สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 236 พี่น้องฆ่ากันเอง
บทที่ 236 พี่น้องฆ่ากันเอง
บทที่ 236 พี่น้องฆ่ากันเอง
ในหัวเขาคงมีแต่ความคิดสกปรกแล้วโทษนางเป็นแน่
เห็นเด็กสาวพูดเยาะเขาเช่นนั้น โหลวจวินเหยาจึงเล็มแก้มนางเบา ๆ “คงไม่ได้หรอก เจ้าอยู่แดนเดียวกับข้าเช่นนี้ จะปล่อยให้เจ้าอยู่ในรังอสรพิษได้อย่างไรกัน? แต่ในเมื่อเจ้าอยากอยู่ที่นี่นักก็คงต้องมาดูว่าเจ้ายังปลอดภัยดีอยู่หรือไม่”
“แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าเรื่องหนึ่ง สตรีผู้นั้นเป็นหญิงบ้า เจ้าอย่าได้ผลีผลามลงมือเล่า” โหลวจวินเหยากล่าวเตือนด้วยความเป็นห่วงเมื่อนึกขึ้นได้
ชิงอวี่บุ้ยปาก ส่งเสียงบ่นเบา ๆ “ข้ารู้ดีหรอก ทำไมพอท่านอยู่ ข้าถึงกลายเป็นคนทำอะไรเองไม่เป็นไร้ฝีมือไปเลยเล่า…..”
“หึ จิ้งจอกน้อย ข้าเป็นห่วงเจ้าเช่นนี้เจ้าก็บ่นหรือ?” โหลวจวินเหยาส่ายหน้า สายตาลึกล้ำขึ้นก่อนว่าต่อ “ส่วนลูกแก้วสื่อสาร ตอนนี้เจ้าใช้ไม่ได้ใช่หรือไม่?”
“ข้าจะถามอยู่พอดีเลย ด้านนอกมีค่ายกลที่ขวางพลังวิญญาณไว้อย่างนั้นหรือ? ข้าอยากบอกท่านตั้งนานแล้วว่าข้ามาถึงแดนเมฆาสวรรค์ แต่พอใส่พลังวิญญาณลงในลูกแก้วก็ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย” ชิงอวี่เอ่ยถามสีหน้าฉงน
“เจ้าฉลาดไหวพริบดี ลองเดาดูน่าจะถูก” โหลวจวินเหยายื่นมือไปลูบผมนางพลางเอ่ยต่อช้า ๆ “ในเขตอารามศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงมีค่ายกลที่แยกพวกเขาจากโลกภายนอก คนภายนอกก็ยังไม่อาจจับสัมผัสคนภายในได้เช่นกัน ทำให้ไม่อาจเข้ามาภายในนี้ได้”
ไม่รอให้นางถาม เขาก็อธิบายต่อ “อารามจันทร์กระจ่างรุ่งเรืองมาเมื่อหลายพันปีก่อน ตำนานว่าไว้ว่าเป็นสถานที่ที่พระเจ้าอาศัยอยู่ ดังนั้นที่นี่จึงมีบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์อยู่หนาแน่นนัก ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้แล้วว่าพลังวิญญาณที่นี่มีมากมายขนาดไหน แต่เจ้าคงไม่รู้ว่าเมื่อหลายปีก่อน มนุษย์คนใดที่ได้อยู่ที่อารามศักดิ์สิทธิ์ระยะหนึ่งจะสามารถยืดชีวิตออกไปได้หลายสิบปี เพราะพลังวิญญาณที่นี่นับว่าบริสุทธิ์ที่สุด”
“ภายใต้การนำของพระเจ้าไหวพริบหลักแหลมเมื่อครั้งนั้น อารามศักดิ์สิทธิ์จึงกลายเป็นขุมอำนาจที่มั่นคงที่สุดบนแดนเมฆาสวรรค์ เมื่อถึงยามที่พระเจ้าจากไปด้วยเหตุร้าย อารามศักดิ์สิทธิ์จึงเริ่มเสื่อมอำนาจลงและไม่เคยรุ่งเรืองเช่นกาลก่อนได้อีก”
ฟังถึงจุดนี้ ชิงอวี่จึงอดถามขึ้นไม่ได้ “พระเจ้าองค์นี้….. มีชีวิตอยู่มานานเท่าไหร่หรือ?”
