สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ! - บทที่ 256 หน้าตาเหมือนลูกชายข้านัก
บทที่ 256 หน้าตาเหมือนลูกชายข้านัก
บทที่ 256 หน้าตาเหมือนลูกชายข้านัก
ชั่วอึดใจหนึ่ง อีกฝั่งก็มีเสียงตอบกลับ ก่อนที่ประตูจะค่อย ๆ เปิดออก
คนที่มาเปิดประตูคือชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาดีคนหนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าโดดเด่นของคนทั้งสองยืนอยู่ด้านนอก เขาก็ประหลาดใจจนชะงักไป
เขาเบิกตากว้าง ก่อนจะหันกลับเข้าไปมองด้านในอย่างระวัง แล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้น “ประมุขน้อย ทำไมจู่ ๆ ถึงกลับมาล่ะขอรับ?”
ไป๋จือเยี่ยนเลิกคิ้วมองประเมินอีกฝ่าย “อะไรกัน? ข้าจะกลับบ้านต้องแจ้งล่วงหน้าด้วยหรือ? แล้วเจ้าจะทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ ทำไมกัน?”
เมื่อได้ยินแววไม่พอใจในน้ำเสียงไป๋จือเยี่ยน เขาจึงรีบส่ายหน้าทันที “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ประมุขน้อยอย่าเพิ่งโกรธ ให้ข้าอธิบายก่อน พอดีเมื่อหลายวันก่อนทางสำนักมีแขกมาสองท่าน ดูจะสนิทสนมกับท่านเจ้าสำนักไม่น้อย ช่วงนี้ท่านเลยอารมณ์ดีนัก ข้าเพียงเกรงว่าประมุขน้อยพบหน้าเขาแล้วจะทะเลาะถกเถียงกัน หากให้แขกเห็นภาพเช่นนั้นคงไม่ดีเท่าไรนัก”
พวกเขาเป็นพ่อลูกมาตั้งนาน เกือบทุกคนในสำนักรู้ดีว่าทั้งสองเข้ากันได้ดีขนาดไหน ดังนั้นเขาจึงต้องคอยระมัดระวังถึงเพียงนั้น
แต่ได้ยินแล้วไป๋จือเยี่ยนก็เริ่มสนใจ
ได้ยินว่าคนหน้าเข้มนิสัยดื้อด้านอย่างท่านพ่อ จะมีสหายสนิทกับเขาด้วย ทำไมเขาถึงไม่รู้อะไรเลยเล่า?
ถึงขนาดไม่อยากออกมาพบหน้าลูกชายตนเองเสียด้วย!?
คิดได้ดังนั้น ไป๋จือเยี่ยนก็ยกยิ้มขึ้น “เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้กลับมาทะเลาะกับเขา แต่ก่อนข้าเป็นเพียงเด็กไม่สันทัดโลก ตอนนี้ข้าไม่ใจร้อนดังเดิมแล้ว”
เขาอยากเห็นจริง ๆ ว่าแขกเหล่านั้นเป็นใครกัน
ไป๋จือเยี่ยนหันไปหาเด็กหนุ่ม “เจ้าหนู อย่าห่างจากข้าเล่า”
ชิงเป่ยพยักหน้ารับ
เป็นจังหวะนั้นที่ศิษย์สำนักเซียนแพทย์เพิ่งเห็นเด็กหนุ่มด้านหลังไป๋จือเยี่ยน เขารูปร่างค่อนข้างผอม ไป๋จือเยี่ยนยืนบังเขาเสียมิด ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นอีกฝ่ายตั้งแต่แรก
แม้เด็กหนุ่มจะมาพร้อมกับประมุขน้อย แต่เขาก็ไม่ลืมว่าสำนักเซียนแพทย์ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาได้โดยง่าย เขาจึงถามขึ้น “คุณชายผู้นี้…..”
