สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 244 หยุดการสังหารด้วยการสังหาร
บทที่ 244 หยุดการสังหารด้วยการสังหาร
บทที่ 244 หยุดการสังหารด้วยการสังหาร
เป็นไปดังคาด ทันทีที่พวกโจรได้ยินคำที่เต็มไปด้วยแววหยันนั่นแล้ว ใบหน้าก็เขียวคล้ำถมึงทึงทันใด
นางล่อพวกแมลงนั่นมาชัด ๆ แล้วยังกล่าวโทษพวกเขาอีก
“นังบ้า! ข้าจะฆ่าแก!”
ชายมีหนวดที่เห็นว่าคนทั้งสองหน้าตาดีเลยประทับใจอยู่บ้างโกรธเกรี้ยวขึ้นมา ในมือพลันปรากฏกระบองเหล็กที่เต็มไปด้วยหนามแหลม ก่อนจะพุ่งตรงเข้ามาหาสตรีที่ยังยืนส่งยิ้มใสซื่อ หมายจะซัดนางให้สิ้นไป
แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ร่างทั้งร่างกลับกระเด็นกลับไปเสียอย่างนั้น ราวกับถูกหมัดหนักกระแทก เลือดกระฉูดออกจากปากพร้อมกับร่างที่ลอยละลิ่วปลิวไปไกล
“…..”
ชิงหลานเฟยหันไปมองคนบางคนหน้านิ่ง นัยน์ตาฉายแววขุ่นเคืองไม่ปิดบัง
ม่อจิ่งอวี้มองนางเหมือนที่ตนลงมือไปนั้นไม่แปลก “ข้าย่อมไม่ปล่อยให้เจ้าบาดเจ็บ”
“เพียงพวกชั้นต่ำไม่กี่คนเท่านั้น ข้าไม่ได้อ่อนแอจนน่าสมเพชถึงเพียงนั้น” ชิงหลานเฟยอดกลอกตาใส่เขาไม่ได้
นางก็แค่มีวิญญาณไม่ครบส่วน ไม่ได้เสียพลังไปจนสิ้นสักหน่อย ต้องให้เขาเป็นห่วงขนาดนี้เลยหรือ?
“เจ้าก็บอกเองว่าแค่พวกชั้นต่ำไม่กี่คน หากแค่พวกชั้นต่ำเจ้ายังต้องลงมือเอง เช่นนั้นจะไม่ทำให้บุรุษของเจ้าดูเหมือนแจกันประดับไร้ค่าไร้ราคาไปเลยหรือ?”
กล่าวได้ว่าม่อจิ่งอวี้นั้นมีลิ้นทอง แสดงความเป็นห่วงภรรยาตนและยังแสดงความรักต่อนางไปพร้อมกันได้ในประโยคเดียว เห็นนางหน้ามุ่ยมองเขาแล้ว ใบหน้างามพลันคลี่ยิ้มเขินออกมา เขาจึงรู้ทันทีว่าเขาทำสำเร็จแล้ว
แต่คำของเขากลับยิ่งทำให้พวกโจรโกรธกว่าเก่า
การที่จะสามารถท่องเที่ยวอยู่ในผืนทรายแห่งนี้ได้นั้น มีเพียงความกล้าอย่างเดียวยังไม่มากพอ แต่ยังต้องแกร่งอยู่หลายส่วนด้วย ไม่เช่นนั้นเหยื่อยังไม่ทันมาก็อาจจะถูกพายุทรายกลบไปแล้วก็เป็นได้
ดังนั้นพวกโจรจึงไม่ใช่คนฝีมือธรรมดาทั่วไป ถูกเย้ยหยันเช่นนี้ แต่ละคนจึงแผ่ไอสังหารจากร่าง กลิ่นอายพลังวิญญาณของพวกโจรนั้นรู้สึกคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย
“มาจากสมาพันธ์นักล่าหรือ?” ม่อจิ่งอวี้เลิกคิ้วสูง เหมือนจะประหลาดใจ
หลายร้อยปีก่อน บนแดนเมฆาสวรรค์มีกลุ่มอำนาจหลักอยู่เพียงสี่ สมาพันธ์นักล่านั้นเพิ่งจะเรืองอำนาจเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น
