สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 24 ชีวิตคนเป็นดั่งละครบทใหญ่บทหนึ่ง
- Home
- สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!
- บทที่ 24 ชีวิตคนเป็นดั่งละครบทใหญ่บทหนึ่ง
บทที่ 24 ชีวิตคนเป็นดั่งละครบทใหญ่บทหนึ่ง
มีแต่สตรีที่มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้
สีหน้าแต่ละคนดูน่าสนใจยิ่งนัก
มีทั้งสีหน้าแคลงใจ สีหน้าประหลาดใจ สีหน้าซับซ้อนต่างปรากฏขึ้นบนใบหน้าพวกนาง ทว่ากลับไม่มีใครทำสีหน้าชื่นมื่นเลยสักคนเดียว
ทุกคนในจวนอ๋องต่างรู้ดีว่าพระชายาเอกไม่ใช่คนเรียบง่าย ถึงคนภายนอกจะชื่นชมนางว่าเป็นพระชายาที่เพียบพร้อมและมีคุณธรรม ทั้งอ่อนโยนและมีจิตใจเมตตา ทว่ามีแต่คนที่ได้ใกล้ชิดกับนางเท่านั้นจึงจะรู้ว่าสตรีผู้นี้ไม่ได้ไร้พิษภัยอย่างที่เปลือกนอกแสดง
พวกนางนั่งมาแล้วกว่าสองชั่วโมง พระชายายังไม่มาเลยด้วยซ้ำ
นางเป็นคนส่งบ่าวมาแจ้งเตือนแท้ ๆ และด้วยทุกคนต่างก็ต้องเคารพนาง จึงมาก่อนเวลาถึงสิบห้านาที ทว่าตอนนี้เวลาสองชั่วโมงผ่านพ้นไป ยังคงไร้วี่แววพระชายา
หากแต่ไม่มีใครกล้าท้วงติง อีกฝ่ายไม่เพียงเป็นนายหญิงของจวนหย่งอันอ๋องเท่านั้น นางยังเป็นธิดาคนเดียวของแม่ทัพโม่ผู้สูงศักดิ์ รับใช้ฮ่องเต้มาแล้วถึงสองพระองค์ เมื่อมีฐานะทางบ้านเดิมคอยหนุนหลังอยู่เช่นนี้ย่อมทำให้ผู้อื่นยอมกล้ำกลืนความไม่ยุติธรรมลง ไม่กล้าเอ่ยอันใด
หลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป พวกนางจึงเริ่มเห็นเงาร่างคนสองคนค่อย ๆ เดินเข้ามาจากด้านนอก
คนหนึ่งอยู่ในชุดสีน้ำตาลแดงดูน่ารัก คือข้ารับใช้ส่วนตัวที่พระชายาวางใจที่สุด เหยียนเฟย
นางกำลังพยุงแขนสตรีอีกคนในชุดทางการสีน้ำเงินดูสวยสง่า คนผู้นั้นมีร่างผอมบาง ผิวพรรณงดงามนุ่มลื่น ดูยังสาวยังสวย แม้จะมีอายุเกือบสี่สิบปีแล้วก็ตาม หากแต่นางยังสามารถคงความสาวไว้ได้ราวกับเพิ่งแต่งงานใหม่ ๆ เป็นความงามที่จับใจผู้คนเอาไว้ได้จนถึงตอนนี้
ดูท่าเวลาหลายปีที่นางเก็บตัวสันโดษในเรือน คงจะไม่ได้กินแต่พืชผักกระมัง!
ในใจสตรีทุกคนตรงนั้นต่างเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและความเกลียดชัง ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเสียมารยาท ต่างลุกขึ้นทำความเคารพในทันที “ทำความเคารพพระชายา”
โม่หานเยียนเดินเข้ามายังที่นั่งประธานช้า ๆ หลังจากนั่งลงแล้ว นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “นั่งได้!”
“ขอบพระคุณ พระชายา!”
