สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 240 ภาพคุ้นตา
ตอนที่ 240 ภาพคุ้นตา
ตอนที่ 240 ภาพคุ้นตา
เมื่อม่อจิ่งอวี้เดินออกมาหาภรรยา เขาก็ประหลาดใจที่เห็นว่ามีหนูน้อยอยู่ในห้องนางด้วย
เขาจึงยืนอยู่นอกประตูไม่เข้าไปด้วยความฉงน
“พี่เฟย ไม่ไปไม่ได้หรือ? เสี่ยวเยว่ไม่อยากให้ท่านไป” น้ำเสียงไร้เดียงสาของหนูน้อยเอ่ยไม่ยินยอม
ม่อจิ่งอวี้เลิกคิ้ว เฟยเอ๋อร์ไปทำความรู้จักกับหนูน้อยในเผ่าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ภายในห้อง ชิงหลานเฟยมองหนูน้อยที่กำลังพิงไหล่นาง ใบหน้างามคลี่ยิ้มจนใจ “อาเยว่ ข้าก็ไม่อยากจากเจ้าไป แต่ข้ามีเรื่องสำคัญต้องจัดการ ข้าสัญญาว่าจะกลับมาเยี่ยม ดีหรือไม่?”
“ท่านพาอาเยว่ ไปด้วยไม่ได้หรือไร?” เด็กน้อยอ้อนวอน
นางพูดจบ ชิงหลานเฟยก็เข้าใจความ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “อาเยว่ ตอบมาตามตรง….. เจ้าคิดจะหนีท่านปู่ออกไปเล่นใช่หรือไม่?”
เด็กน้อยหน้าตาอับอายอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเบ้ปากเอ่ยเสียงเศร้าแผ่วเบา “ไม่ใช่สักหน่อย…..”
ชิงหลานเฟยมองหนูน้อยออกทันที แม้นางจะชอบเด็กน้อยมาก แต่ก็ไม่ถูกอีกฝ่ายหลอกได้ง่าย ๆ นางจึงเอ่ยเสียงอ่อนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “เจ้ายังเด็กนัก โลกภายนอกเต็มไปด้วยอันตรายที่เจ้านึกไม่ถึง เจ้าต้องรอจนกว่าเจ้าจะแข็งแกร่ง สามารถปกป้องตนเองได้ เจ้าถึงจะก้าวออกเผชิญโลกภายนอกได้”
อาเยว่ไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็ยังพยักหน้ารับฟัง “ข้าจะฟังคำพี่เฟย เช่นนั้น….. ท่านจะกลับมาอีกใช่หรือไม่?”
“ย่อมต้องกลับมา” ชิงหลานเฟยพยักหน้าพลางยิ้ม
นัยน์ตากลมโตของอาเยว่จึงทอประกายยินดี นางกอดเอวชิงหลานเฟยไว้แน่นราวกับลูกแมวน้อยน่ารักตัวหนึ่ง
เห็นภาพนั้นแล้วม่อจิ่งอวี้จึงกระแอมเสียงเบาแล้วเดินเข้ามา
ยามอาเยว่เห็นชายหนุ่มที่ไม่เคยพบมาก่อนเดินเข้ามา นางก็สะดุ้งโหยง แต่พอมองดูดี ๆ เหมือนจะรู้สึกว่า….. นางเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อนกันหนอ?
นางกะพริบตาหลายครา ชั่วอึดใจจึงจำได้ นางจ้องเขาแล้วเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ท่าน….. ท่านมาจากห้องลับแห่งนั้น….. บุรุษคนงามที่หัวหน้าเผ่าแอบเก็บไว้เป็นคนรักลับ ๆ ไม่ใช่หรือไร?”
แอบเก็บไว้เป็นคนรักลับ ๆ?
บุรุษคนงาม??
ม่อจิ่งอวี้ได้ยินก็หน้าทะมึนไปส่วนชิงหลานเฟยหลุดหัวเราะเสียงใสออกมา
หนูน้อยกล้าพูดเรื่องดำมืดเช่นนี้ออกมาได้ นางกล้าใช้คำว่าคนรักลับ ๆ กับคนผู้นี้ได้ลงหรือ?
แต่ด้วยเหยียนจูหน้าตาเหมือนคุณลุงอายุโรยรา ส่วนม่อจิ่งอวี้นั้นเทียบแล้วยังหนุ่มแน่นหล่อเหลา มันก็อดทำให้จินตนาการไปไกลไม่ได้…..
