือตัวไหน?”
ชิงอวี่ลังเลชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มแล้วตอบ “ตัวชิงที่หมายความว่าความรักระหว่างสามีภรรยา”
หากแต่อีกฝ่ายกลับถอนใจไม่สนคำชิงอวี่ “เป็นชะตาที่กำหนดมางั้นหรือ?”
“แล้วของที่เจ้าเอาไปเล่า? ส่งมันมา!”
ชิงอวี่หลุบตาลงเล็กน้อย ปิดบังรอยมืดมิดที่เจืออยู่ในนั้น สีหน้าดูสับสนเล็กน้อยยามนางเงยหน้าขึ้น “ข้าเอาอะไรไปหรือ?”
เห็นหน้ามึนตึงของนางแล้ว ชายที่พานางมาก็ก้าวขึ้นมาเอ่ยเสียงขรึม “ยังคิดปฏิเสธอีกหรือ? สิ่งที่หงส์เพลิงทองคำรักษาอยู่ พอถูกเอาไปแล้วจิตมันก็จะสลายไปด้วย นอกจากข้าก็มีเจ้าที่เข้าไปในถ้ำนั่น”
“อ้อ”
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็พูดโดยไม่หยุดหายใจสักนิด “เป็นท่านหรือเปล่าที่ละโมบเอาสมบัตินั่นไปเอง? ท่านไม่อยากมอบมัน แล้วข้าบังเอิญผ่านมาพอดี ท่านจึงวางแผนหาแพะ ผลักความผิดทั้งหมดมาที่ข้า!”
ถูกชิงอวี่พูดกลับคำโต้จนชะงักไป เขาก็นิ่งไปหลายอึดใจ แต่เมื่อตั้งสติได้ก็ร่างสั่นอย่างเห็นได้ชัด พ่นคำออกมาด้วยความโกรธ “ไร้สาระสิ้นดี! เป็นคำใส่ร้ายที่เลวทรามที่สุด! ข้าเอามันไปเมื่อไหร่! ? เจ้าชัด ๆ ที่…..”
“เยว่เฝิน ทำไมเจ้าถึงใจร้อนเช่นนี้?”
นางเอ่ยเสียงเบาขัดอารมณ์โกรธเขาไว้
เขารีบก้มศีรษะลงทันที “ขออภัยท่านเจ้าอารามที่ข้ากระทำการไม่ควร เยว่เฝินมีอารมณ์โกรธมากเกินไป”
“ข้าย่อมเชื่อว่าเจ้าไม่ทำเช่นนั้น เจ้าเป็นศิษย์อารามศักดิ์สิทธิ์ที่ซื่อสัตย์ที่สุด ไม่มีทางทรยศนายตนแน่”
เยว่เฝินสีหน้าซาบซึ้ง “ข้ารับใช้ผู้ภักดีซาบซึ้งใจนักที่ท่านไว้ใจ”
ชิงอวี่ยืนฟังบทสนทนาแล้วนางก็ได้ข้อมูลสำคัญมา
อารามศักดิ์สิทธิ์?
หรือจะเป็นหนึ่งในขุมอำนาจแห่งแดนเมฆาสวรรค์ อารามจันทร์กระจ่าง?
โหลวจวินเหยาเคยบอกนางว่าหนอนกู่คำสาปกับคำสาปกลืนอารมณ์ที่เขาถูกมาต้องเกี่ยวกับอารามศักดิ์สิทธิ์แน่ มันคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยคนที่มีวิชาชั่วร้ายนอกรีต เป็นอสรพิษร้ายที่ชอบวางแผนชั่ว น่ารังเกียจเดียดฉันท์นัก
แม้ตัวเขาเองจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็ยังดีกว่าคนกลุ่มนี้มาก
แม้เบื้องหน้าอารามจันทร์กระจ่างจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับขุมอำนาจอื่น แต่เบื้องหลังก็วางแผนร้ายใส่ขุมอำนาจอื่นอยู่ลับ ๆ ไม่ยอมลดราวาศอก ที่มากที่สุดเห็นจะเป็นแคว้นมาร เหมือนจะไม่พอใจที่แคว้นมารเป็นแคว้นที่กล้าแกร่งที่สุด ดังนั้นจึงพยายามทำให้พวกเขาล้มครืนลงมาอยู่ตลอด
เช่นนี้ก็คือ….. นางร่วงลงถ้ำเสือเลยสินะ?