“ตัวข้ารู้สึกไม่สบายนัก ที่ผ่านมางดเนื้อสัตว์ทำร่างกายให้สะอาด เลยมาช้าไปสักหน่อย ทำให้ทุกท่านต้องรอนานเลยสินะ” โม่หานเยียนกล่าว ดูสุภาพมีมารยาทยิ่ง ทว่าภายใต้คำพูดนั้นไร้ซึ่งคำขอโทษ
“ฮะ ๆ พระชายาเกรงใจเกินไปแล้ว พวกเรารอสักหน่อยย่อมไม่เป็นปัญหา สุขภาพร่างกายท่านสำคัญกว่า” มีใครไม่รู้ว่าควรต้องพูดคำใดในเวลานี้บ้าง? ไป๋ฉิง พระชายารองที่นั่งอยู่ด้านซ้ายนั้นฉลาดนัก เป็นผู้ที่เข้าสังคมเก่ง มีฝีมือในด้านการไกล่เกลี่ยสถานการณ์ต่าง ๆ นางสามารถปรับบรรยากาศที่ตึงเครียดโดยรอบให้ผ่อนคลายลงได้อย่างง่ายดาย
“เช่นนั้นก็เริ่มรับประทานอาหารเถิด!” โม่หานเยียนยกยิ้ม ดูเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกดูถูก ทันใดนั้นนางก็กวาดสายตามองไปโดยรอบ “เด็กสองคนจากเรือนสงบเงียบเล่า?”
วินาที่ที่ประโยคนั้นหลุดออกมา ทุกคนก็เริ่มมองซ้ายขวา ทว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่พบคน
ผู้คนส่วนมากไม่ได้ใส่ใจคนที่อาศัยอยู่ในเรือนสงบเงียบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แทบจะจำหน้าไม่ได้ด้วยซ้ำ
หากแต่เยี่ยนซีโหรวและเยี่ยนซีอู่ ทั้งสองคนเพิ่งเห็นหน้าชิงอวี่เมื่อไม่นานมานี้ รู้แน่ชัดว่านางไม่ได้มาร่วมงาน ตั้งแต่ที่พวกนางไปหาเรื่องสองพี่น้องที่เรือนสงบเงียบครานั้นจนโดนตอกกลับมา คุณหนูทั้งสองก็ทำท่าราวกับถูกสิง อยากปกป้องน้องทั้งสองอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ดังนั้นจึงปิดปากเงียบ ไม่กล่าวคำใดออกมา
“เหยียนเฟย เจ้าแน่ใจหรือว่าได้ไปส่งข่าวให้ทุกคนทราบแล้ว?” โม่หานเยียนนัยน์ตาดำมืด บนใบหน้าเริ่มปรากฏร่องรอยความโกรธเกรี้ยว
เหยียนเฟยที่อยู่ข้างนางรีบตอบ “พระชายา เรือนสงบเงียบเป็นเรือนแห่งแรกที่บ่าวไปแจ้งข่าว บ่าวไม่ทราบว่าเหตุใดคุณหนูและคุณชายรองจึงไม่มาร่วมงาน”
โม่หานเยียนพลันวางตะเกียบเงินลงกับโต๊ะเสียงดังตึง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “กำเริบเสิบสานนักนะ!”
เสียงดังตึงนั่นส่งผลให้ทุกคนตกอกตกใจ ทุกคนพลันใจเต้นแรงด้วยความไม่สบายใจขึ้นมา
บนใบหน้าโม่หานเยียนราวกับมีเมฆดำปกคลุม น่ากลัวยิ่งนัก
นางจงใจมาสายถึงสองชั่วโมงเพื่อทำให้สตรีเหล่านี้รู้ว่านายหญิงที่แท้จริงของจวนอ๋องแห่งนี้คือใคร
นางไม่คิดว่าจะมีคนกล้าท้าทายนางเช่นนี้!