และชิงหลานเฟยคิดแล้วก็ขบขันนัก
เห็นเขาหน้าทะมึนไปเช่นนั้น อาเยว่ก็ไม่กลัว หากแต่มองเขาด้วยสายตาฉงนพลางเอียงคอถาม “เอ๋? ข้าเข้าใจผิดไปหรือ? ก็ท่านเป็นคนที่นอนอยู่ในห้องลับนั่นแท้ ๆ สมัยก่อนที่ข้าแอบตามท่านหัวหน้าเผ่าไป ข้าก็เห็นเขาแอบไปพบท่านอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังพูดเรื่องมากมายให้ท่านฟัง เขายังเคยบอกว่าคิดถึงท่านเลยนะ…..”
“……”
ใบหน้าของม่อจิ่งอวี้ไม่อาจพูดได้ว่าทะมึนได้อีกต่อไป แต่มันมืดมนมากราวกับถูกหยดหมึกใส่ทีเดียว
ชิงหลานเฟยก้มหน้าหลบอยู่ด้านข้าง พยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ หากแต่ไหล่กลับสั่นอย่างคุมไม่อยู่
จะโทษนางก็ไม่ได้ ลองนึกภาพเหยียนจูกับม่อจิ่งอวี้อยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่นสงบสุขเช่นนั้นแล้วมันก็อดรู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมาไม่ได้จริง ๆ
ม่อจิ่งอวี้ส่งสายตาไร้อารมณ์มองใบหน้าใสซื่อของหนูน้อยก่อนจะคว้าร่างชิงหลานเฟยเข้ามา จากนั้นก็เอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าก็หัวเราะข้างั้นหรือ”
ชิงหลานเฟยรีบหุบยิ้มกว้างบนหน้าแล้วส่ายหัวทันที “ข้าไม่ได้หัวเราะท่าน เพียงคิดว่าเหยียนจูดูแลท่านดีมากก็เท่านั้น”
“เขาเป็นเหมือนพี่น้อง ย่อมต้องดูแลข้าดี”
มีหรือที่ม่อจิ่งอวี้จะไม่รู้ความคิดนาง หากแต่เขาไม่อยากเปิดโปงนางก็เท่านั้น เขาเหลือบมองหนูน้อยด้านข้างแล้วเอ่ยขึ้น “ไปเถอะ ข้าบอกลาเหยียนจูเรียบร้อยแล้ว”
“ได้”
— อารามจันทร์กระจ่าง —
หลังจากเผชิญหน้ากันวันนั้น ชิงลั่วเยี่ยนก็ไม่ส่งคนมาเรียกชิงอวี่อีก
ไม่เพียงเพราะใบหน้าที่เหมือนกับใครคนหนึ่งเป็นอย่างมาก แต่เป็นเพราะชิงอวี่นั้นไม่เหมือนกับแม่นางน้อยธรรมดา นางดูเหมือนคนที่ถูกรังแกได้ง่าย แต่แท้จริงแล้วกลับสามารถแสร้งทำเป็นหมูกินเสือได้
ในเมื่อใจยังมีความสงสัยติดค้าง ชิงลั่วเยี่ยนจึงยังเก็บนางไว้ข้างตัวก่อนจะคลายความสงสัยได้หมด
“อวี่ชิง ในฐานะผู้ช่วย เจ้ากลับไม่ทำหน้าที่ กลับมาแอบขี้เกียจอยู่ที่นี่ คิดว่าสมควรแล้วหรือ?”
น้ำเสียงเยียบเย็นฟังดูคุ้นหูเอ่ยขึ้นเจือด้วยความโกรธ ปลุกชิงอวี่ที่ยังสะลึมสะลือให้ตื่นขึ้น
นางหาวหวอดออกมา นัยน์ตายังสับสน ก่อนเอ่ยเสียงแหบน้อย ๆ ยังคงง่วงงุน “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
เจ้าโหลวจวินเหยาผู้นั้นมาหานาง ไม่ยอมให้นางได้นอนเกือบทั้งคืน อีกทั้งมาทีไรก็ฉวยโอกาสมือไวกับนางตลอด ใช้ข้ออ้างง่าย ๆ ว่าต้องดูให้แน่ใจว่านางไม่ถูกรังแกหรือบาดเจ็บที่ตรงไหน ทำให้นางต้องใช้ทั้งพลังกายและพลังใจเป็นอย่างมาก
นางเพิ่งจะได้พักผ่อนยามเขาจากไปไม่นาน แต่ที่ขอบฟ้ายังไม่ทันมีแสงลอดออกมา บุรุษผู้นี้ก็มารบกวนเวลานอนนางแล้ว น่าแค้นนัก!