“คนแดนเมฆาสวรรค์มีชีวิตนับร้อยปี พออายุเข้าพันปี พลังบำเพ็ญจะสูงขึ้นอีกระดับ อายุขัยยืนยาวขึ้นอย่างน้อยพันปี แต่พระเจ้าองค์นั้น ในปีเดียวกันที่เขาอายุได้หนึ่งพันปี ก็ถูกพบว่า….. สิ้นลมหายใจอยู่ในห้องตนเอง”
ชิงอวี่เบิกตากว้าง ไม่รู้ทำไมในใจถึงคิดเรื่องน่ากลัวขึ้นมาได้ นางตอบเขาไป “เป็นไปได้ไหมว่า….. เขาไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ แต่เป็นการสังหาร?”
“เจ้าพูดถูก”
โหลวจวินเหยาพยักหน้าสีหน้าจริงจัง จ้องมองเด็กสาวในอ้อมแขน “ตอนนั้นเขามีธิดา 11 คน โดยองค์หญิงทั้งหมดมีทั้งความงามและความสามารถ สะท้านทั่วทั้งแดนเมฆาสวรรค์ ในหมู่พวกนาง องค์หญิงสิบเอ็ดและองค์หญิงเก้าโดดเด่นที่สุด เป็นธิดาสองคนที่พระเจ้ารักและตามใจมากที่สุด ว่ากันว่าผู้ที่จะได้เป็นเจ้าอารามศักดิ์สิทธิ์ต้องเป็นหนึ่งในพวกนางทั้งสอง”
“แต่วันหนึ่ง เคราะห์ร้ายก็มาถึงอารามศักดิ์สิทธิ์ องค์หญิงทั้งสิบเอ็ดป่วยเป็นโรคประหลาดคนแล้วคนเล่า กระทั่งเจ้าสำนักเซียนแพทย์ยังทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายก็สิ้นลมไปทีละคน เหลือเพียงสองคน ก็คือองค์หญิงสิบเอ็ดและองค์หญิงเก้าที่จะได้รับช่วงต่ออารามศักดิ์สิทธิ์ไป”
“จากนั้นมา พระเจ้าก็ทั้งรักทั้งปรนเปรอพวกนางยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายธิดาที่เหลืออยู่ทั้งสองได้”
“ต่อมา พระเจ้าก็พบสาเหตุการตายของธิดาทั้งหลาย มันไม่ใช่เพียงโชคร้าย แต่เป็นเพราะมีคนแอบใช้วิชาต้องห้ามต่างหาก”
“อารามศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่อยู่ใก้ลสวรรค์ชั้นฟ้าที่สุด ใครกล้าฝึกวิชาต้องห้ามที่ทำร้ายผู้คนจะต้องถูกลงโทษ โดยบทลงโทษจะส่งต่อถึงญาติสนิทที่สุดอีกด้วย ยิ่งฝึกวิชาต้องห้ามมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีคนถูกสังหารมากขึ้นเท่านั้น”
“สุดท้ายสืบเรื่องดูก็พบว่าคนที่ฝึกวิชาต้องห้ามคือองค์หญิงสิบเอ็ดที่พระเจ้ารักที่สุด ด้วยความโกรธ พระเจ้าเกือบตีองค์หญิงสิบเอ็ดจนตาย สะบั้นความสัมพันธ์พ่อลูก ก่อนจะไล่นางออกจากอารามศักดิ์สิทธิ์”
“ดังนั้นอารามศักดิ์สิทธิ์ย่อมกลายเป็นขององค์หญิงเก้าที่เหลืออยู่คนสุดท้าย”
“คนที่ฝึกวิชาต้องห้าม….. จริง ๆ แล้วไม่ใช่องค์หญิงสิบเอ็ด แต่เป็นองค์หญิงเก้าใช่หรือไม่?” ชิงอวี่ได้ยินเขาเล่าก็เดาเรื่องราวได้
“ถูกต้อง” โหลวจวินเหยาก้มมองใบหน้านางแล้วว่าต่อ “และเจ้าอารามศักดิ์สิทธิ์คนปัจจุบันก็คือองค์หญิงเก้าเมื่อตอนนั้น”
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด…..” ชิงอวี่หรี่ตาลง ลบล้างความรู้สึกทั้งหลายออกไป “องค์หญิงสิบเอ็ดคือท่านแม่ของข้า”
โหลวจวินเหยาถอนใจแผ่วเบา “ถูกต้อง อาหลานคือองค์หญิงสิบเอ็ดที่ถูกขับไล่ออกจากอารามศักดิ์สิทธิ์”
ชิงอวี่กำมือแน่น เอ่ยคำเน้นย้ำชัดเจน “ทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงคิดสังหารกันเล่า!?”