“พระยาชา โปรดระงับอารมณ์ ให้บ่าวไปแจ้งที่นั่นอีกครั้ง…..” เหยียนเฟยเอ่ยถามเสียงนุ่ม
“ไม่ต้อง!” โม่หานเยียนส่งเสียงเหอะออกมา “พระชายาผู้นี้จะไปเอง”
ได้ยินดังนั้น เกรงว่าสองพี่น้องที่เรือนสงบเงียบคงไม่อาจได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกต่อไป
ในตอนที่ทุกคนต่างคิดไปต่าง ๆ นานา ก็พลันมีเสียงคล้ายล้อเคลื่อนค่อย ๆ ดังเข้ามาใกล้ จากนั้นร่างบางในชุดขาวของเด็กสาวก็ปรากฏขึ้น นางกำลังเข็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็น
เด็กสาวหน้าตางดงามหยดย้อย เพียงมองครั้งหนึ่งก็ทำให้ใจคนสั่นไหว
เด็กหนุ่มบนเก้าอี้เข็น แม้จะมีใบหน้าซีดขาวดูอ่อนแอ ทว่าหน้าตาโดดเด่นยิ่ง เป็นความหล่อเหลาที่น่าทะนุถนอม
เด็กสาวค่อย ๆ เข็นเก้าอี้เข็นมาเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน
ชิงอวี่กวาดสายตามองรอบห้องหนึ่งครั้ง ส่งยิ้มและพยักหน้าน้อย ๆ ให้สตรีในห้อง ก่อนจะหันไปมองสตรีใบหน้างดงามที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลักที่แสดงสีหน้าไม่เป็นมิตรนัก
“ขออภัยด้วย พระชายา น้องชายข้าขาพิการทั้งสองข้าง ไม่สามารถเดินมาเองได้ ส่วนข้าก็ร่างกายไม่แข็งแรง จึงได้มาสายเช่นนี้” ชิงอวี่เอ่ยเสียงเบา ใบหน้าแสดงออกถึงความรู้สึกผิดอย่างเห็นได้ชัด
เดิมทีหน้าตานางก็สะสวยมากอยู่แล้ว ตอนนี้ที่นางขมวดคิ้วสำนึกผิด ยิ่งดูน่ารักน่าสงสารมากกว่าเดิม
หากแต่โม่หานเยียนไม่มีความรู้สึกอันใด นางจ้องมองใบหน้าที่มีรูปโฉมงดงามเกินไปดวงนั้นนิ่ง “ข้ารอพวกเจ้านานสองชั่วโมงเต็ม ร่างกายเจ้าอ่อนแอถึงเพียงไหนถึงต้องใช้เวลาเดินทางมาถึงสองชั่วโมงเช่นนี้?”
วินาทีที่คำพูดประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากพระชายา สตรีคนอื่น ๆ ต่างพากันสาปแช่งนางอยู่ในใจ นายไม่ละอายใจหน่อยหรือไร? ปล่อยให้พวกนางนั่งรอถึงสองชั่วโมงเต็มเช่นนี้เป็นการวางอำนาจอย่างเห็นได้ชัด พูดเช่นนั้นออกมาได้ไม่อายตนเองบ้างหรือ?
ตั้งแต่นางมาถึงจนนั่งลงบนเก้าอี้ เก้าอี้ยังไม่ทันอุ่นเลยกระมัง!
ด้วยสตรีหลายนางต่างรู้สึกไม่พอใจต่อโม่หานเยียน พวกนางจึงเริ่มรู้สึกสงสารชิงอวี่
พี่น้องคู่นี้มีชีวิตยากลำบาก วันนี้คงถึงคราวเคราะห์เสียแล้ว
โม่หานเยียนคอยจ้องจับผิดพวกนางเช่นนี้ ชิงอวี่จึงยิ่งมีใบหน้าโศกเศร้าเหลือคณา “พระชายา….. ท่านก็รู้ว่าเรือนสงบเงียบนั้นเป็นเรือนที่อยู่ห่างไกลที่สุดในจวนหย่งอันอ๋อง….. เดินจากที่นั่นมาจนถึงเรือนใหญ่ใช้เวลาสองชั่วโมง….. นับว่าเร็วมากแล้ว”
สิ่งที่นางกล่าวไม่ใช่เรื่องโกหกเสียทีเดียว จวนหย่งอันอ๋องเป็นจวนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรองจากพระราชวัง หากต้องการเดินทางให้ทั่วทั้งจวน จำต้องใช้รถม้าหรือเกี้ยวในการเดินทาง หากเดินเท้าจนทั่วจวนอ๋องคงได้เท้าบวมเป็นแน่
ท่ามกลางนายหญิงและคุณหนูที่สวมเสื้อผ้าอย่างดี มีอาหารล้ำเลิศ ได้รับการดูแลทุกอย่างเหล่านี้ หากให้พวกนางต้องเดินทั้งชั่วโมง เกรงว่าคงจะเป็นลมล้มพับอยู่กับพื้นจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้
และเรือนสงบเงียบนั้นเป็นเรือนที่อยู่ห่างไกลที่สุดในจวนอ๋องอย่างแท้จริง
เทียบกับเรือนอื่น ๆ แล้ว บางคนอยู่เรือนที่ห่างไกลออกไปบ้างก็จริง ทว่ายังสามารถมาถึงเรือนใหญ่ภายในเวลาไม่นานได้ ที่ห่างไกลที่สุดใช้เวลาอย่างมากก็หนึ่งชั่วโมง
หากต้องเดินทางไปยังเรือนสงบเงียบจริง นั่งรถม้าคงใช้เวลาราวหนึ่งชั่วโมง ไม่ต้องกล่าวถึงเด็กสองคนที่เกิดจากมารดาชาติกำเนิดต่ำต้อยสองคนนั้นซึ่งไม่มีโอกาสแม้แต่มีรถม้าเป็นของตนเองเลย
ดังนั้นในใจพวกนางจึงเริ่มรู้สึกสงสารเด็กสองคนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
โม่หานเยียนไม่คิดว่าเด็กสาวจะกล้าตอบกลับ นางเบิกตากว้างด้วยความโมโห “เจ้ากำลังกล่าวหาว่าพระชายาผู้นี้ทำให้เจ้าต้องลำบากลำบนงั้นหรือ?”