“ไม่เป็นไร เจ้าเด็กนี่เป็นเหมือนน้องชายข้า นับเป็นพวกเราคนหนึ่งก็ได้”
ไป๋จือเยี่ยนพูดแล้วก็โบกมือไล่ จากนั้นก็เดินนำชิงเป่ยเข้าไปด้านในทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น ไป๋ชิวกำลังสนทนากับแขก ชิงหลานเฟยและม่อจิ่งอวี้ อยู่ในศาลางดงามหลังน้อยที่รอบข้างวิวทิวทัศน์งดงามตา
เพิ่งเป็นเมื่อวันที่ชิงหลานเฟยมายังสำนักเซียนแพทย์ ไป๋ชิวจึงได้รู้ว่านักปรุงยาผู้เลื่องชื่อลือชาบนแดนเมฆาสวรรค์ ตอนนี้ได้แต่งงานกับบุรุษตรงหน้าเขาแล้ว
แต่แม้เวลาจะผ่านไปนับร้อยปี ใบหน้างามของนางก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปสักนิด ยังคงเป็นเหมือนหญิงสาวคนเดิม จึงไม่แปลกที่พอเขารู้เรื่องแล้วจะประหลาดใจ
ชิงหลานเฟยยกยิ้มแล้วเอ่ยเสียงเบา “เจ้าสำนักไป๋ แต่ละวันท่านคงงานล้นมือ ท่านไม่จำเป็นต้องมาเยี่ยมพวกเราบ่อยนักก็ได้ ที่ท่านยอมช่วยเหลือข้าก็ซาบซึ้งมากแล้ว”
“แม่นางชิงไม่ต้องห่วง สำนักเซียนแพทย์ช่วงนี้สงบสุขมาก งานการไม่ค่อยมีนัก แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่หากเป็นไปได้ข้าต้องมาขอร้องจากแม่นาง” ไป๋ชิวเอ่ยพร้อมถอนหายใจไร้หนทาง
“หือ?” ชิงหลานเฟยเลิกคิ้ว นางฉลาดมีไหวพริบ ได้ยินแล้วรู้ทันทีว่าคงเกี่ยวกับเรื่องหนึ่ง “หรือจะเป็นเรื่อง….. ยอดเขาใจสงบ?”
“แม่นางชิงฉลาดเฉลียวดังคาด” ไป๋ชิวว่าแล้วก็หยุดไปหน่อย เงยหน้าขึ้นมองใบหน้างามที่กำลังส่งยิ้มมา “ข้าหวังว่า….. ว่าแม่นางชิงจะช่วยไปยอดเขาใจสงบแทนลูกชายอกตัญญูของข้า เป็นตัวแทนของสำนักเซียนแพทย์”
ช่วงเวลาที่ชิงหลานเฟยพักอยู่ในสำนักเซียนแพทย์ นางก็ได้ยินเรื่องลูกชายของไป๋ชิวมาบ้างเช่นกัน
เขาเป็นนักปรุงยาที่มีพรสวรรค์และเก่งกาจที่สุดของสำนักเซียนแพทย์ในรอบร้อยปี ว่ากันว่าเก่งกาจกว่าท่านเจ้าสำนักเสียอีก แต่กลับกระทำเรื่องผิด สุดท้ายก็ถูกไล่ออกไป
นางเองไม่รู้รายละเอียดมาก รู้มาจากที่คนอื่นพูดกันในวงสนทนาก็เท่านั้น
แต่ตอนนี้ไป๋ชิวกลับมา ขอให้นางไปยอดเขาใจสงบแทนลูกชายตน เช่นนั้นไม่เหมาะสมไปหน่อยหรือ?
“ข้าบอกตามตรง นอกจากตัวข้ากับผู้อาวุโสไม่กี่ท่านแล้ว แม้สำนักเซียนแพทย์จะมีศิษย์วัยเยาว์ฝีมือดีอยู่มากมาย…..”