เดิมทีต่างคิดกันว่าพวกเขาจะเป็นเพียงกลุ่มอำนาจที่จะยืนหยัดอยู่ได้ไม่นาน แต่ไม่รู้ทำไมพวกเขาจึงผงาดขึ้นมาได้ในภายหลัง เบียดเข้ามาเป็นกลุ่มอำนาจที่ห้าบนแดนเมฆาสวรรค์ไปได้
คนภายนอกเรียกสมาชิกในสมาพันธ์ว่านักล่า เป็นกลุ่มคนที่เชี่ยวชาญการทำภารกิจอันตรายยากลำบาก เป็นสถานที่ที่มีคนผสมผสานกันมากมาย พบเจอคนได้ทุกประเภท แม้จะมีสมาชิกจำนวนมาก แต่สภาพภายในก็ชุลมุนไม่ใช่น้อย
ถึงสมาพันธ์นักล่าจะสามารถรั้งเป็นหนึ่งอำนาจบนแดนเมฆาสวรรค์ได้ แต่หากเข้มงวดสักหน่อยก็จะเห็นว่าพวกเขาไม่อาจเทียบได้กับอีกสี่ขุมอำนาจหลักสักนิด ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนเห็นจึงเป็นเพียงอีกด้านหนึ่ง ความจริงที่ซ่อนอยู่นั้นคนภายนอกไม่อาจรับรู้ได้
อีกทั้งม่อจิ่งอวี้นั้นเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีตนนัก เขาย่อมไม่สนกลุ่มอำนาจที่ไม่ควรค่าให้ชายตามองเช่นพวกนี้แน่
เมื่อก่อนหน้า เมื่อครั้งที่สมาพันธ์นักล่ายังไม่เรืองอำนาจอะไรมาก ก็ยังไม่เคยมีเรื่องที่สมาชิกสมาพันธ์ออกมาเป็นโจรปล้นผู้อื่นกันอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เกิดขึ้น
ตอนนี้พวกเขาตกต่ำกันไปถึงขั้นไหนกัน
ม่อจิ่งอวี้ได้แต่เหยียดยิ้มดูหมิ่น
“ในเมื่อรู้ว่าพวกข้ามาจากสมาพันธ์นักล่าแล้วยังกล้าล่วงเกินเช่นนี้ ดูท่าพวกเจ้าคงไม่รู้กฎสมาพันธ์นักล่ากระมัง” ชายที่มีกระบี่ใหญ่พร้อมกับโซ่ที่พันยาวไปถึงแขนกอดอกแล้วคลี่ยิ้มกระหายเลือด
กฎสมาพันธ์นักล่า?
ใครที่ไม่ได้เก็บตัวสันโดษ แยกตนห่างจากคนทั้งใต้หล้า ก็คงจะรู้กฎพวกนั้นบ้างกระมัง
สมาพันธ์นักล่านั้นขึ้นชื่อเรื่องจำนวนสมาชิกที่มีอยู่มากมายบนแดน อีกทั้งเป็นพวกแค้นฝังลึก ล้างแค้นทุกเรื่องดั่งอสรพิษแว้งกัด
ใครก็ตามที่มาล่วงเกินคนสมาพันธ์นักล่าจะถูกตามล้างแค้นไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ใช่เพราะสมาพันธ์นักล่านั้นภักดีรักพวกพ้องตน แต่เป็นเพราะได้แก้แค้นแล้วสะใจความกำแหงและอัตตาตนเสียมากกว่า ดังนั้นจึงไม่ยอมให้คนนอกมาดูหมิ่นคนในสมาพันธ์ได้
“จัดการบุรุษผู้นั้น แต่ปล่อยสตรีไว้ พี่น้องเราอดอยากมานานแล้ว” ชายผู้นั้นกล่าวพลางปลดโซ่ที่พันแขน ก่อนจะเหยียดแขน เสียงกระดูกลั่นกร๊อบดังชัดเจน ก่อนจะส่งสายตาดุดันมายังคนทั้งสองที่อยู่ไม่ไกล
ดูท่าเขาจะเป็นหัวหน้าโจรพวกนี้
แต่เมื่อครู่ว่าอะไรนะ?