“ชิงอวี่ไม่กล้า หากแต่….. พวกเราไม่ได้ตั้งใจมาสาย ขอพระชายาอย่ากล่าวโทษพวกเราเลย” เด็กสาวก้มมองลงต่ำอย่างยอมจำนน ท่าทางใสซื่อน่าสงสารจับใจ ส่งผลให้โม่หานเยียนไม่อาจหาเรื่องชิงอวี่ได้อย่างที่ใจต้องการ
“ช่างเถอะ นั่งลงแล้วเริ่มรับประทานอาหารได้แล้ว!” โม่หานเยียนขมวดคิ้ว ก่อนจะเป็นคนแรกที่หยิบตะเกียบขึ้น งานเลี้ยงวันนี้เริ่มต้นช้ามากเกินควร ดังนั้นนางจึงรู้สึกหิวอยู่บ้าง
ชิงอวี่ทำความเคารพ ก่อนจะเข็นชิงเป่ยเข้าไปยังโต๊ะใหญ่แล้วนั่งลงบนที่นั่งของตนเอง เพราะมาช้าที่สุด ทั้งสองคนจึงนั่งอยู่หลังสุด
บรรยากาศระหว่างรับประทานอาหารนั้นเงียบเชียบ พวกนางต่างเป็นสตรีที่มีสกุล ได้รับการสั่งสอนมารยาทมาเป็นอย่างดีตั้งแต่ยังเด็ก เช่น ยามรับประทานไม่พูดคุย ยามนอนต้องไร้เสียง ยามเคี้ยวต้องไม่ส่งเสียงใด
ทว่าในวันนี้ พวกนางดูท่าจะไม่อาจรักษาความเงียบสงบอย่างที่ควรไว้ได้
ทันใดนั้นเอง ทุกคนต่างถือตะเกียบมองค้าง สายตาจดจ้องไปที่ปลายสุดของโต๊ะใหญ่อย่างพูดอะไรไม่ออก
“เสี่ยวเป่ย เจ้ากินนี่ อืม….. จานนี้อร่อยนัก”
“กินเนื้อให้มากหน่อย ดูสิว่าเจ้าผอมแห้งเพียงไหน เด็กบ้านอื่นที่อายุเท่าเจ้าตัวโตกว่าเจ้าทั้งนั้น”
“กินอีกหน่อยเถอะ กินให้อิ่มเสียตั้งแต่ตอนนี้จะได้ไม่ต้องไปกินตอนดึกอีก ข้าไม่เคยกินอะไรที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย”
“การใช้ชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าจะได้กินอาหารมื้อต่อไปเมื่อไหร่นั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญ พระชายาจิตใจเมตตา เชิญพวกเรามาร่วมโต๊ะอาหารด้วย”
…..