ไป๋ชิวมีสีหน้าประหลาด แต่ก็ยังกัดฟันเอ่ยต่อ “แต่ก็ไม่มีใครเทียบฝีมือได้แม้ครึ่งหนึ่งของเด็กบัดซบนั่นได้เลย ตัวข้ากับตาแก่ผู้อาวุโสทั้งหลายไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ายอดเขาใจสงบ ดังนั้นจึงต้องขอให้แม่นางชิงช่วย…..”
ชิงหลานเฟยเข้าใจดี สีหน้านางออกจะจนใจอยู่บ้าง “แต่ว่า….. ข้าไม่ใช่คนสำนักเซียนแพทย์”
“เรื่องนั้นสำคัญหรือ? ข้าเพียงต้อง…..”
“เจ้าสำนักไป๋”
บุรุษที่ไม่เอ่ยคำมาตั้งแต่ตนพลันเอ่ยขึ้นขัดคำไป๋ชิว
ชิงหลานเฟยเองก็หันไปมองคนจ้างกายด้วยความประหลาดใจ เขาคิดจะพูดอะไรกัน?
ม่อจิ่งอวี้จึงค่อย ๆ เอ่ยขึ้น “ขออภัยด้วย แต่เกรงว่าเฟยเอ๋อร์คงไม่อาจช่วยเหลือท่านได้”
ไป๋ชิวชะงักไป ใบหน้าตกตะลึงอยู่บ้าง
“จิ่งอวี้…..”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนนี้เจ้ามีวิญญาณไม่ครบส่วน? อีกทั้งพลังบำเพ็ญของเจ้าก็ยังมีไม่ถึงครึ่งของเมื่อก่อน แล้วข้าจะให้เจ้าไปเสี่ยงขึ้นยอดเขาใจสงบได้อย่างไร?”
ม่อจิ่งอวี้นัยน์ตาไร้อารมณ์ น้ำเสียงสงบสำรวมอย่างน่าประหลาด
พี่ใหญ่ส่งซิวอี้หรานมาพาเขากลับตำหนักเจ้านรก เพราะพี่ใหญ่ก็อยากให้เขาขึ้นยอดเขาใจสงบเช่นกัน ตัวเขาย่อมไม่กลัวอันตรายบนนั้น แต่เพราะเขาไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกแล้ว ดังนั้นจึงไม่อยากเอาตนเองไปเสี่ยง
ดังนั้นเขาจึงไม่อยากให้เฟยเอ๋อร์ไปเสี่ยงเช่นกัน
ชิงหลานเฟยได้ยินแล้วก็หรี่ตาลงเม้มปากแน่น แต่ไม่พูดอะไร
ไป๋ชิวเห็นดังนั้นจึงไม่พูดอะไรอีก เดิมทีเขาคิดว่าลองถามดูคงไม่เป็นอะไร ดังนั้นถูกปฏิเสธกลับมาจึงไม่ได้ผิดหวังนัก
ในตอนที่ชายหนุ่มเอ่ยคำ ศิษย์คนหนึ่งก็เขามาก้มศีรษะ กระซิบคำข้างหูไป๋ชิว สีหน้าไป๋ชิวดูอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแววตาซับซ้อน
เขาพลันผุดลุกขึ้น จากนั้นก็ขอโทษขอโพยคนทั้งสอง “พอดีมีเรื่อง ข้าต้องขอตัวก่อน ทั้งสองคนคงต้องอยู่กันเองก่อนแล้ว”
“เจ้าสำนักไป๋ไปเถอะ” ชิงหลานเฟยพยักหน้าพลางยิ้มรับ
ม่อจิ่งอวี้มองไป๋ชิวที่ค่อย ๆ เดินจากไปแล้ว เขาก็เอ่ยถามขึ้น “เจ้าคงไม่โกรธที่ข้าปฏิเสธแทนเจ้าไปเมื่อครู่กระมัง?”
ชิงหลานเฟยเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบางให้เขา “ท่านเพียงเป็นห่วงข้า ข้าจะโกรธท่านทำไม?”