“เอาตัวนางไป!” สตรีผู้นั้นเอ่ยคำ ไม่ถามเรื่องของที่หงส์เพลิงทองคำรักษาอีก
แม้เยว่เฝินจะไม่เข้าใจ แต่ก็รับคำสั่งจนชินชา ดังนั้นจึงนำชิงอวี่กลับไปสถานที่เดิม
“พวกท่านคิดจะทำอะไรกับข้า?”
“หรือท่านคิดจะขังข้าไว้ที่นี่จนตาย?”
“ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าพูดถึงอารามศักดิ์สิทธิ์ ที่นี่คืออารามจันทร์กระจ่างบนแดนเมฆาสวรรค์งั้นหรือ?”
ชิงอวี่พยายามคุยกับเขามาตลอดทาง หากแต่เยว่เฝินกลับไม่ตอบสักคำ
ทว่าการที่เด็กสาวสามารถเดาได้ว่าตนอยู่ที่อารามจันทร์กระจ่างก็ทำให้เยว่เฝินประหลาดใจอยู่บ้าง ฝีเท้าเขาชะงักไป “ในเมื่อรู้ว่าเป็นที่ไหนแล้ว ก็ลืมเรื่องหนีออกไปได้เลย”
ชิงอวี่หัวเราะ “ข้าไม่คิดหนีหรอก พวกท่านไม่คิดสังหารข้านี่”
“หึ มั่นใจหรือว่าจะไม่มาตายเสียที่นี่?” เยว่เฝินหัวเราะเหยียด
“ท่านไม่เห็นหรือ ตอนท่านเจ้าอารามของท่านเห็นหน้าข้า นางก็เสียท่าทีไปเล็กน้อย? จากตรงนั้น ดูก็รู้ว่ามีอะไรอีกเป็นแน่ ข้าคงจะหน้าตาเหมือนคนรู้จักนาง ชิงอวี่วิเคราะห์ดู
หากแต่การคาดเดาของชิงอวี่ครั้งนี้แม่นจนน่ากลัว
เยว่เฝินคิดว่านางเดาสุ่มไปเรื่อยไร้สาระ ไม่เก็บมาใส่ใจ เขาพานางกลับมาที่เดิมแล้วจากไปพร้อมกับใบหน้าบูดบึ้งทันที
ชิงอวี่มองเขาจากไป “…..”
นางกล่าวได้ตรงจุดเลยใช่หรือไม่? แต่เขาต้องคิดเล็กคิดน้อยกับนาง ทำราวกับนางไปติดเงินเขาหลายล้านตำลึงทองเช่นนั้นเลยหรือ…..?
นางยักไหล่จนใจ จากนั้นลองแตะเมฆก้อนที่นางเคยนอน มันทั้งนิ่มและนุ่ม สัมผัสแล้วรู้สึกดี ลองกดมือลงไปหลายครั้งด้วยกัน
หืมมม? เป็นเมฆที่มั่นคงพอดูนี่? ไม่แปลกที่นอนแล้วไม่ร่วงลงไป
นางจึงขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนนั้น มือหนึ่งก็จับ ๆ กด ๆ มุมนุ่มนิ่มของมันเล่น ตอนนี้นางอยู่บนแดนเมฆาสวรรค์ ไม่รู้ว่าหากจากโหลวจวินเหยามากเท่าไหร่กัน
คิดได้ดังนั้น นางก็หยิบลูกแก้วสีม่วงที่เขาให้ขึ้นมาดู นางพยายามใช้พลังวิญญาณลองติดต่อหาเขา ทว่าไม่คิดเลยว่าจะไร้คำตอบรับใด ราวกับพลังของนางเป็นหินก้อนหนึ่งที่ถูกโยนลงทะเล ไม่เกิดแม้น้ำกระเพื่อมด้วยซ้ำ
มุมปากชิงอวี่กระตุกยิก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?
หรือสถานที่ต่างก็ต้องใช้พลังต่างกัน? หรือมันจะถูกปิดกั้น…..
แค่คิดก็หดหู่มากแล้ว!
———————————–
“ท่านเจ้าอาราม เราจะปล่อยเด็กสาวจากแดนต่ำไว้เช่นนี้หรือ?” ชายชราชุดขาวถามเสียงเคารพ
“อืม” สตรีหลังม่านตอบรับ
“ปล่อยนางไว้มีประโยชน์อะไรกับเราหรือ? เปลี่ยนนางเป็นหุ่นเชิดงั้นหรือ?” ชายชราชุดดำอีกด้านถามขึ้นเสียงฉงน “ข้าไม่เห็นว่านางจะมีอะไรพิเศษ”
นางถอนหายใจเล็กน้อย ชั่วอึดใจหนึ่งจึงถามเสียงเบาขึ้น “พวกเจ้าไม่มีใครคิดว่านาง….. หน้าตาเหมือนคนคนหนึ่งหรือ?”