“ในหมู่องค์หญิงทั้งสิบเอ็ด องค์หญิงเก้ากับองค์หญิงสิบเอ็ดสนิทสนมกันที่สุด พวกนางเติบโตมาพร้อมกัน แบ่งปันทุกสิ่งอย่างให้แก่กัน ไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง แต่สุดท้ายความสัมพันธ์ก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยน เริ่มมีความหวาดระแวงเกลียดชังผุดขึ้นมา”
“เพราะพวกนางตกหลุมรักบุรุษคนเดียวกันน่ะ เจ้าคงจะเดาออกว่าคนคนนั้นก็คือบิดาเจ้า หัวหน้าชนเผ่าหมาน ม่อจิ่งอวี้”
โหลวจวินเหยายกยิ้มเหยียดแล้วเอ่ยเสียงเยาะ “บุรุษผู้นั้นเจ้าชู้มาโดยตลอด ได้หัวใจหญิงสาวไปนับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยหยุดกับใคร จนกระทั่งเขาได้พบกับอาหลาน เขาตกหลุมรักนางโดยสมบูรณ์ ขึ้นอย่างไรก็ขึ้นมาไม่ได้ แต่อาหลานไม่ถูกเขาลวงใจ ไม่สนใจเขาสักนิด”
“ว่ากันว่าไม่มีอะไรจะล้ำค่าไปกว่าการที่คนกลับใจ เรื่องนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น ใจเขาถูกนางชิงเอาไป มีหรือที่อาหลานจะทนให้เขาตามตื๊อไปได้ตลอด? สุดท้ายนางจึงเปิดใจยอมรับเขา”
“ทว่าตอนนั้นองค์หญิงเก้าก็ตกหลุมรักเขาเช่นกัน เมื่อพบว่าบุรุษที่ตนปักใจไปรักน้องสาวที่นางสนิทที่สุด นางก็หัวใจสลาย”
“คนหนึ่งคือชายที่นางรักยิ่งนัก อีกคนคือน้องสาว นางเกลียดหรือไม่พอใจก็ไม่ได้ สุดท้ายนางก็ละทิ้งศักดิ์ศรี ขอร้องให้ม่อจิ่งอวี้รับพวกนางไปทั้งสอง ด้วยนางไม่รังเกียจที่จะแบ่งสามีร่วมกันกับน้องสาว”
“แล้วท่านพ่อ….. ก็ปฏิเสธนาง?” ชิงอวี่เอ่ยเสียงลังเล
โหลวจวินเหยาหัวเราะเสียงดัง “ไม่เพียงปฏิเสธนาง เขายังกล่าววาจาชั่วร้าย สะบั้นความรักความห่วงใยทั้งหลายที่นางอาจวาดหวังเอาไว้”
“นับแต่นั้นมา องค์หญิงเก้าก็เปลี่ยนไป นางรู้สึกราวกับทั้งโลกหักหลังนาง หัวใจมืดสนิทบิดเบี้ยว เริ่มบำเพ็ญเพียรอย่างบ้าคลั่งเพื่อให้คนแข็งแกร่ง ใช้วิชาต้องห้ามสร้างใบหน้าให้ดูเด็กลงเรื่อย ๆ และงดงามมากกว่าเดิม นางคิดว่านางต้องโดดเด่นงดงามกว่าน้องสาวเพื่อให้ม่อจิ่งอวี้มองนางเสียใหม่”
“นางแกร่งและงดงามมากขึ้นก็จริง แต่ก็สูญเสียความใสซื่อบริสุทธิ์ที่เคยมีไป คนทั้งหลายไม่ได้มองนางด้วยความอิจฉาหรือสายตาบริสุทธิ์อีกต่อไป หากแต่เป็นความหวาดกลัวแทน”
“ความตายของบิดาผู้เป็นพระเจ้าไม่เพียงเป็นบทลงโทษเพราะนางฝึกวิชาต้องห้าม แต่หลัก ๆ เป็นเพราะเขาค้นพบความจริงที่นางฝึกวิชานั้นจึงออกคำสั่งให้จัดการนาง”
“ถึงตอนนั้น พลังบำเพ็ญของนางกล้าแกร่งจนพระเจ้าก็ยังไม่อาจต้านนางได้ อีกทั้งนางยังฝึกวิชาต้องห้ามจนกลืนความเป็นมนุษย์และเหตุผลทั้งหลายไป เพื่อไม่ให้บิดาเปิดโปงความลับของนาง นางจึงใช้วิชาต้องห้ามดูดเอาพลังบำเพ็ญชั่วชีวิตของบิดาตนมาจนหมด บนแดนเมฆาสวรรค์นั้น พลังบำเพ็ญเกี่ยวพันกับอายุขัย ดังนั้นเมื่อไร้พลังบำเพ็ญ เขาจึงสิ้นใจลง นั่นเป็นสาเหตุการตายที่แท้จริงของเขาในปีที่เขาจะมีอายุครบพันปี”
ชิงอวี่นั่งฟังเรื่องราวเงียบ ๆ จากนั้นพลันเงยหน้าขึ้นถาม “ระหว่างท่านกับนาง….. ใครจะแกร่งกว่ากัน?”