เด็กสาวใบหน้างดงามกำลังนอนผมสยายอยู่บนเตียงเมฆนุ่ม นัยน์ตาหงส์เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ยังดูไม่กระจ่างด้วยเพิ่งตื่นไม่นาน น่ารักงดงามนัก น้ำเสียงแหบชวนใจเต้นอย่างคนเพิ่งตื่นเช่นนี้ยิ่งทำให้บุรุษคนใดก็ไม่อาจต้านทานได้
อีกทั้งบุรุษเลือดร้อนแห่งอารามศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้นั้น ทำการละเว้นเรื่องทางโลกมานับร้อยปี
พริบตาที่เยว่เฝินได้ยินเสียงนาง เขาก็แข็งค้างไป และเมื่อได้เห็นเงาร่างเกียจคร้านดูยั่วยวนนัก เขาก็รู้สึกราวกับร่างกายตนผิดปกติ ไม่อาจละสายตาไปจากนางได้
เขายืนบื้ออยู่เช่นนั้น จ้องหน้าเด็กสาวที่ยังสะลึมสะลือค้างไปไม่ได้สติอยู่นาน
เมื่อชิงอวี่ตื่นเต็มตา เห็นเขายืนบื้อใบ้อยู่เช่นนั้น นางเลิกคิ้วถาม “มีอะไร? ท่านว่าอะไรนะ?”
นางถามจบ เยว่เฝินก็ทำท่าตกใจราวกับเพิ่งตื่นจากภวังค์ จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปไม่พูดสักคำ
ชิงอวี่จึงถูกทิ้งให้ยืนงงไปเช่นนั้น “…..”
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
มุมปากชิงอวี่กระตุกพูดไม่ออก ยิ่งทำให้รู้สึกว่าคนที่นี่ช่างแปลกประหลาดไม่เหมือนใครจริง ๆ
เดิมทีนางง่วงนอนนัก แต่หลังจากสะดุ้งตื่นเช่นนั้นก็ไม่คิดกลับไปนอนอีก นางจึงค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินออกมา
บนท้องฟ้ามืดมิดยังเห็นแสงดาวพราวระยับ
ชิงอวี่มองหมู่ดาวพร่างพราวอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ทำไม นางถึงได้รู้สึก….. ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพวกมันได้
ไม่ทันรู้ตัว นางก็ก้าวเท้าเดินไปยังทิศทางหนึ่ง ยามรู้ตัวอีกที นางก็มายืนอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นตาแล้ว
อารามศักดิ์สิทธิ์นั้นเต็มไปด้วยตำหนักรูปทรงประหลาด มีทั้งป้อมปราการทั้งหลายมากมาย ใหญ่บ้างเล็กบ้างกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ ให้เหมือนกับเป็นเขาวงกตขนาดใหญ่ หากไม่คุ้นเคยพื้นที่ก็ต้องหลงอยู่ในนี้เป็นแน่
ซึ่งชิงอวี่ก็เป็นคนที่กำลังหลงอยู่ในตอนนี้
นางเศร้าใจนักที่พบว่านางดูเหมือนจะหลงทาง แล้วนางจะหาทางกลับไปอย่างไรดี…..
หากใครมาพบเข้าอาจคิดว่านางพยายามหนีก็เป็นได้!
ในตอนที่กำลังหดหู่อยู่นั่นเอง เสียงเอะอะก็ดังแว่วมา ฟังดูไม่ไกลนัก
ชิงอวี่เงยหน้ามองประหลาดใจ เห็นว่ามีสถานที่หนึ่งที่ดูโดดเด่นออกมาจากที่อื่น ๆ ในเขตอารามจันทร์กระจ่าง
มันราวกับถูกไฟไหม้เกรียมมาก่อน หลายแห่งพังลงมาแล้ว เสาหยกและคานทั้งหลายกองทับกันอยู่ที่พื้น คล้ายกับถูกทิ้งไว้เช่นนี้นานหลายปี จนกระทั่งไม่อาจมองของเดิมออกได้อีก
ที่นี่….. ที่ไหนกัน?