ยามนางเอ่ยคำนั้นออกมา ไม่รู้ทำไม ทุกคนจึงนึกถึงคนคนเดียวกัน
แต่คนผู้นั้น…..
เมื่อครั้งนั้นนางเป็นเทพธิดาประจำอารามศักดิ์สิทธิ์ สวรรค์ชั้นฟ้ารักนางที่สุด อีกทั้งยังมีความสามารถ เป็นที่อิจฉาของใครหลายคน
นางควรจะได้สืบทอดฐานะสูงสุดแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์ แต่ยามพิธีสืบทอดกำลังจะเริ่มขึ้น นางกลับหายไปอย่างเป็นปริศนา
หลายร้อยปีนับแต่นั้น ก็ไม่มีใครได้ยินเกี่ยวกับนางอีก
แต่หากมีใครเอ่ยชื่อนาง ไม่เพียงแต่อารามจันทร์กระจ่าง แต่ทั่วทั้งแดนเมฆาสวรรค์ก็ต้องรู้จักนาง นางไม่เพียงเป็นเทพธิดามากความสามารถที่สุดในบันทึกของอารามศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนต่างนับถือ นางยังมีขุมพลังประหลาดที่คอยหนุนหลังนางด้วย…..
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
——————————————-
อีกด้านหนึ่ง ลวี่จีเดินทางถึงแคว้นมารแล้วเช่นกัน หลายปีมานี้ โชคดีที่พลังบำเพ็ญนางเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย ดังนั้นนอกจากหน้าซีดนิดหน่อยนางก็ไม่บาดเจ็บอะไรอีก ได้แต่มุ่งหน้าต่อไปด้วยกลิ่นอายเยียบเย็นไม่น่าเข้าใกล้เท่านั้น เดิมทีนางก็เป็นโฉมสะคราญเย็นชามากพออยู่แล้ว เห็นนางมีใบหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ยิ่งไม่น่าเข้าใกล้มากขึ้นไปอีก
คนจากแคว้นมารพบนางระหว่างทางก็พากันทักทาย หากแต่นางเมินพวกเขาไป ฝีเท้านางเร็วนัก โฉบผ่านพวกเขาไปราวกับลมหอบหนึ่ง
คนแคว้นมารได้แต่เกาศีรษะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหนอ? ทำไมนางจึงรีบร้อนเช่นนั้น?
แม้ลวี่จีจะไม่ได้เป็นมิตรกับพวกเขามากก็ตาม แต่อย่างน้อยนางก็จะพยักหน้ารับ หรือตอบสักคำสองคำ เห็นนางรีบร้อนเช่นนี้นับเป็นครั้งแรก จึงดูประหลาดไม่น้อย
“นายท่าน ลวี่จีทำหน้าที่ล้มเหลว ปล่อยให้เกิดเรื่องกับแม่นางชิงได้ ขอนายท่านโปรดลงโทษ”
ในห้องโถงสีเข้มดูมืดครึ้ม นอกจากคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงแล้ว ยังมีไป๋จือเยี่ยน สวินลั่ว เม่ยจี ปีศาจน้อย และชายหนุ่มคล้ายบัณฑิตที่นั่งอยู่ด้านข้าง
ลวี่จีคุกเข่าลงกลางห้องโถง ก้มศีรษะลงต่ำ
โหลวจวินเหยาไม่เข้มงวดกับลูกน้องมากนัก ไม่ชอบให้มีพิธีการอะไรมาก เห็นลูกน้องต้องคุกเข่ารายงานนั่นรายงานนี่แล้วเขาเหนื่อยแทน ดังนั้นเขาจึงบอกลูกน้องทั้งหลายว่าไม่จำเป็นต้องทำเรื่องไร้สาระเช่นนั้น
หลายปีที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกที่ลวี่จีสตรีผู้เย่อหยิ่งหมดท่าเช่นนี้
คนบนที่นั่งสูงไม่กล่าว เป็นไป๋จือเยี่ยนที่แผดเสียงขึ้น “แม่นางน้อยเป็นอะไรอีก? บาดเจ็บงั้นหรือ?? เมื่อคราวก่อนเพิ่งผ่านไปได้ไม่…..”