ม่อจิ่งอวี้ที่คลี่ยิ้มมาตลอดพลันกลายเป็นสีหน้าอ่านไม่ออก กลิ่นอายรอบกายค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีใครรู้
แต่ก่อนเขาดื้อรั้นเอาแต่ใจ ไม่ได้มีชื่อเสียงดีอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่สนว่าใครจะมองตนอย่างไร แต่หากมากล่าวว่าร้ายกับคนที่เขาห่วงใยหรือคนในหัวใจเขาล่ะก็ เขาย่อมไม่ปล่อยพวกมันไว้แน่
“เฟยเอ๋อร์ เจ้าหลบไปก่อน ข้าจะจัดการพวกชั่วนี่เอง” ม่อจิ่งอวี้ยังมีน้ำเสียงอ่อนโยนดังเดิม หากแต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นชวนให้เสียวสันหลังวาบ
ชิงหลานเฟยถอนใจ “จิ่งอวี้ ข้า…..”
“อย่าห้ามข้าเลย ข้ารู้ว่าเจ้าจิตใจดี แต่เจ้าพวกนี้ปล่อยไปก็มีแต่จะก่อภัย สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี” ม่อจิ่งอวี้เอ่ยเสียดสี
ชิงหลานเฟยส่ายหน้าพลางยิ้ม “ข้าไม่ได้จะห้ามหรอก แต่จะบอกว่าข้ายืนเคียงท่านได้ก็เท่านั้น”
หากแต่คำขอนางถูกม่อจิ่งอวี้ปฏิเสธ บอกอย่างเป็นห่วงว่าร่างกายนางยังอ่อนแอ ยังไม่เหมาะกับการต่อสู้การสังหารเช่นนี้
มีหรือนางจะไม่รู้ว่าใครบางคนเพิ่งจะตื่นมาจากหลับลึก คงจะครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด เขาก็หาคำอ้างไปอย่างนั้น อยากจะยืดเส้นยืดสายกับพวกโจรที่ส่งตัวเองมาถึงที่สักหน่อย
ทว่าชิงหลานเฟยก็ไม่คิดเปิดโปงเขา นางได้แต่ถอยไปด้านข้างเงียบ ๆ ม่อจิ่งอวี้จึงสร้างเกราะคุ้มกายนางไว้ เจ้าพวกโจรนั่นจะได้เข้าใกล้นางไม่ได้
กลุ่มคนมากกว่าสิบจึงพุ่งเข้ามาล้อมเข้าไว้ทันที ไม่คิดเลยว่าเล่นหมาหมู่เช่นนี้มันน่าละอายขนาดไหนจากมุมที่พวกเขามอง เจ้าหนุ่มหน้าตาดีอย่างเหลือเชื่อผู้นี้ก็เหมือนพวกหลบใต้ชายกระโปรงผู้หญิงไปวัน ๆ คงจะเป็นพวกอ่อนแอเป็นแน่ แค่หมัดหนักหมัดเดียวหน่อยก็คงจะสิ้นใจ
นัยน์ตาม่อจิ่งอวี้เต็มไปด้วยประกายเย็นชาและไอสังหาร เมื่อครู่ที่พวกมันพ่นคำปรามาสออกมา เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ให้ใครเหลือรอดไป ดังนั้นที่อีกฝ่ายทำตอนนี้จึงเป็นสิ่งที่เขาต้องการ เข้ามาพร้อมกันไปเลย เขาจะได้ไม่ต้องสังหารทีละคน
ดังคำที่มักกล่าวว่าแผนอยู่ที่คน ผลอยู่ที่ฟ้า ม่อจิ่งอวี้ยังไม่ทันได้ลงมือ คนทั้งหลายก็พลันชะงักค้างไปตอนที่พุ่งเข้ามาเกือบจะใกล้เขา