ยามได้ยินเสียงนั่นอีกครั้งนางก็ยังไม่คล้ายความฉงน ด้วยความสงสัยใคร่รู้ นางจึงเริ่มเดินเข้าไปหาตำหนักที่ถูกทิ้งร้างนั่นช้า ๆ
ทว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้ เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า มันหันหลังให้นาง เอ่ยเสียงมืดมนน่าขนลุกขึ้นว่า “ที่นี่เป็นเขตหวงห้าม ห้ามผู้ใดเข้าทั้งนั้น”
ชิงอวี่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะ “ขออภัยด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเดินหลงมาที่นี่โดยบังเอิญ หาทางกลับไม่ถูก ท่านช่วยชี้ทางให้ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
เงาร่างนั้นไม่ตอบ หากแต่เมื่อเห็นว่าชิงอวี่ไม่มีเจตนาร้ายจึงวางใจลง
แม้ชิงอวี่จะรู้สึกว่ามันแปลก ๆ แต่นางก็ไม่คุ้นกับที่นี่ ดังนั้นจึงไม่คิดมากอีกแล้วหันหลังเดินจากไปแทน แต่ไม่รู้ว่าทำอีท่าไหน มือนางกลับถูกของมีคมบาดเข้าจนได้เลือด
พริบตานั้นเอง ดวงดาวสีทองเหลือบแดงก็วาดผ่านท้องฟ้ามืดสลัว พริบตาหนึ่งก็หายไป มันเกิดขึ้นเร็วมากจนมองแล้วนึกว่าตาฝาดไป
แต่แม้ประกายนั้นจะผ่านไปรวดเร็ว ก็ยังมีคนสองคนที่ทันเห็นเหตุการณ์ประหลาดนั้น
คนหนึ่งคือหัวหน้านักบวชชางเจี้ยน ส่วนอีกคน…..
ชิงอวี่มุ่นคิ้ว มองแผลบนมือตนเอง พลันมีลมหอบหนึ่งพัดประตูตำหนักตรงหน้าจนเปิดออกกว้าง สตรีในชุดสีส้มค่อย ๆ ก้าวเท้าเดินออกมาจากภายใน
เรือนผมยาวสีดำสนิทของนางไหวเคลียไหล่เคลียกรอบหน้าผอมแห้ง ทำให้นางดูเหมือนภูตพรายที่ล่องลอยมาจนอยู่ตรงหน้าชิงอวี่
ชิงอวี่กะพริบตาประหลาดใจแล้วจ้องมองสตรีเบื้องหน้า
ดวงตากลมโตสีดำทั้งสองบนใบหน้ารูปไข่คางแหลมนั่น ยิ่งทำให้นางดูเปราะบางมากขึ้น ดูเหมือนนางจะอายุน้อยกว่าชิงอวี่เสียอีก
แต่พอนางอ้าปากเอ่ยคำ น้ำเสียงสตรีผู้นั้นกลับฟังดูคุ้นหูนัก ฟังดูเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย
“ขอข้า ….. ดูแผลหน่อยได้หรือไม่?”
ชิงอวี่ชะชักไป แต่ยังไม่ทันตอบ พริบตาต่อมามือก็ถูกอีกฝ่ายกุมไว้แล้ว
สัมผัสของนางไร้ความอบอุ่นใด มันเป็นความเย็นยะเยือกที่เสียดลึกถึงกระดูก แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องน่าตกใจที่สุด
นางกุมมือชิงอวี่ไว้แล้วก้มหน้าลงมาเรื่อย ๆ ก่อนที่จะประทับริมฝีปากลงบนบาดแผลบนมือแล้วพึมพำเสียงเบา “นี่มัน….. กลิ่นขององค์หญิง”
จากนั้นตรงจุดที่ริมฝีปากสัมผัสก็เริ่มส่องแสงสีทองจาง ๆ ออกมา บาดแผลพลันฟื้นตัวทันที ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยจางไว้ให้เห็น
ชิงอวี่เบิกตากว้าง รีบดึงมือตนกลับมาดูด้วยความระมัดระวังทันที นางพบว่าบาดแผลหายไปอย่างไร้ร่องรอย กำลังคิดจะอ้าปากบอกขอบคุณ เงยหน้าอีกทีก็เห็นนางส่งยิ้มอบอุ่นมาให้
นัยน์ตาสีดำฉ่ำน้ำจ้องตอบกลับมา “ในที่สุดท่านก็….. กลับมาแล้ว”