นัยน์ตาแฉลบขึ้นของม่อจิ่งอวี้เหลือบมองนางก่อนเอ่ยคำขึ้น “เทียบกับเมื่อก่อน ตอนนี้เจ้าเข้าอกเข้าใจกว่าเดิมมากทีเดียว”
“ท่านหมายความว่าแต่ก่อนข้าเป็นคนไร้เหตุผลงั้นหรือ?” ชิงหลานเฟยเลิกคิ้วด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก
ม่อจิ่งอวี้กะพริบตาใสซื่อ ใบหน้าเศร้าโศกเสียใจนัก “ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้นเลย”
ชิงหลานเฟยอดหัวเราะ ยกมือขึ้นส่งหมัดใส่ไหล่เขาไม่ได้ ทำร้ายคนเสร็จแล้วนางพลันเอ่ยขึ้น “จริง ๆ แล้วถึงครั้งนี้จะไม่ได้ขึ้นยอดเขาใจสงบ แต่ต่อไปข้าก็คงต้องหาทางไปให้ได้ ข้าอดมีความรู้สึกไม่ได้ว่ามันเป็นสถานที่ที่ดึงดูดให้ข้าเข้าไปหามันมากอย่างน่าประหลาดนัก”
ดูท่าในใจนางยังมีความทรงจำที่เลือนรางเสี้ยวหนึ่งอยู่ แต่ทุกครั้งที่พยายามนึก นางก็จะปวดหัวแทบแตก บางครั้งก็มากจนนางแทบหมดสติไปก็มี
นางไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่พอได้ยินชื่อยอดเขาใจสงบเป็นครั้งแรก นางก็รู้สึกเหมือนกับเคยได้ยินมันมาก่อน
และบางสิ่งบางอย่าง นางก็ต้องไขปริศนาทั้งหมดให้ได้เสียก่อน นางจึงจะปักใจเชื่อ
ม่อจิ่งอวี้เอื้อมนิ้วมาคลายหว่างคิ้วขมวดมุ่นให้นางแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “รอจนกว่าวิญญาณเจ้าจะสมบูรณ์ พลังบำเพ็ญฟื้นคืนเสียก่อน ถึงตอนนั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
“อืม” ชิงหลานเฟยตอบเสียงเบา ก่อนจะเอนร่างเข้าอ้อมกอดเขา
ไป๋จือเยี่ยนมุ่งหน้าไปทางห้องโถงใหญ่เพื่อพบหน้าท่านพ่อ เดิมทีคิดจะให้ชิงเป่ยรออยู่ที่นั่นด้วย แต่คิด ๆ ดูแล้ว จะให้เจ้าหนูรอดูฉากพ่อลูกพบหน้ากันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ชิงเป่ยเห็นดังนั้นจึงรีบอ้างว่าอยากออกมาเดินดูทางคนเดียว
เห็นดังนั้น ไป๋จือเยี่ยนจึงเรียกศิษย์คนหนึ่งมาพาเด็กหนุ่มเดินชมสำนัก เผื่อจะไปเดินถูกกับดักหรือค่ายกลที่ไหนเข้า
“เจ้าเป็นสหายของประมุขน้อยงั้นหรือ? ดูยังเด็กมากเลยแท้ ๆ นี่เจ้าเข้าพิธีก้าวพ้นวัยหรือยังนี่?”