ดูเหมือนเวลาจะหยุดลงชั่วขณะ และภายในทะเลทรายกว้างขวางแห้งแล้งนั่นเอง พลันมีเสียงกรีดร้องลั่นน่าผวาดังกรีดความเงียบขึ้น พวกโจรถูกพลังฉีกแยกร่างทีละคน ทั้งเนื้อทั้งเลือดกระจายไปทั่ว ทั่วพื้นมีแต่เศษร่างซากศพ เลือดนองดั่งธารน้ำ เป็นภาพนองเลือดเกินจะทนมองไหว
ม่อจิ่งอวี้สีหน้าทะมึนลงทันที
เป็นตอนนั้นเองที่น้ำเสียงเรื่อยเฉื่อยดังขึ้น ทั้งใสซื่อทั้งไพเราะน่าฟัง “ไอ้หยา ๆ ดูคนพวกนี้สิ ไม่รู้ว่าทำบุญสั่งสมมากี่ชาติถึงได้มีโอกาสตายในสภาพน่าดูชมเช่นนี้ พอลงไปข้างล่างเมื่อไหร่ คงได้รับการยกย่องนับถือนัก”
“ซิว….. อี้….. หราน…..!” ม่อจิ่งอวี้เค้นเสียงเอ่ยชื่อออกมา
“เฮ้อ พวกเราไม่ได้พบกันนานหลายปี จิ่งอวี้ของเรายังน่ารักน่าชังเหมือนเดิม ข้าเคยพูดแบบนี้ไปกี่รอบแล้วนะ? พวกเราเป็นพี่น้องกัน ก็เรียกข้าว่าอี้หรานเถอะ แต่เจ้าก็ชอบทำตัวเหินห่าง เรียกชื่อเต็มข้าอยู่เรื่อย”
สิ้นเสียงบ่นของชายผู้หนึ่ง ก็ตามมาด้วยร่างสูงในชุดสีน้ำเงินดูสูงส่งปรากฏตรงหน้า
สภาพอากาศในต้นฤดูใบไม้ผลิยังเจือไอหนาวอยู่บ้าง แต่ในมือเขายังถือพัดไว้ ค่อย ๆ พัดตนอย่างเรื่อยเฉื่อยดูเกียจคร้านนัก
เทียบกับม่อจิ่งอวี้แล้ว หน้าตาอีกฝ่ายก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย หากแต่มีแววตาเจือแววเกียจคร้านไม่สะท้านสะเทือนก็เท่านั้น นัยน์ตาเรียวยาวแฉลบกลับโค้งขึ้นเป็นเสี้ยว ท่วงท่าดูลึกล้ำเกินหยั่ง ราวกับพยัคฆ์ยิ้มลวงเหยื่อก็มิปาน
“โอ้ นี่มันหลานเฟยน้อยของเราไม่ใช่หรือ? นี่เจ้ายังอยู่กับจิ่งอวี้อีกหรือนี่” ซิวอี้หรานว่าแล้วก็ส่งสายตาไปมองชิงหลานเฟยข้าง ๆ ตาเป็นประกายขึ้นมาทันใด ราวกับเห็นของล้ำค่าหายาก
พูดจบแล้ว ชิงหลานเฟยก็ขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงขุ่นขึ้น “ท่านอย่าเรียกข้าว่าหลานเฟยน้อยเลย”
“หือ? มีอะไรงั้นหรือ? ข้าก็อายุมากกว่าเจ้าตั้งสามร้อยกว่าปี เรียกเช่นนั้นมีอะไรผิด?” ซิวอี้หรานพูดพลางสะบัดพัดเฉื่อย ๆ ใบหน้าดูประหลาดใจ
พริบตาหลังจากนั้น ก็ราวกับนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ “ข้าลืมสนิทเชียว จิ่งอวี้เองก็ต้องอายุมากกว่าเจ้าสักสองร้อยกว่าปีด้วยสินะ! ดูท่าเจ้าจะอยู่เคียงข้างเขามานานจนไม่รู้สึกว่าข้าแก่กว่ามากแล้วกระมัง”
ม่อจิ่งอวี้กัดกรามแน่น เจ้านี่กล่าวหาว่าเขาแก่อ้อม ๆ งั้นหรือ?