“นางถูกลักพาตัวไป” ลวี่จีเอ่ยเสียงแหบน้อย ๆ “คนผู้นั้น….. ดูจะมาจากแดนเมฆาสวรรค์ แต่ข้าไม่รู้ว่าเขามาจากขุมอำนาจไหน”
“จากแดนเมฆาสวรรค์?” ไป๋จือเยี่ยนเลิกคิ้ว “แล้วถูกพาตัวไปจากที่ไหน?”
“สถานที่ต้องห้ามสำนักละอองหมอก” ลวี่จีตอบพร้อมนัยน์ตาเฉียบคม
“น่าสนใจนี่ มีคนจากแดนเมฆาสวรรค์ถ่อลงไปถึงแดนระดับล่าง ลงไปทำอะไรกัน?” ไป๋จือเยี่ยนว่า พลางส่งสายตามองคนบนบัลลังก์สูงที่ไม่เอ่ยสักคำ “เจ้าดูไม่เป็นกังวลเลย”
โหลวจวินเหยา มือหนึ่งยกขึ้นเท้าคาง อีกมือวางอยู่บนงูไร้ตาบนที่วางแขน เคาะนิ้วลงเบา ๆ ได้ยินคำไป๋จือเยี่ยนแล้ว นัยน์ตาสีม่วงจึงเงยขึ้นเล็กน้อย “หากนางอยู่บนแดนเมฆาสวรรค์ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวล”
น้ำเสียงนั้นไม่เพียงสงบไร้กังวล แต่ราวกับว่าเขารู้เรื่องนี้มาโดยตลอด
“เจ้ารู้ว่านางอยู่ที่ไหนหรือ?” ไป๋จือเยี่ยนถามเสียงประหลาดใจ
โหลวจวินเหยาตอบเสียงเรียบ “อืม คืนนี้ข้าจะไปตามตัวนาง”
สายตานั้นเลื่อนลงไปยังสตรีที่นั่งคุกเข่าอยู่กลางห้อง “ลุกขึ้น ในเมื่อนางไม่ได้บาดเจ็บ ข้าจะไม่โทษเจ้า แต่ถึงข้าจะไว้ชีวิต เจ้าก็ยังต้องถูกลงโทษ”
ลวี่จีก้มศีรษะลงต่ำ “ข้ารอคำสั่งจากนายท่าน”
“ไปที่ผามืด ให้เขาเฆี่ยน 12 ไม้ ขังเดี่ยวหนึ่งเดือน หันหน้าเข้ากำแพงแล้วตรึกตรองถึงความผิดตนเสีย จากนั้นออกมาได้” โหลวจวินเหยากล่าว
“ขอบคุณที่นายท่านที่เมตตา” ลวี่จีว่าจบก็ถอยออกจากห้องโถงไป
ทุกคนรู้ดีว่านั่นนับเป็นโทษสถานเบาจึงไม่มีใครคัดค้าน
นอกจากเม่ยจีที่เอ่ยถามขึ้น “นายท่านรู้จริง ๆ หรือว่าแม่นางอยู่ที่ใด?”
“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” โหลวจวินเหยายกยิ้ม นัยน์ตาอ่านไม่ออก ดูน่ากลัวไม่ใช่น้อย
ดังนั้นเมื่อราตรีโรย ไป๋จือเยี่ยนก็จำได้ว่ามีเรื่องต้องบอกโหลวจวินเหยา ดังนั้นจึงมุ่งหน้าไปหา ทว่าเปิดห้องเข้าไปกลับไร้เงาคน ดังนั้นจึงจำได้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไรไว้
นี่เขาออกไปหาแม่นางน้อยจริง ๆ หรือ?
— อารามจันทร์กระจ่าง —
แสงโคมและแสงเทียนส่องสว่างทั่วพื้นที่ ยามราตรีเงียบสงัดเป็นยิ่งนัก
เยว่เฝินเข้ามาส่งอาหารคราหนึ่ง และแม้หน้าตาจะยังดูไม่ยินดีที่ได้เห็นชิงอวี่ แต่นางก็ไม่คิดใส่ใจ
นางย่อมไม่แตะอาหารที่เขานำมา ด้วยไม่รู้ว่ามีหนอนกู่หรือคำสาปใดหรือไม่
นางนั่งหลับตาอยู่บนปุยเมฆนุ่ม กำลังจะดึงเอาพลังวิญญาณอันอุดมสมบูรณ์ในสถานที่แห่งนี้เข้าไป นางพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายหนึ่งที่จู่ ๆ ก็ปรากฏ มันอยู่ใต้ผ้าคลุมที่กำลังพุ่งมาทางนาง…..