ศิษย์ที่เดินเป็นเพื่อนเขาเองก็ยังดูไม่มีอายุมากเท่าไหร่เช่นกัน ทั้งยังช่างพูด หาเรื่องราวมาคุยกับเขาได้ไม่จบไม่สิ้น
ชิงเป่ยเองก็ไม่ใจร้อน ค่อย ๆ ตอบคำถามไปทีละข้อ
แต่เขาไม่ได้มีนิสัยเปิดเผยนัก ดังนั้นจึงไม่ค่อยพูดมากกับคนไม่รู้จัก เมื่อศิษย์หนุ่มเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มแล้วก็ค่อย ๆ ชวนคุยน้อยลง
ชิงเป่ยย่อมสังเกตได้ว่าศิษย์หนุ่มดูเหมือนจะไม่สนุกสนานที่ได้เดินแนะนำสถานที่แล้ว เขาจึงหยุดชั่วครู่ ก่อนเอ่ยปากขึ้น “ข้าเดินดูเองก็ได้ อีกสักเดี๋ยวก็เดินกลับแล้ว หากเจ้ามีธุระต้องทำก็ไม่ต้องมาคอยนำทางข้าหรอก”
ศิษย์ผู้นั้นได้ยินก็ดีใจนัก แต่ก็ทำสีหน้าเหมือนลำบากใจ “แต่ประมุขน้อยบอกให้ข้าพาเจ้าเดินดูรอบ ๆ…..”
“ไม่เป็นไร ข้าบอกเขาเอง เขาไม่โทษเจ้าหรอก” ชิงเป่ยเอ่ยสำทับ
“เช่นนั้นก็รบกวนคุณชายแล้ว” พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินจากไปทันที
ชิงเป่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะมีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมา
ไม่รู้ว่าชิงอวี่เป็นอย่างไรบ้าง เขามาแดนเมฆาสวรรค์เกือบหนึ่งเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้พบหน้านางเลย
แม้โหลวจวินเหยาจะบอกว่าชิงอวี่ปลอดภัยดี เพียงแต่ไม่อาจมาพบหน้าได้ชั่วคราวก็ตาม แต่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ อาจเพราะพวกเขาไม่เคยแยกจากกันนานเช่นนี้กระมัง
ไม่ว่าแฝดคู่ไหนก็ต้องมีสายสัมพันธ์พิเศษที่เชื่อมจิตเข้าหาดัน ดังนั้นจึงจะสนิทสนมกันมากกว่าพี่น้องธรรมดาคนอื่น ๆ
อาจเป็นเพราะพวกเขาทั้งคู่เคยอยู่ในครรภ์มารดามาด้วยกัน ทั้งยังออกมาดูโลกในเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วยังเติบโตมาด้วยกันอีก
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งสองมีเพียงกันและกันเท่านั้น ดังนั้นจึงยิ่งทำให้เป็นห่วงเป็นใยกันมากกว่าเดิม
ดังนั้น ก่อนเขาจะได้เห็นนางกับตา เขาก็คงไม่อาจวางใจได้
เขาเดินก้มหน้ามาตลอดทาง ไม่รู้ว่าเดินไปทางไหนบ้าง เขาขมวดคิ้วมุ่น แต่แล้วพลันได้ยินเสียงคนพูดคุยกันเสียงเบาดังแว่วมา
“ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าเด็กสองคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง…..” มันเป็นเสียงอ่อนโยนของหญิงสาวที่เจือแววเศร้ามาด้วย
“ไม่ต้องห่วง ข้ามั่นใจว่าพวกเขาสบายดี เพราะอย่างไรเด็ก ๆ ที่เกิดจากคนทั้งสองที่โดดเด่นเช่นพวกเราก็คงจะไม่ธรรมดาอยู่แล้ว” น้ำเสียงทุ้มของชายหนุ่มดังขึ้นกลั้วหัวเราะ
“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”
ชิงเป่ยเผลอได้ยินบทสนทนาเข้า ในใจหมายจะหมุนตัวเดินกลับทันที แต่อาจเพราะรีบร้อนเกินไปจึงไม่เห็นหินก้อนเล็กบนพื้น เขาเลยเหยียบมันเข้าอย่างจัง
เจ้าหินนั่นเป็นเหมือนปุ่มเปิดกับดักสักอย่างเป็นแน่ เขาเพิ่งจะเหยียบมันลงไป พริบตาเดียวเท้าก็ยุบฮวบลงพื้นไปแล้ว
ที่เหนือศีรษะพลันมีกระแสลมร้องโหยหวน ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ชิงเป่ย เด็กหนุ่มได้แต่ยืนเบิกตากว้างมองภาพนั้น