“เจ้ามาทำอะไร?”
ซิวอี้หรานหัวเราะเสียงเบา “ก็ต้องมาเพื่อต้อนรับเจ้ากลับอย่างไรเล่า เจ้านี่เลือกจังหวะตื่นได้ดีจริง ๆ ตื่นมาปีที่ยอดเขาใจสงบถูกทำนายว่าจะปรากฏขึ้นพอดี ข้าก็นึกว่าเจ้าจะนอนต่ออีกสักร้อยปี”
ม่อจิ่งอวี้สีหน้าทะมึนลง ราวกับนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จากนั้นพลันกวาดสายตามองซากศพเกลื่อนพื้นแล้วเอ่ยขึ้น “แล้วทำไมเจ้าต้องสังหารคนจากสมาพันธ์นักล่าด้วย?”
“อย่าบอกนะว่าเมื่อครู่เจ้าไม่คิดสังหารพวกนั้น?” ซิวอี้หรานเลิกคิ้ว มีรอยยิ้มอ่านไม่ออกประดับที่ริมฝีปาก
“ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่เห็นต้องทำเสียโหดร้ายเช่นนี้”
ม่อจิ่งอวี้ไม่อาจชินชากับวิธีสังหารโหดไร้เมตตาของอีกฝ่ายได้เลย มันเป็นสิ่งที่ทำให้อีกฝ่ายคล้ายคนคลั่ง แสวงหาความสมบูรณ์แบบ แต่ก็เป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนไม่น้อย
“โหดร้าย?”
ได้ยินดังนั้น ซิวอี้หรานก็ไม่ได้มีสีหน้าไม่พอใจ แต่กลับมองม่อจิ่งอวี้ยิ้ม ๆ “จิ่งอวี้ เจ้าหลับไปนานเกินหรือไร? ลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าไม่ได้เป็นเพียงหัวหน้าชนเผ่าหมาน แต่ยังเป็นหนึ่งในเจ้านรกทั้งสามด้วย?”
“ในเมื่อพวกมันกล้าล่วงเกินเจ้า เจ้าก็ควรสั่งสอนบทเรียนพวกมันให้หลาบจำ แต่ข้ารู้จักเจ้าดี หน้าตาเจ้าดุร้าย แต่ใจเจ้าอ่อนจะตาย ไม่กล้าสังหารเสียราบคาบหรอก เพราะงั้น….. ข้าจึงลงมือให้” ซิวอี้หรานยิ้มตาหยีเป็นจันทร์เสี้ยว ปากยกยิ้มไร้พิษภัยออกมา
เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามากแท้ ๆ ทั้งยังมีท่าทีเป็นมิตรเข้าหาง่าย ใครจะรู้ว่าเขาจะเป็นตัวตนสูงส่งที่ไม่ได้อยู่ในห้าขุมอำนาจใหญ่แดนเมฆาสวรรค์ แต่เป็นหนึ่งในสามเจ้านรกจากตำหนักเจ้านรก
คนทั้งหลายเรียกเขาว่าอสูรชั่วร้าย มือเขาเปื้อนเลือด พรากชีวิตมานับไม่ถ้วน ฆ่าคนตาไม่กะพริบ ไม่ว่าจะย่างกรายไปทางใดก็ต้องเห็นศพ ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนไม่ขาดสาย
เป็นบุรุษที่เกิดมาเพื่อฆ่า มีชีวิตอยู่เพื่อสังหาร