สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 253 อ่อนโยน ละมุน อบอุ่นหัวใจ
บทที่ 253 อ่อนโยน ละมุน อบอุ่นหัวใจ
บทที่ 253 อ่อนโยน ละมุน อบอุ่นหัวใจ
โหลวจวินเหยาโชคดีนัก ไม่เพียงเกิดมาพร้อมหน้าตาที่สตรีพากันตกหลุมรัก กระทั่งผิวที่มือยังเนียนนุ่มไร้ตำหนิหรือหนังด้าน เมื่อนิ้วเรียวนั่นไล้ผ่านเนื้อนาง ก็ให้รู้สึกมึนงงไปหมด
ชิงอวี่ยิ่งรู้สึกว่ากายตนร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าเห่อร้อนไปหมด นางกัดริมฝีปากอยู่นานกว่าจะเอ่ยเสียงแผ่วเบาที่แทบไม่ได้ยินออกมา “ท่านช่วยถอยห่างออกไปหน่อยได้หรือไม่…..”
“หือ?”
โหลวจวินเหยาพึมพำออกมาพลางวางคางลงบนไหล่เปลือยเปล่า ที่กำลังส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกมาด้วยท่าทางเกียจคร้าน แม้เขาจะไม่ได้ถอดชุดออกจนหมด แต่ก็ยังมีสภาพไม่เรียบร้อย เห็นตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย ปิดตรงโน้นแทบไม่มิด แต่กลับเป็นภาพที่เย้ายวนเสียยิ่งกว่าถอดอาภรณ์หมดเสียอีก
ชิงอวี่สัมผัสได้ว่าเขายิ่งใกล้เข้ามา ก็อดเผยสีหน้าที่เขินอายของตัวเองไม่ได้เลย “ท่านว่าจะให้ข้าแช่น้ำร้อนไม่ใช่หรือ?”
“ถูกต้อง ข้าอยากให้เจ้าได้แช่น้ำร้อน แต่เจ้าดื้อด้านนัก ข้าจึงไร้ทางเลือก ต้องลงมาเป็นเพื่อนเจ้าอย่างไร” โหลวจวินเหยาอธิบาย
หากแต่มือยังเคลื่อนไปไม่หยุด ยั่วเย้าไปทั่วแผ่นหลังเด็กสาว ทำราวกับกำลังเล่นกู่เจิงอยู่ก็มิปาน
“มือท่านทำอะไร?” ชิงอวี่ไม่กล้าขยับตัว แต่ใช้สองมือปิดร่างให้มากที่สุด เอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา
ไม่คิดเลยว่านางกัดฟันเอ่ยเสียงโกรธออกมาเช่นนั้น ชายหนุ่มกลับอ้างเหตุผลเข้าข้างตนเองขึ้นมาได้!
“ข้ากำลังดูว่าอาการบาดเจ็บเมื่อคราก่อนทิ้งรอยไว้บ้างหรือไม่ หากเห็นสักรอย นั่นหมายความว่าวิชาแพทย์ของไป๋จือเยี่ยนถดถอยลงอีกแล้ว ข้ากลับไปจะได้ลงโทษเขา”
เขากล้าพูดเรื่องหน้าไม่อายเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน? หน้าไม่อายยังไม่พอ แต่กระทั่งลากไป๋จือเยี่ยนมาเป็นคนรับผิดด้วยอีก!
น่าสงสารไป๋จือเยี่ยนจริงที่ต้องมารับใช้เจ้านายไร้เหตุผลเช่นนี้
ชิงอวี่ก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ ก่อนหัวเราะเหอะออกมา “ท่านก็ดูไปมากแล้ว ตอนนี้ปล่อยได้หรือยัง?”
โหลวจวินเหยามองร่างเล็กที่ระแวดระวังตรงหน้า ก็อดรู้สึกขบขันไม่ได้ “เจ้าประหม่าอะไรขนาดนั้น? ข้าไม่กินเจ้าหรอกน่า?”