“พวกข้ายังไม่มีโอกาสเปรียบเทียบจึงยังไม่รู้” โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วตอบ นัยน์ตามีแววประหลาด “แต่นางเคยส่งคำเชิญมายังแคว้นมารอยู่หลายครั้ง และข้าก็ปฏิเสธไปทั้งหมด”
“คำเชิญ?”
“อืม นางเคยประกาศต่อหน้าทุกคนว่า…..” ชายหนุ่มหยุดไปดูลังเล จู่ ๆ ก็ดูเหมือนจะเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย
“หือออ?” ชิงอวี่ส่งเสียงเชิงถาม รอให้เขาเล่าต่อ
โหลวจวินเหยากระแอมเบา ๆ สองครา “ว่า….. ข้าเป็นบุรุษประเภทที่นางชื่นชอบ…..”
ชิงอวี่เกือบสำลักน้ำลายตนเองยามได้ยิน นางกลั้นขำจนไหล่สั่น “แล้วท่านตอบกลับไปอย่างไร?”
สีหน้าย่ามใจนางไม่คิดปิดบังสักนิด
โหลวจวินเหยาใช้หางตามองนางเหยียด ๆ อยู่บ้าง “จะให้พูดอะไรได้อีก? ข้าก็ต้องปฏิเสธสิ! นางน่ะอย่างน้อย ๆ ก็มีอายุได้ห้าร้อยปีไม่ก็แก่กว่านั้น เป็นแม่ข้าได้ด้วยซ้ำ! อีกทั้งจิตใจนางอำมหิตเช่นนั้น ข้าคงไม่โชคดีมีชีวิตรอดผ่านเงื้อมือนางไปได้หรอก”
“อ้อ” ชิงอวี่พยักหน้าหน้าขึงขัง จากนั้นกะพริบตาใสถาม “แต่ได้ยินว่าท่านเจ้าอารามเป็นโฉมสะคราญแห่งแดนเมฆาสวรรค์ ท่านไม่หวั่นไหวสักนิดเลยหรือ?”
“หึ! โฉมสะคราญอะไรกัน? ยังห่างจากอาหลานอีกมากนัก หากนางถอดหน้ากากสาวงามที่ใช้วิชาชั่วร้ายสร้างขึ้นมาออก ใครจะไปรู้ว่าจะมีหน้าตาอัปลักษณ์เพียงไหน?” โหลวจวินเหยาหัวเราะหยามเหยียด
ชิงอวี่เพียงยิ้ม
เวลาค่อย ๆ หมุนไป ราตรีมืดมิดค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นรุ่งสาง ชิงอวี่รู้สึกง่วงอยู่เล็กน้อย ส่วนชายหนุ่มก็ไม่อยากจากไปเร็วนัก ดังนั้นจึงนั่งบนเตียงเมฆนั่นต่ออีกสักหน่อยโดยมีนางอยู่ในอ้อมแขน
แต่ภาพชวนอบอุ่นหัวใจก็อยู่ได้ไม่นานนัก
“อวี่ชิง ท่านเจ้าอาราม….. เจ้าเป็นใครน่ะ?!”
ชิงอวี่เพิ่งหลับไปได้ไม่นาน ยามได้ยินเสียงร้องโกรธดังขึ้นก็ยังมึนงงอยู่
นางตกใจตื่นเต็มตา เห็นเยว่เฝินจ้องนางด้วยความดุดัน ใบหน้าสะอาดสะอ้านดูน่ากลัวนัก ในมือปรากฏดาบสีดำขึ้นมา จากนั้นก็ตวัดเข้าใส่ชายหนุ่มชุดม่วงข้างกายนางทันที
โหลวจวินเหยาหลับตานิ่ง เปิดเปลือกตาขึ้นน้อย ๆ อย่างไร้อารมณ์ยามได้ยินเสียงดัง ไม่คิดกังวลดาบที่กำลังตวัดเข้ามาแต่อย่างไร เขากอดเด็กสาวไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็หายไปในทันที
ถึงตอนที่เยว่เฝินดึงสติกลับมาได้ก็พลันรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา ยังไม่ทันตั้งตัวภาพตรงหน้าก็มืดสนิท พลันหมดสติไปเช่นนั้น