ชิงอวี่กวาดอาหารทุกอย่างเข้าปาก ทั้งยังคอยคีบอาหารไปใส่ชามชิงเป่ยจนพูนขึ้นมาเป็นภูเขาลูกเล็ก
ในชามเขามีเนื้ออยู่ทุกประเภท เป็นภูเขาลูกเล็กที่มันเยิ้มยิ่งนัก เด็กหนุ่มไม่กล่าวอะไร เพียงแต่ก้มหัวลงต่ำ ค่อย ๆ กินไปทีละนิด ดูท่าทางเขินอายยิ่ง
ทว่าไม่มีใครล่วงรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่เขาต้องก้มหัวลงต่ำเช่นนั้น แท้จริงแล้วเขากำลังพยายามกลั้นหัวเราะอย่างเต็มกำลัง ดังนั้นจึงก้มหน้าลง ไม่ต้องการให้ผู้ใดได้ยินเสียงใด สวรรค์โปรด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นด้านนี้ของพี่สาว นางแสดงละครสมจริงนักจนเขาเกือบจะเชื่อแล้ว
ชิงอวี่ยังคงพูดไปกินไปไม่หยุด เสียงเคี้ยวอาหารของนางนั้นยังดังเป็นพิเศษอีกด้วย
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ นางยังเลื่อนอาหารจานที่นางโปรดปรานมาไว้ตรงหน้าตนเองก่อนจะจัดการเสียไม่มีเหลือ ทำท่าราวกับหิวโหยมานานนับปี
ยัดเข้าปากคำแล้วคำเล่า ทุกคนได้แต่มองแล้วสงสัยว่าท้องเล็ก ๆ ของนางรับอาหารมากมายขนาดนั้นเข้าไปได้อย่างไร
“ไร้มารยาทหยาบคายยิ่งนัก!” โม่หานเยียนโกรธจัดจนหน้าแดง “คุณหนูจวนหย่งอันอ๋องผู้สูงศักดิ์กลับไร้มารยาทไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนเช่นนี้ มองตัวเจ้าตอนนี้สิ ไม่ต่างกับพวกคนชั้นต่ำในตลาด ตัวข้า พระชายาผู้นี้ทำผิดต่อพวกเจ้า ไม่มีอาหารให้พวกเจ้ากินมากพอหรืออย่างไร!?”
ชิงอวี่กำลังกินอาหารอย่างมีความสุข เมื่อตกใจกะทันหันจึงสำลักอาหาร รีบคว้าน้ำมาดื่มลงคอก่อนหอบหายใจ
“พระชายา น้องชายข้ากับตัวข้าไม่มีโอกาสกินอาหารดี ๆ เช่นนี้มานานแล้ว ทุกวันมีเพียงซาลาเปาสองลูก….. ดังนั้นจึงหิวมากเกินไปเท่านั้น” ชิงอวี่พูดก่อนก้มหัวลงต่ำด้วยความโศกเศร้า “ข้าไม่กินยังไม่เป็นไร หากแต่น้องชายข้าสุขภาพไม่สู้ดี ทุกวันเห็นเขากินไม่อิ่มทำให้ข้าปวดใจยิ่งนัก ข้าเข้าใจดีว่าในจวนอ๋องมีคนมาก ต้องอยู่อย่างอดอยาก ท่านพ่อก็ออกไปสู้รบกับศัตรูอยู่ที่สมรภูมิ จึงไม่กล้าเอ่ยปากร้องขอสิ่งใดมาก เพียงแต่ต่อไปขอซาลาเปาให้มากหน่อย…..”
ทำท่าราวกับเศร้าโศกเสียใจจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เด็กสาวยิ่งก้มหน้าลงต่ำ ไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก ไหล่บางทั้งสองข้างสั่นไหวราวกับกำลังสะอื้นไห้
“แค่ก ๆ…..” ในตอนที่ชิงอวี่กล่าวออกไปเสียงสะอื้นนั่นเอง เสียงไอที่ดูราวกับพยายามกลั้นไว้ของเด็กหนุ่มร่างกายอ่อนแอเปราะบางก็ดังมาให้ได้ยินสองสามครา ยิ่งทำให้พวกเขาดูน่าสงสารสารมากขึ้นไปอีก
เหล่าสตรีที่นั่งอยู่ยกเว้นโม่หานเยียนต่างรู้สึกสงสารพี่น้องคู่นี้จับใจ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
พระชายาเอกใจแคบเกินไปจริง ๆ ทั้งสองคนยังเด็กนัก แต่นางกลับปฏิบัติกับพวกเขาอย่างโหดร้ายทารุณเช่นนี้
หากเด็กสาวไม่เอ่ยปากพูดขึ้นมาในวันนี้ พวกนางก็คงไม่รู้ว่าจวนหย่งอันอ๋องต้องประหยัดมมัธยัสถ์ถึงเพียงนี้
กระทั่งข้ารับใช้ยังได้กินเนื้อทุกมื้อ ถึงเรือนสงบเงียบจะไม่ได้รับความโปรดปราด แต่อย่างน้อยเด็กสองคนก็เป็นคุณหนูและคุณชายน้อยอย่างถูกต้องของจวนหย่งอันอ๋อง ให้เด็กทั้งสองคนได้กินอิ่มนอนหลับมันยากขนาดนั้นเลยหรือ?
เมื่อโม่หานเยียนเห็นเหล่าสตรีด้านล่างส่งสายตาตำหนิติเตียนมา นัยน์ตาทั้งสองข้างของนางก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น นางทุบโต๊ะเสียงดังก่อนแผดเสียงขึ้น “ไร้สาระสิ้นดี!”