“ท่านไม่รู้หรือว่าบุรุษสตรีไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน? อีกทั้ง…..” ชิงอวี่ลังเลเมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ราวกับไม่รู้จะอธิบายอย่างไร “ท่านทำลายชุดข้า อีกทั้งการกระทำในตอนนี้ของท่านก็ทำให้ยากที่จะไม่คิดเช่นนั้น”
รอยยิ้มมุมปากโหลวจวินเหยายิ่งลึกขึ้น เขาก้มหน้าลงข้างหูนาง น้ำเสียงทุ้มน่าดึงดูดเจือรอยแหบจาง ๆ ดังขึ้น “รู้เช่นนั้นก็ดี จำไว้ว่าต่อไปต้องอยู่ในห่างสิ่งมีชีวิตเพศชาย แต่กับข้าจะชิดใกล้เท่าไหร่ก็ได้ เพราะอย่างไร….. ข้าก็เป็นคนของเจ้า เป็นบุรุษคนเดียวของเจ้า”
ชิงอวี่ยิ่งเขินมากกว่าเดิมเมื่อลมหายใจร้อนกรุ่นของชายหนุ่มปัดผ่านใบหูยามเอ่ยคำหยอกเย้าโจ่งแจ้ง นางรีบดิ้นให้หลุดจากวงแขนเขาทันที
เห็นดังนั้น โหลวจวินเหยาจึงค่อย ๆ ขยับดวงหน้าน้อยมาทางเขา นัยน์ตาสีม่วงเข้มจ้องไปที่ใบหน้าแตกตื่น ก่อนจะเอ่ยเสียงกระซิบรับรอง “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก เพียงแต่…..”
“ยามเห็นหน้าเจ้า ข้าไม่อาจควบคุมตนเองได้ อยากเข้าใกล้เจ้า อยากใกล้ชิดเจ้าให้มากขึ้นอีกสักนิด”
คำพูดเหล่านี้คือคำที่ออกมาจากใจโหลวจวินเหยา
เขาไม่ใช่พวกตัณหาจัด ไม่เช่นนั้นคงไม่สนใจสาวงามทั้งหลายที่ยินยอมพร้อมมอบกายให้เขามาตลอดสองร้อยปีที่ผ่านมาหรอก
ทว่านับแต่พริบตาแรกที่ได้เห็นคนตัวเล็ก แม้จะปลอมตัวเป็นเด็กผู้ชาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าชิงอวี่ในตอนนั้นก็ทำให้ใจเขาสั่นไหวได้มากกว่าสตรีคนไหนจะสามารถทำได้
ซึ่งทำให้เขาคิด ว่าปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ความชื่นชอบของเขา แต่เป็นเพราะสตรีเหล่านั้นไม่โดดเด่นมากพอ ขาดคุณสมบัติที่จะทำให้เขาใจเต้นได้เท่านั้น
ดังนั้นเมื่อเขาได้เห็นนางในหอเมฆาเคลื่อนอีกครั้ง ความรู้สึกแรกจึงไม่ใช่ความโกรธ แต่เป็นความปีติยินดี เป็นความรู้สึกพิเศษที่มีต่อคนเพียงคนเดียวเท่านั้น
แต่ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยรู้ตัว
เขาคอยใส่ใจนางมาโดยตลอด อยากคอยปกป้องนางอย่างลับ ๆ เมื่อมีบุรุษใดคิดเข้าใกล้นาง แม้ภายนอกเขาจะทำทีเป็นเย็นชา แต่แท้จริงแล้วภายในกลับคล้ายจะระเบิด เพียงแต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องโกรธเช่นนี้
เขาไม่รู้ว่านั่นคือความรู้สึกเมื่อได้รักใครคนหนึ่ง มารู้ตัวก็ตอนที่นางบอกว่าชอบเขาเหมือนกัน
เช่นนั้น ความรู้สึกประหลาดพิกลนั่นก็คือความรักเองหรือ
อีกทั้งยังรักนางมานานแล้วด้วย
ชิงอวี่แท้จริงแล้วเป็นคนใจอ่อนมาก ยามเขามีท่าทีดุดัน นางก็จะประหม่าตื่นตกใจ พยายามต่อต้านเขาตามสัญชาตญาณ
แต่หากเขาบอกความรู้สึกในใจที่มีต่อนางไปตรง ๆ นางก็อดที่จะมอบความรู้สึกนั้นตอบกลับไปไม่ได้
เช่นในตอนนี้ นัยน์ตาชวนมองสีม่วงของเขามองนางอย่างอ่อนโยน ส่วนนางก็ราวกับต้องมนต์ นางค่อย ๆ ยกมือขึ้นไล้ใบหน้าชวนมองนั่นเบา ๆ จากนั้นก็เอื้อมไปถึงท้ายทอย รั้งลำคอเขาเข้ามาใกล้ ก่อนที่ริมฝีปากอมชมพูจะประทับลงบนเรียวปากชายหนุ่ม
การกระทำไม่คาดฝันของทางทำเอาโหลวจวินเหยาอึ้งไปเล็กน้อย นัยน์ตาสีม่วงพลันแปรเปลี่ยนเป็นม่วงเข้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาประคองท้ายทอยนางไว้แน่น ก่อนจะมอบจูบกลับไปอย่างดุดันทันที
เขาลืมจิตใจลืมการควบคุมไปเสียสิ้น ทั้งยังลืมไปว่านางในอ้อมแขนเขาเย้ายวนมีเสน่ห์ถึงเพียงไหน
จุมพิตเร่าร้อนเริ่มจากริมฝีปากเย้ายวนของนาง ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนลงไปยังลำคองามระหง นางคงจะเพิ่งหลุดออกจากมนต์ก็จังหวะนี้ ใบหน้ามึนงงเมื่อครู่เริ่มแตะแต้มด้วยสีแดงจากความเขินอาย
ไปรู้ว่าคนชั่วช้าไปแตะตรงไหนเข้า นางจึงครางเสียงเบาออกมา แข้งขาพลันไร้เรี่ยวแรง จมลงน้ำไปในทันใด
โหลวจวินเหยารีบดำน้ำลงไปรับร่างนางไว้ ภายใต้น้ำใสมาก เขาจึงเห็นทุกอย่าง รวมทั้งร่างที่โค้งมนของนางด้วย
ไม่ว่าจะอยากแค่ไหน แต่นางก็ไร้ที่ให้หลบซ่อนตัว โหลวจวินเหยานัยน์ตาสว่างวาบอยู่ใต้ผืนน้ำพร่างพราย ไม่อาจละสายตาไปได้
ชิงอวี่ทั้งอายทั้งโกรธจนลืมไปว่าตนอยู่ใต้น้ำ อ้าปากขึ้นกล่าวคำ “ท่านอย่า….. อึก…..”
นางสำลักน้ำที่ทะลักเข้ามา มุ่นคิ้วด้วยความทรมาน พริบตาต่อมา บางอย่างนุ่มนิ่มก็ประทับลงบนริมฝีปาก ก่อนจะพยายามแยกเรียวปากนางออกเพื่อส่งอากาศมาให้
ใบหน้าชวนมองของเขาอยู่ตรงหน้านาง นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อย หลังจากส่งอากาศให้นางแล้ว เขาก็ยังไม่ผละจากไป และมอบจุมพิตอันอ่อนโยนให้นางต่อชั่วครู่หนึ่ง จึงจะดึงนางขึ้นมาเหนือน้ำ
เขาอุ้มนางขึ้นจากบ่อ ก่อนจะใช้ชุดตนคลุมร่างนางไว้ พริบตาที่ก้าวเท้าขึ้นจากน้ำ ทั้งสองที่ตัวเปียกชุ่มโชกก็พลันแห้งสนิทเหมือนใหม่ ไม่เหลือน้ำสักหยดเกาะบนผิว
พลังบำเพ็ญที่ไม่ได้ใช้งานมาสองสามร้อยปีพลันถูกเรียกมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องง่ายดายเช่นนี้
ชิงอวี่ฝังใบหน้าลงในอ้อมแขนชายหนุ่มราวกับตนเป็นนกกระจอกเทศ ไม่กล้าขยับเขยื้อนสักนิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อครู่สำลักน้ำจึงรู้สึกไม่สบายตัว หรือเป็นเพราะนางอายเกินกว่าจะสู้หน้าเขากันแน่
แต่ดูแล้วท่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า
บ่อน้ำร้อนแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อครั้งพระเจ้ายังมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากเกิดเรื่องมากมายขึ้นก็ถูกปิดร้างไว้ ดังนั้นจึงมีคนไม่กี่คนที่รู้ว่ามีมันอยู่
ดังนั้นหลังจากเดินออกมานานแล้วจึงยังไม่เห็นเงาคน
โหลวจวินเหยาเดินไม่เร็วนักแต่ไม่ได้หยุดฝีเท้า เขามองร่างโค้งมนของเด็กสาวที่มือกำเสื้อเขาแน่น ฝังใบหน้าลงกับอกเขาไม่ยอมมองมา เขาอดก้มลงไปจูบติ่งหูที่แดงก่ำอย่างน่ารักน่าชังไม่ได้
เมื่อมือที่กำเสื้อเขากำแน่นขึ้นกว่าเดิม ทั้งเนื้อนวลที่ติ่งหูเริ่มขึ้นสีแดงก่ำขึ้นกว่าเดิม โหลวจวินเหยาก็ตาเป็นประกาย หน้าตาดูร่าเริงนัก “นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้เลยว่าเจ้าขี้อายเช่นนี้?”
คนตัวเล็กมักแสดงท่าทางเปิดเผยตรงไปตรงมาอยู่ตลอด ความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่มีเหตุผลกว่าสตรีคนอื่น ๆ อีกทั้งเมื่อบอกความรู้สึกแก่กันแล้ว เขากับนางก็เคยใกล้ชิดกันมาก่อน แต่นางก็ยังเขินอายได้ง่ายดายเช่นนี้
ทำให้เขาทั้งรักทั้งจนใจไปพร้อมกัน
เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงนางเอ่ยงึมงำขึ้นมาจากที่อก “ถ้าทุกคนกลายเป็นพวกไร้ยางอายอย่างท่านเข้าละก็ ใต้หล้าคงจะวุ่นวายนัก…..”
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว ดูเหมือนว่านางจะยังโกรธเขาอยู่นะ!
“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าถอดให้เจ้ามองบ้างดีหรือไม่?” โหลวจวินเหยาเอ่ยถาม
เป็นเพราะเมื่อครู่ตอนอยู่ในน้ำเขาเห็นเรือนร่างนาง นางก็เลยโกรธงั้นหรือ?
“ใครอยากมองท่านกัน!!?” ชิงอวี่ร้องเสียงแหลมขึ้น
“เช่นนั้น…..”
โหลวจวินเหยาถอนใจ บางครั้งเขาก็ไม่เข้าใจความคิดสตรีเลยจริง ๆ แต่เขาจะทำอย่างไรได้? นางเป็นสตรีของเขา อย่างไรเขาก็ต้องเอาอกเอาใจนาง
ได้ยินชายหนุ่มเอ่ยครวญราวกับตนบริสุทธิ์เสียเต็มประดาเช่นนั้น ชิงอวี่ก็ยิ่งหดหู่ นางกัดริมฝีปากด้วยแรงโกรธ จากนั้นอ้าปากเอ่ยขึ้น “ต่อไปท่านห้ามยั่วยวนข้าอีก แล้วก็ห้าม….. ทำมือไวเช่นนี้อีกเป็นอันขาด!”
คนเจ้าเล่ห์น่ารังเกียจนัก! หากนางติดหนี้อะไรเขา ถูกเขาหว่านเสน่ห์เข้าหน่อยนางก็คงไม่อาจต้านทานได้แล้ว!!
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คงได้ถึงวันที่ถูกเขาจับกินโดยไม่รู้ตัวเป็นแน่!
เป็นเช่นนี้ไม่ได้!
นางเกิดใหม่ครั้งนี้ เรื่องที่นางยังไม่เคยประสบย่อมต้องเรียนรู้อย่างน้อยสักครั้ง แต่ขอเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปได้หรือไม่
แม้นางจะรักชายหนุ่มจากใจ ไม่ใช่ว่าไม่อยากมอบกายใจให้ แต่พวกนางยังไม่นับเป็นคู่รักกันอย่างถูกต้อง
นางยังไม่ได้เจอท่านพ่อท่านแม่ อีกทั้งเขายังเป็นเจ้าครองแดนเรืองอำนาจ เป็นบุรุษมีชื่อ นางจะไม่ยอมถูกลูกน้องเป็นโขยงของเขามองด้วยสายตาแปลก ๆ เป็นอันขาด
อย่างน้อยก็จนกว่านางจะสามารถยืนหยัดอยู่บนแดนเมฆาสวรรค์ด้วยลำแข้งตนเองได้ นางจะได้สามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่เขาได้!
เป็นช่วงเวลาอบอุ่นหัวใจนัก เมื่อพูดถึงคนอีกครู่ที่อีกฟากฝั่งของแดนเมฆาสวรรค์ เป็นคู่ที่ออกมาจากตำหนักเจ้านรก ม่อจิ่งอวี้กับชิงหลานเฟยที่เดินทางจากชนเผ่าหมานกับตำหนักเจ้านรกมานั่นเอง
พวกเขามาหยุดอยู่ที่ตลาดคึกคักแห่งหนึ่ง หาร้านชาร้านหนึ่งเพื่อหยุดพักหายใจสั้น ๆ
แม้ทั้งสองจะมีใบหน้าโดดเด่นน่ามอง แต่ด้วยไม่ได้ปรากฏออกมานับร้อยปีจึงไม่มีใครจดจำได้
ห้าขุมพลังบนแดนเมฆาสวรรค์นั้นมีเขตอำนาจอยู่ในมือ และเขตแดนที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นเขตที่เป็นมิตรและน่าอยู่มากที่สุดในหมู่ทั้งห้าอำนาจ คือสำนักเซียนแพทย์นั่นเอง